Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 652
บทที่ 652 ว่างเปล่าราวกับไร้จิตวิญญาณ
ที่นั่งของห้องโดยสารชั้นหนึ่งนั้นกว้างขวางมาก ระหว่างมู่วี่สิงและเวินจิ้งมีระยะห่างบางอย่าง
เมื่อเห็นท่าทางประหม่าของเวินจิ้ง ชายหนุ่มจึงยื่นมือไปเงียบๆ นำฝ่ามือวางบนหลังมือของเธอพลางลูบเบาๆ อย่างปลอบประโลม
ถึงแม้ห้องโดยสารชั้นหนึ่งจะไม่มีคน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์อลหม่านแบบนี้แล้ว พื้นที่ที่เงียบสงัดก็ดูเหมือนเสียงดังขึ้นมาเช่นกัน
เธอได้ยินเสียงของมู่วี่สิงดังเข้ามาในโสตประสาท “กลัวไหม?”
กลัว? กลัวอะไร?
ปากบางสวยเม้มสนิทจนเป็นเส้นตรง เส้นผมสวยตกลงมาปรกที่แก้มทั้งสองข้าง ไม่มีคำพูดเปล่งออกมาจากปากเธอ
มู่วี่สิงแค่คิดว่าเธอแค่ตกใจกลัว ก่อนจะบีบกระชับนิ้วทั้งสิบของเธอเบาๆ พลางพูดปลอบประโลมเธออย่างอ่อนโยนว่า “อย่ากลัวไปเลย”
“คุณรู้ไหมว่าวันนี้เรื่องตลกที่ฉันได้ยินมาคือเรื่องอะไร” เวินจิ้งหันหน้ามาถามอย่างกะทันหัน ดวงตากลมโตสวยมีแววขบขันมองสบมา
“อะไร?”
แววตาของเธอทำให้เขารู้สึกอึดอัด บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เรื่องที่ได้คุยกับไป๋ซีในวันนี้ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอก็เหมือนแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีคำพูดที่ไร้เดียงสาจนน่าตลก”
“พวกคุณคุยอะไรกัน”
“เรื่องไร้สาระน่ะ” เวินจิ้งขี้เกียจที่จะพูดต่อแล้ว สายตาเคลื่อนลงไปมองยังนิ้วมือเรียวยาวของเขา เธอยิ้มก่อนพูด “ถ้าคำพูดนั้นพูดเมื่อสามปีก่อนละก็ ฉันก็คงจะเชื่อ แต่ตอนนี้พึ่งจะเข้าใจ ว่าตัวเองเคยไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ”
ดวงตามู่วี่สิงมืดลง มองไปยังเวินจิ้ง เขาค่อยๆกระชับฝ่ามือเรียวที่กุมอยู่ให้แน่นขึ้น
ในตอนนี้ เขามีความกลัวบางอย่างเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่รู้สึกว่าเวินจิ้งเปลี่ยนไป แต่การเปลี่ยนแปลงนั้น มันเป็นเขาเองที่ทำให้มันเกิดขึ้น
แต่มันก็ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว ระหว่างพวกเรา ก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไป
เขาลืมตาเงียบๆ ก่อนจะผละมือที่กุมอยู่
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลยจนกระทั่งเครื่องบินแล่นลงจอด
เครื่องบินบินวนเวียนอยู่บนน่านฟ้าเกือบชั่วโมง ในที่สุดก็แล่นลงจอดอย่างปลอดภัย
เมื่อออกมาจากห้องโดยสารแล้ว เหล่าผู้โดยสารต่างมีสีหน้าที่ไม่ดีนัก
เวินจิ้งรู้สึกคลื่นไส้อยู่นานแล้ว แต่เพราะว่าท้องเธอยังว่าง จึงไม่มีอะไรให้อาเจียนออกมา
มู่วี่สิงสังเกตอาการของเวินจิ้ง ก่อนจะพูดขึ้นมา “ไปโรงพยาบาลกัน”
เวินจิ้งส่ายหัวเป็นพัลวัน “ก็แค่เมาเครื่องบิน รอสักนิดก็หายแล้ว”
มู่วี่สิงมองเข้าไปในนัยน์ตาเธอ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่โทรศัพท์ของเขาจะส่งเสียงร้องออกมา
ต้องเป็นหลิงเหยาที่โทรมาแน่ๆ เธอคิด มู่วี่สิงถือโอกาสแยกออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก
คนขับรถรออยู่ข้างนอกก่อนแล้ว พอเห็นเวินจิ้ง จึงลุกขึ้นทักทายอย่างนอบน้อมทันที “คุณเวิน พรุ่งนี้ผมจะมารับคุณไปโรงพยาบาลนะครับ”
“ไปโรงพยาบาลทำไมเหรอคะ?”
“คุณมู่กำชับมาแบบนี้ครับ”
เวินจิ้งหัวเราะอย่างเย็นชา ก่อนตอบ “ไม่ต้องหรอกค่ะ”
คนขับรถไม่กล้าที่จะโต้แย้ง เวินจิ้งเข้าใจความลำบากใจของเขาดี สีหน้าเธอจึงอ่อนโยนผ่อนคลายลงมามาก “เดี๋ยวฉันคุยกับเขาเองค่ะ”
มือเรียวสวยคว้าโทรศัพท์ก่อนพิมพ์ลงไปอย่างรวดเร็ว และกดส่งหาเขาอย่างไม่ลังเล
“ฉันกินยาตลอดค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
มู่วี่สิงตรงกลับไปโรงพยาบาลหนานเฉิง ภายในออฟฟิศ หลิงเหยาได้รอเขาอยู่นานแล้ว
ชายคนนี้ กำลังค่อยๆตัดขาดจากการควบคุมของเธอแล้วสินะ
“ฉันคิดว่าไม่กี่วันมานี้คุณจะไม่ไปเจอเวินจิ้งซะแล้ว ทำไมถึงเรียกเธอไปล่ะ?” หลิงเหยาพูดน้ำเสียงไม่พอใจ
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ” มู่วี่สิงตอบอย่างไม่แยแส
“ฉันแค่จะเตือนคุณ อย่าลืมเรื่องของซือซือ…”
“พอเถอะ ไม่มีอะไรแล้วก็ออกไป” สีหน้าของมู่วี่สิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา น้ำเสียงเจือความขุ่นเคือง
หลิงเหงาเม้มริมฝีปาก แต่กลับยังคงนั่งนิ่งบนโซฟา เธอหยิบรูปปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋า
“ไปเอามาจากไหน” ชายหนุ่มมองนิ่ง ก่อนถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“พี่ชายฉันจ้างคนไปสืบมา”
มู่วี่สิงขมวดคิ้ว เขาไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นัก สายตามองหยุดอยู่ที่บนรูปรูปนั้น
เขามองไปที่ผู้หญิงร่างบอบบางบนรูป สายตาหยุดอยู่ที่เธอ
ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าสายตาที่มองจะเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
หญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีอ่อนคลุมด้วยเสื้อโค้ตสีดำ มองตรงมายังกล้อง มุมปากแต้มรอยยิ้มสวย แต่ทว่านัยน์ตากลับเย็นชาเฉยเมย
เธอดูว่างเปล่าราวกับไม่มีจิตวิญญาณ
ไม่รู้ว่าตอนไหน ที่เขาก้าวล้ำเส้นและหลงลืมเป้าหมายของตัวเอง คล้ายกับจะย้อนไปเมื่อสามปีก่อน
เธออย่างไรก็เป็นแบบนี้ ค่อยๆก้าวกลับเข้ามาในใจของเขา
ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกโมโห แต่ตอนนั้นเองที่ข้อความจากมือถือเขาดังขึ้น
“ฉันกินยาตลอดค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง”
ใบหน้าของชายหนุ่มพลันเย็นชา ในดวงตามีแต่ความปวดซ่อนอยู่
… …
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดอาการป่วยของหลินเวยมีท่าทีดีขึ้นมาก เธอสามารถออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้แล้ว เวินจิ้งมารับแม่ของเธอกลับบ้าน ตลอดทางเธอมีท่าทางลังเลเห็นได้ชัด
“เสี่ยวจิ้ง มีอะไรจะบอกแม่ไหม?” หลินเวยยิ้ม
เวินจิ้งหลบตา กัดริมฝีปากแน่น นิ่งอยู่นานก่อนพึมพำออกมาเบาๆ “บริษัทมู่ซื่อกรุ้ปต้องการที่จะรับซื้อบริษัทหลินซื่อกรุ้ปค่ะ”
หลังจากได้ยิน สีหน้าของหลินเวยกลับนิ่ง ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจแต่อย่างใด
“ตอนนี้ความสัมพันธ์ลูกกับมู่วี่สิงกลับมาเหมือนเดิมแล้วเหรอ?”
เวินจิ้งเงียบ มองตรงไปยังหลินเวย บอกเป็นนัยอย่างชัดเจนผ่านสายตา
“ที่ลูกเลิกกับจิ่งห้วนเป็นเพราะมู่วี่สิงหรือเปล่า?”
เวินจิ้งยังคงนิ่งเงียบ เธอไม่คิดจะปิดบัง
“ตอนนี้โจวเซิ่งอยู่ที่ยุโรปกับโจวเซิน สถานการณ์ตอนนี้ของตระกูลโจวกำลังแย่ ไม่สามารถมาช่วยอะไรบริษัทหลินซื่อได้หรอก ตอนนี้ตระกูลมู่กำลังลงทุนกับเรา แม่ซาบซึ้งในน้ำใจของมู่วี่สิงมาก แต่แม่ก็ไม่อยากให้ลูกกลับไปอยู่กับเขาอีก” หลินเวยกล่างอย่างจริงจังและตรงไปตรงมา
สถานการณ์ตอนนี้เวินจิ้งเข้าใจเป็นอย่างดี ดังนั้นในเวลานั้น เธอจึงไม่ได้ปฏิเสธมู่วี่สิงไป
แต่พอถ้ามาถึงจุดนี้จริงๆแล้ว ระหว่างขาและเธอ มันกลับไม่มีอะไรชัดเจน
“หนูจะสู้ต่อไปค่ะ”เวินจิ้งกัดริมฝีปาก
บริษัทหลินซื่อยังไงก็ไม่เปลี่ยนผู้นำ เธอจึงต้องดำรงตำแหน่งต่อไป เกรงกลัวว่าในภายภาคหน้าไม่แน่ตัวเธออาจจะต้องเข้าโรงพยาบาลอีก
แต่ตอนนี้ มันทำได้แค่นี้
“เสี่ยวจิ้ง แม่ขอโทษ” หลินเวยถอนหายใจ จับมือลูกสาวแน่น เธอก็เศร้าใจไม่แพ้กัน
ตอนนี้หวังได้แค่โจวเซิ่ง จะสามารถนำอำนาจกลับมาได้ แต่ก็กลัวว่ามันจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด
“แม่คะ พวกเราคือครอบครัวเดียวกันนะ ตอนนี้หนูกำลังค่อยๆเริ่มต้นธุรกิจของบริษัทหลินซื่อ เงินทุนของบริษัทมู่ซื่อก็ยังพอ
บริษัทหลินซื่อจะไม่เป็นอะไรแน่นอนค่ะ”
ทว่าคิ้วที่ขมวดของหลินเวยก็ยังไม่คลายลง
ตอนนี้มู่วี่สิงเหมือนกับมีเรื่องให้จัดการเยอะแยะ เธอกับเขาติดต่อกันน้อยลง นานแล้วที่เธอไม่ได้ไปหาเขาที่คอนโด
เธอเห็นเขาเป็นครั้งคราวในนิตยสารกับบนอินเทอร์เน็ต ตอนนี้กิจการของเขาคนนั้นใกล้ที่อยู่บนจุดที่สูงที่สุด แม้จะเป็นเพียงแค่ด้านๆหนึ่ง แต่มันก็ยังคงทำให้คนยำเกรง
เมื่อเธอเผชิญหน้ากับใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคย ก็ยังทำให้ไม่ค่อยชัดเจน แน่ใจเท่าใดนัก
สถานการณ์ของบริษัทหลินซื่อค่อยๆดีขึ้นตามลำดับหยูจิ่งห้วนได้นำข่าวดีมาบอก เขาได้เสาะหาผู้ที่เหมาะสมจะมาเป็นรองประธานได้แล้ว เขาเคยเป็นอาจารย์ที่ Harvard มาก่อน และเมื่อก่อนเคยได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของ Wall street อีกด้วย เหตุผลที่เขากำลังหางานที่นี่เป็นเพราะครอบครัวของเขาต่างก็อาศัยอยู่ในประเทศF