Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 642
บทที่ 642 ฉันหลงทาง
หน้าต่างถูกเปิดเอาไว้แค่ครึ่งหนึ่ง แสงจันทร์ในคืนสงบจึงสาดส่องเข้ามา มู่วี่สิงนอนหันหลังให้เธอ ขนาดนั้นก็ยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆอย่างชัดเจน
มันไม่ใช่กลิ่นน้ำยาซักผ้าหรือกลิ่นแชมพูอาบน้ำ แต่เป็นกลิ่นที่หอมละมุน และกลิ่นนี้ก็ค่อยๆแผ่กระจายไปทั่วทั้งห้อง
ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว เขาพลิกตัวหันกลับมา แล้วขยับแขนเบาๆ
เวินจิ้งในเวลานี้ไม่ได้ระวังถึงการกระทำของชายหนุ่มด้านหลังเลย ความเย็นของเสื่อไม้ไผ่และลมอ่อนๆที่โชยเข้ามาเป็นระยะนำพาเอาความร้อนอบอ้าวออกไป ในตอนนี้เวินจิ้งรู้สึกได้แค่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณเอว จนทำให้เธอหลับไม่ลง
เธอหดตัวให้เล็กลงยิ่งกว่าเดิม จนเหมือนแมวน้อย มู่วี่สิงสังเกตเห็นการกระทำนั้น จึงเอ่ยถามเสียงทุ้มแหบว่า “หนาวเหรอ?”
พูดจบ เขาก็ยื่นมือออกไปรวบเธอมาไว้ในอ้อมกอด
ตัวของเวินจิ้งแข็งทื่อ เพราะลมหายใจร้อนผ่าวของเขารินลดลงบนซอกคอของเธอ อีกอย่างแผ่นหลังยังแนบชิดกับหน้าอกของเขาด้วย ความอบอุ่นจากอกแกร่ง ถือเป็นสิ่งดึงดูดที่เธอขัดขืนอะไรไม่ได้เลยในตอนนี้
แต่เธอก็ไม่กล้าเข้าใกล้เขามากเกินไป จึงรีบขยับหนีอย่างทันที แล้วตอบกลับเสียงแผ่วว่า “วันนี้ฉันไม่สะดวก”
มือของเขาวางลงข้างเอวของเธอ จากนั้นก็เงียบไปสักพัก แล้วถึงได้ออกแรงดึงเธอกลับมาอยู่ในอ้อมแขนเบาๆ พูดเสียงนิ่งว่า “อืม”
ได้ยินแบบนี้เวินจิ้งถึงได้เบาใจลง แต่ว่ากลับรู้สึกได้ถึงฝ่ามือของเขาที่ค่อยๆเลื่อนลงไปข้างล่างช้าๆ จนกระทั่งฝ่ามือของเขาวางแหมะลงบนบริเวณท้องน้อยของเธอ จากนั้นก็ลูบไล้เบาๆ
เวินจิ้งไม่ได้ห้ามเขา และเขาก็ไม่ได้หยุด ความเจ็บปวดบริเวณเอวค่อยๆผ่อนคลายลง จากนั้นเวินจิ้งก็ค่อยๆผล็อยหลับไป ตรงกันข้ามกับผู้ชายด้านหลัง ที่แววตามีแต่ความเร่าร้อน
เขานอนกอดเธออยู่ทั้งคืน เวินจิ้งเองก็หลับไปแต่โดยดี เขาขยับเข้าไปใกล้เธอมากกว่าเดิม จากนั้นก็นำคางของตัวเองไปวางไว้บนไหล่ของเธอ แล้วก็ค่อยๆหลับตาลงช้าๆ
จิ้งจิ้งของเขา แต่ไหนแต่ไร…..ก็มีแค่เธอเท่านั้นที่สามารถทำให้เขาลุ่มหลงอย่างไร้ทางรักษาได้ถึงขนาดนี้
ทันใดนั้น เวินจิ้งก็ขยับพลิกตัว จากนั้นก็ซุกใบหน้าลงบนแผ่นอกของเขาเข้าพอดี
ลมหายใจของเวินจิ้งโชยเข้ามา ในค่ำคืนมืดมิด แม้แต่ตัวมู่วี่สิงเองก็ไม่ได้สังเกต ว่าแขนของเขาไม่ได้ผละออกจากตัวของเธอเลย อารมณ์ก็สงบลงอย่างที่ไม่เคยมีมานาน
และคืนนี้ก็เป็นคืนที่ เวินจิ้งนอนหลับโดยไม่ฝันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลับสนิทจนท้องฟ้าทอแสง
ในตอนที่ลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย ชั่วขณะหนึ่งก็ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
แสงแดดอุ่นๆนอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามา บนเตียงไม้เก่าๆมีแค่เธอนอนอยู่คนเดียว เธอลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาอย่างเชื่องช้า คุณยายเตรียมอาหารเช้าเอาไว้แล้วเรียบร้อย มีต้มโจ๊กข้นๆที่ส่งกลิ่นหอม และเกี๊ยวทอด
ทันทีที่เวินจิ้งนั่งลง และไม่ทันได้พูดอะไร คุณยายก็เอ่ยถามอย่างอบอุ่นว่า “เสี่ยวมู่ตื่นมาตั้งแต่เช้าแล้ว อากาศเช้านี้ดีมากๆ เขาก็เลยไปเดินเล่นรอบหมู่บ้านน่ะ”
เวินจิ้งก้มหน้ากินโจ๊ก เธอไม่ได้สนใจสักหน่อยว่ามู่วี่สิงไปไหน เธอจึงยิ้มให้พอเป็นพิธี “ค่ะ”
อากาศวันนี้เย็นสบายกว่าเมื่อวานมาก เมื่อเวินจิ้งกินข้าวเช้าเสร็จก็พูดคุยกับคุณยายนิดหน่อยจากนั้นก็เตรียมตัวจะออกไปข้างนอก
“ทำไมไม่รอให้เสี่ยวมู่กลับมาแล้วค่อยออกไปด้วยกันล่ะ?” คุณยายยื่นขวดน้ำให้เธอ แล้วถามขึ้นอย่างสงสัย “แถวนี้คุณน่าจะไม่เคยมา”
“แค่ออกไปเดินเล่นตามถนน แป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับแล้วค่ะ” เวินจิ้งตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ จากนั้นก็ออกไปข้างนอกเพียงลำพัง
เวินจิ้งเดินเล่นไปตามถนนอย่างไร้จุดหมายปลายทาง ไม่ทันได้รู้ตัวก็เดินออกจากหมู่บ้านเล็กๆมุ่งไปยังทิศตะวันตก
บริเวณตีนเขามีคนรวมตัวกันอยู่ไม่น้อยเลย เวินจิ้งจึงเดินเข้าไปถาม จึงพบว่าที่นี่คือจุดชมวิวที่กำลังจะเปิดใหม่ และกำลังเตรียมการก่อสร้าง
“แม่หนู เดินเรียบขึ้นไปตามเส้นทางสายนี้เลย เวลาลงก็เดินลงทางเดิมนี่แหละ” คุณลุงยิ้มตาหยีพร้อมกับชี้นิ้วบอกทาง “เดี๋ยวสักพัก ที่นี่ก็จะเก็บค่าเข้าแล้วนะ”
เวินจิ้งเดินขึ้นเขาไปตามถนนเส้นเล็กๆนี้ อาจจะเพราะสาเหตุที่ตอนเช้ามีหมอกปกคลุมอยู่เยอะ ดินโคลนบนพื้นถึงได้อ่อนนุ่มและเปียกชื้น แม้ว่าเมื่อวานเธอจะไม่ค่อยเต็มใจที่ถูกมู่วี่สิงพามาที่นี่ แต่กระนั้นเวินจิ้งก็ต้องยอมรับเลยว่า สถานที่ที่เขาพาเธอมาเป็นโลกในอุดมคติที่ห่างไกลจากความวุ่นวายจริงๆ
ในตอนที่เดินมาได้ครึ่งทาง เวินจิ้งถึงได้พบว่าทางขึ้นเขาเล็กๆนี้แม้ว่าจะไม่ได้เดินลำบากอะไรนัก แต่กลับคดเคี้ยว เมื่อหันกลับไปก็มองไม่เห็นทางขึ้นมาแล้ว
คุณลุงคนเมื่อครู่บอกมาว่าภูเขาลูกนี้ไม่ได้สูงชันและน่ากลัวเลยสักนิด โดยเฉพาะเมื่อเดินมาถึงครึ่งทางของภูเขา วิวทิวทัศน์ก็จะยิ่งสวยงามดึงดูดสายตา ดังนั้นเวินจิ้งเลยตัดสินใจเดินต่อ
ยิ่งเดินก็ยิ่งไกล และก็พบว่าวิวตลอดข้างทางน่ามหัศจรรย์ใจมากจริงๆ บางครั้งก็มีแกะที่ถูกนำมาเลี้ยงบนภูเขาวิ่งตัดหน้า จากนั้นก็ตามมาด้วยฝนตกปรอยๆ จนทำให้บนภูเขาเปียกชื้นไปหมด อากาศเย็นสดชื่นที่หาได้ยากในฤดูร้อนลอยปะทะหน้าเข้ามา
เพียงแต่ว่าจากฝนที่ตกปรอยๆในตอนแรกก็ยิ่งตกถี่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยสักนิด ด้วยเหตุนี้เธอจึงวิ่งต้องวิ่งหาที่หลบ
ในตอนที่มู่วี่สิงกลับมาก็เป็นช่วงเย็นๆแล้ว เมื่อเห็นคุณยายอยู่ตรงลานหน้าบ้าน ก็เห็นท่านทำหน้าประหลาดใจพร้อมเอ่ยถามว่า “คุณไม่ได้กลับมากับเสี่ยวจิ้งหรอกหรือ?”
“เธอไปไหนเหรอครับ?” ฝีเท้าของเขาชะงักนิ่ง
จนกระทั่งถึงหกโมงเย็น ถึงได้มีคนมาบอกว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินขึ้นเขาซีซานไปคนเดียว
“ยังไม่ลงมาอีกเหรอ?” คนคนนั้นเช็ดเหงื่อบนหน้า เมื่อมองฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ก็ขมวดคิ้วมุ่น “งั้นก็คงต้องไปตามหาแล้วล่ะ ทางนั้นกำลังซ่อมแซมถนนอยู่ด้วย คนประเภทไหนก็มีทั้งนั้นแหละ ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้เคยมีเรื่องไม่ดีเกิดกับผู้หญิงด้วยล่ะ”
มู่วี่สิงกับคนในท้องที่ รีบมุ่งไปยังเขาซีซานในระหว่างที่ฟ้ายังไม่มืด
มือบีบโทรศัพท์เอาไว้แน่น แต่ทันใดนั้นมู่วี่สิงก็นึกได้ว่าเธอไม่ได้เอาโทรศัพท์มาด้วย
ใบหน้าของเขาดำคล้ำเครียด ในระหว่างทางขึ้นเขาก็สาวเท้าเร็วๆ ไม่ได้เป็นตัวถ่วงของคนในพื้นที่ที่ชินกับการปีนเขาเลยสักนิด
เพียงแต่ว่าเขาซีซานกว้างใหญ่มากเกินไป ท้องฟ้าก็ค่อยๆมืดลงเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีท่าทีที่จะหาร่องรอยของเวินจิ้งเจอเลย
บนภูเขานอกจากเสียงฝนที่ตกลงมาเรื่อยๆ แล้ว ก็เหมือนจะมีเสียงร้องของสัตว์ป่าบางชนิด ดังออกมาจากภูเขาบริเวณไม่ใกล้ไม่ไกล
เวลาเดินผ่านไปในแต่ละวินาที การที่คนคนหนึ่งหายไปอย่างไร้ซุ่มเสียงมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ตามหาอยู่ท่ามกลางสายฝนมาเกือบจะสามชั่วโมงแล้ว สีหน้าของมู่วี่สิงก็ขมุกขมัวยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็มีคนเดินเข้ามาหาแล้วตะโกนพูดว่า “ไม่งั้นเราลองกลับไปดูก่อนไหม? ไม่แน่เธออาจจะกลับไปแล้วก็ได้”
มู่วี่สิงยังคงขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น แล้วยืนหยัดที่เดินต่อไปข้างหน้าเหมือนอย่างเคย
ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ จนค่อยๆกลืนร่างกายสูงโปร่งของเขาเข้าไปในความมืด ในใจของเขาก็ยิ่งร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีลมพัดเข้ามา ก็เหมือนจะเห็นร่างกายของคนเอนไหวไปตามลม
แม้จะใส่ชุดกันฝนก็ไม่สามารถต้านสายฝนที่ตกแรงขึ้นเรื่อยๆได้เลย และทันใดนั้นเอง มู่วี่สิงก็แหวกพงหญ้าที่อยู่ข้างๆออกอย่างกะทันหัน “ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ?”
เป็นร่างกายบอบบางของใครคนหนึ่ง เพราะว่าไม่มีอุปกรณ์กันฝนแม้แต่ชิ้นเดียว ในตอนนี้สภาพของเวินจิ้งจึงน่าเวทนายิ่งกว่าเขาเป็นไหนๆ ผมยาวๆเปียกลู่ไปกับร่างกาย
ในตอนนี้ มู่วี่สิงถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ว่าสีหน้ากลับขุ่นมัวยิ่งกว่าเดิม เขาสาวเท้ายาวๆเดินเข้าไปหา แล้วเอื้อมมือไปกระชากข้อมือของเวินจิ้ง เอ่ยถามเสียงต่ำว่า “คุณไปไหนมา!”
แววตาของเวินจิ้งเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและแววคมกล้า บางทีอาจจะเป็นเพราะหนาว เสียงของเธอจึงได้สั่นเทาถึงเพียงนี้ “ฉัน…..ฉันหลงทาง……”