Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 643
บทที่ 643 อย่าหาเรื่องยุ่งยากให้ผมอีก
เส้นทางของเขาซีซานซับซ้อนมาก สำหรับผู้หญิงที่มีความจำเรื่องเส้นทางค่อนข้างที่จะแย่ จึงเดินหลงทางได้ง่ายๆ
มู่วี่สิงชะงัก ราวกับไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร จึงทำได้แค่ตอบรับกลับไปหนึ่งที จากนั้นจึงออกแรงดึงข้อมือของเธอให้เดินกลับไปทางเดิม
ในตอนที่เดินข้ามพงหญ้าออกมา มู่วี่สิงก็ยื่นมือมาปลดเสื้อกันฝันของตัวเอง แล้วเอาไปคลุมไว้บนร่างกายของเธอ
แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะหาทางเดินกลับเลยสักนิด เขาพาเวินจิ้งเดินกลับไปยังทางที่เดินมา เธอกำกำปั้นเอาไว้อยู่ตลอด แทนที่จะพูดว่าเธอถูกเขา “ดึง” ข้อมือคงต้องพูดว่าฝ่ามือของเขากุมกำปั้นของเธอยังจะเข้าท่ากว่า และเธอก็ไม่ยอมคลายหมัดเลยตั้งแต่ต้น
เดินลงเขาใช้เวลาไปเกือบจะครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็พอจะเห็นแสงไฟระยิบระยับอยู่ใต้เขาบ้างแล้ว ในคืนที่ฝนตกแบบนี้ภาพข้างหน้าจึงเหมือนภาพวาดภูเขาด้วยหมึกสีเข้ม
การก้าวเดินของเวินจิ้งช้าลงเรื่อยๆ ร่างกายก็เริ่มโอนเอน
มู่วี่สิงหยุดฝีเท้าลง แล้วลูบน้ำฝนออกจากใบหน้า ขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เธอ “เดินไม่ไหว?”
เวินจิ้งฝืนยิ้มออกมา “เปล่า”
ถ้าเป็นเวินจิ้งคนก่อน คิดว่าคงโถมกายเข้าสู่อ้อมกอดของเขา และร้องไห้สะอึกสะอื้นไปนานแล้ว
มู่วี่สิงเม้มริมฝีปาก พูดอย่างเฉยชาว่า “อย่าหาเรื่องยุ่งยากให้ผมอีก”
เธอหลบสายตาของเขา จากนั้นก็ตอบรับออกมาง่ายๆ
ตลอดทางที่เดินกลับมายังที่พัก ก็เป็นเวลาตีกว่าๆแล้ว สองสามีภรรยายังคงยืนรออยู่ด้วยความเป็นกังวล เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกลับมา จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ
เวินจิ้งชักมือออกจากมือของเขา จากนั้นก็นั่งลงในห้องโถง แล้วกัดฟันลูบเท้าตัวเอง
คุณยายสายตาแหลมมาก มองไปแค่แวบเดียวก็สามารถมองเห็นข้อเท้าที่บวมแดงของเธอได้ จากนั้นก็ส่งเสียงอุทานว่า “โถ่”ออกมาอย่างนึกสงสาร “ทำไมเป็นแบบนี้ได้ล่ะ?”
เวินจิ้งมองคุณยายที่รีบร้อนหายามาให้อย่างเกรงใจ จากนั้นก็พูดขอบคุณ
มู่วี่สิงยืนอยู่ข้างๆมาตั้งแต่ต้น ด้วยสีหน้าที่สุดจะทน
คุณปู่ส่งผ้าขนหนูสะอาดๆมาให้เขา แล้วพูดเร่งเร้าว่า “รีบเอาไปเช็ดผมให้แฟนซะสิ”
เขารับมาช้าๆ จากนั้นก็เดินมาหยุดอยู่ข้างๆเวินจิ้ง ใช้ปลายนิ้วปัดเส้นผมเปียกๆของเธอ
ความบวมช้ำบนข้อเท้าแทบจะแผดเผาเธอ เวินจิ้งพยายามอดทนมาตลอดระหว่างทางเดินกลับ อันที่จริงมันปวดจนชาไปแล้วล่ะ
ในตอนที่เขาขยับมาใกล้ เขาก็ใช้ผ้าขนหนูผืนนุ่มเช็ดเส้นผมให้เธอ แต่เวินจิ้งกลับหันหลบไปด้านข้างโดยอัตโนมัติ
เหมือนมู่วี่สิงจะเดาไว้แล้วว่าเธอจะทำแบบนี้ เขาเลยยื่นมือออกไปจับหน้าเธอเอาไว้ให้อยู่กับที่ จากนั้นก็ช่วยเธอเช็ดผมอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
กลิ่นของยาดองแสบจมูกมาก ทั้งสองยังไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งคุณยายเก็บของแล้วเดินจากไป มู่วี่สิงถึงได้ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เท้ามีแผล แล้วทำไมไม่บอก”
เวินจิ้งพูดเสียงเบา ด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความสั่นไหวใดๆ “ไม่เจ็บ”
รอบข้างเงียบสนิท ได้ยินแค่เสียงลมหายใจของกันและกัน
ภายใต้แสงไฟสีนวล เขามองพิจารณาท่าทางของเธออย่างถี่ถ้วน น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นบางเบา “เวินจิ้ง คุณกำลังไม่รักตัวเอง”
สายตาที่เดิมทีเรียบนิ่งของเวินจิ้งค่อยๆมีอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมา ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อขยับจะพูด แต่ไม่นานก็เก็บอาการเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ทิ้งเอาไว้แค่คำว่า “ช่างเถอะ”
ไม่สนว่าเขาจะมองยังไง และก็ไม่สนด้วยว่าตัวเองจะเป็นยังไง
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ช่างมันเถอะ
ในที่สุดเขาก็โยนผ้าขนหนูทิ้งไปไว้ด้านข้าง แล้วพูดขึ้นโกรธๆว่า “จิ้งจิ้ง”
เวินจิ้งทำเพียงแค่ค้ำโต๊ะแล้วลุกขึ้น จากนั้นก็เลิกคิ้ว ถามยิ้มๆว่า “แล้วคุณมาตามหาฉันทำไม?”
ระหว่างคิ้วของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนล้า เธอไม่รอให้มู่วี่สิงตอบกลับ หมุนตัวเดินกะเผลกๆขึ้นบันไดไป
แสงยามกลางคืนสะท้อนแผ่นหลังของเธอให้เป็นเงายาว บันไดทั้งสูงทั้งชัน ในทุกๆก้าวที่ย่ำเดิน ทำให้ข้อเท้าที่เพิ่งทายามาเกิดอาการเจ็บจนใจจะขาด
เวินจิ้งใช้แรงจากมือทั้งสองข้างค้ำเอาไว้ ทุกๆการก้าวเดินเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่กระนั้นเธอก็ยังมุ่งมั่น ไม่ได้สนใจสายตาขุ่นมัวที่ทอดมองตามหลังมาเลยสักนิด
จนในที่สุดก็มานั่งบนเตียงด้วยใบหน้าเปื้อนเหงื่อ เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็มานอนขดตัวอยู่บนเสื่อ เวินจิ้งค่อยๆหลับตาลง แต่เมื่อนึกไปถึงตอนที่ตัวเองหลงทางอยู่บนภูเขาเมื่อกลางวัน เธอก็ไม่ได้มีความรู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด เธอแค่เดินไปตามทางบนภูเขาไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็หาทางออกไม่เจอ
หลังจากที่เจี่ยนอีจากโลกนี้ไป โลกของเธอก็พังทลายลงครั้งยิ่งใหญ่ และหลังจากที่ต้องห่างกับมู่วี่สิง ความเชื่อมั่นที่แน่วแน่ของเธอก็พังทลายลงในพริบตาเช่นเดียวกัน
เธอรู้ว่าที่ตัวเองยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะมู่วี่สิงทั้งนั้น
เพียงแต่ว่าเขาในตอนนี้ มักจะทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองตกอยู่ในหลุมลึก ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางปีนขึ้นมาได้
อย่างเมื่อครู่ วินาทีที่เขาแหวกพงหญ้ามาเจอเธอ เธอไม่ได้รับรู้ถึงสัญญาณว่าจะมีคนมาช่วยเลยสักนิด ตรงกันข้ามความรู้สึกกลับยิ่งหนักอึ้ง มันเหมือนกับว่าต้องกลับไปเผชิญหน้ากับฝันร้ายต่อ เธอหลบมาได้ตั้งนาน ยังถูกตามหาเจอ
ด้านข้างเตียงมีเสียงไม่หนักไม่เบามากจนเกินไปส่งเสียงขึ้นมา เสียงเย็นๆของมู่วี่สิงดึงเธอออกมาจากภวังค์ของตัวเอง “ลุกขึ้น”
“คุณยายทำซุปขิงให้คุณ” เขาพูดออกมาเรียบๆ
เวินจิ้งลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือออกไปรับเอาถ้วยมา จากนั้นก็กินซุปขิงร้อนๆเข้าไปโดยไม่พูดไม่จา หลังจากกินเสร็จ ก็เอนตัวลงนอนอย่างเงียบๆเหมือนเคย
เมื่อเตียงไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมา เวินจิ้งก็ขยับถอยเข้าไปด้านใน จากนั้นก็ได้ยินเสียงขุ่นมัวของมู่วี่สิงดังขึ้นมาว่า “เวินจิ้ง อย่าลืมนะว่าคุณไม่ได้ตัวคุณเดียว”
ความหมายของประโยคนี้ เวินจิ้งไม่เข้าใจเลยสักนิด และก็ไม่คิดที่จะเข้าใจด้วย
ไม่นานเธอก็หลับตาลงอย่างปิดสนิท แต่เธอกลับไม่ได้หลับ
รอบด้านไม่มีแสงจันทร์ และก็ไม่มีแสงไฟ ระยะห่างระหว่างพวกเขาใกล้กันถึงขนาดนี้ แต่ระยะห่างภายในใจกลับยิ่งไกลออกไปมากกว่านั้น
ริมฝีปากอ่อนนุ่มประทับลงบนแผ่นอก จากนั้นก็ค่อยๆขยับขึ้นไปข้างบน เส้นผมของเธอเจือปนไปด้วยกลิ่นอายแห่งความชื้น จากนั้นก็ค่อยๆโอบเขาเอาไว้ช้าๆ
คิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มขมวดเล็กน้อย มองการกระทำของหญิงสาวในอ้อมกอดที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ทันใดนั้นเขาก็กระชากเธอเข้ามา แล้วกดเธอเอาไว้ใต้ร่าง
“ทำไม? เพราะผมช่วยคุณเอาไว้ คุณก็เลยรุกก่อนงี้เหรอ?”
“จะว่างั้นก็ได้” เวินจิ้งเงยหน้า แขนทั้งสองข้างโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ ในตอนที่สัมผัสกับริมฝีปากของเขา เธอก็กัดมันลงไปเบาๆ
ลมหายใจยังคงปะปนไปด้วยกลิ่นอายของน้ำขิง เขาตื่นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยื่นมือออกไปรวบจับท้ายทอยของเธอไว้แล้วกดจูบลงไปหนักๆ
ค่ำคืนนี้ไม่รู้ว่าผ่านไปยาวนานเท่าไหร่ ผ่านไปพักใหญ่ น้ำตาของเวินจิ้งก็เอ่อล้นรอบกรอบตา
ก่อนฟ้าสางในตอนที่เวินจิ้งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็เห็นว่ามู่วี่สิงกำลังยืนพิงอยู่ตรงหน้าต่าง ในมือกำลังเล่นโทรศัพท์ราวกับดูอะไรอยู่สักอย่าง จากนั้นก็ทอดสายตามองมาที่ตัวเอง
ทันใดนั้นเธอก็ตื่นเต็มตา คิดว่าอาจจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับบริษัทหลินซื่อกับแม่ก็เป็นได้
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่ประเทศFหรือเปล่า?”
เขาเดินเข้ามาหาอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็นั่งลงบนขอบเตียง ปรายสายตาลงบนไหล่บอบบางของเธอ บนนั้นเต็มไปด้วยรอยจ้ำมากมาย ปลายนิ้วเย็นๆของเขาแตะลงไปอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ลูบมันช้าๆอย่างหลงใหล
“เปล่า” เขายิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
เวินจิ้งรีบหลบสายตา เพื่อไม่ให้หลงกลมู่วี่สิง
“เราจะกลับตอนไหน?” เธอเอ่ยถาม
“พรุ่งนี้ตอนเย็น”
“อ่อ” เวินจิ้งขานรับ จากนั้นก็หันหน้าไปอีกทาง
เมื่อเห็นแววตาของเธอว่างเปล่า เหมือนไม่มีชีวิตชีวาเลยสักนิดเดียว
แววตาของมู่วี่สิงจึงพลันทอแววหนักหน่วงขึ้นมาในทันที