Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 657
บทที่ 657 ทุกอย่างเหมือนเดิม
“กลับไปบ้านตระกูลหลินหรือ” มู่วี่สิงถาม
เกาเชียนส่ายศีรษะ “ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวของคุณเวินครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของมู่วี่สิงเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาฉับพลัน
“อีกเรื่องครับ นี่คือภาพกล้องวงจรปิดที่โรงแรมเลือกออกมา”
เกาเชียนส่งแท็บเล็ตให้ ภาพในจอเป็นตอนที่เวินจิ้งทะเลาะกับหลิงอี้พอดี หลิงอี้โมโหจึงผลักเวินจิ้ง ทำให้เธอที่ยืนไม่มั่นคงล้มหงายหลังทั้งตัว
มู่วี่สิงย้อนดูภาพหลายรอบ กระทั่งสุดท้ายสายตาก็มาหยุดนิ่งที่มือของเวินจิ้ง
เห็นชัดว่าเธอจับราวบันไดได้ แต่ว่า ท่าทางของเธอราวกับตั้งใจไม่จับให้มั่น
เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าของชายหนุ่มยิ่งนิ่งขรึม เขารีบเดินทางไปโรงพยาบาลตี้อี ทันที ที่นี่คือโรงพยาบาลที่เวินจิ้งถูกส่งมาช่วยชีวิตในวันนั้น
เขาดูประวัติการรักษาของเวินจิ้งอีกครั้ง แต่หมอที่ผ่าตัดให้เวินจิ้งลาออกไปแล้วในวันรุ่งขึ้น ตอนนี้ไม่ทราบข่าวคราวเช่นกัน
“ไปสืบมาที่สนามบินและสถานีรถไฟเมืองหนานมีบันทึกเข้าออกของเวินจิ้งหรือเปล่า” มู่วี่สิงกำชับเสียงเย็น
เวลานี้ ที่เมืองหนาน
เวินจิ้งลงจากเครื่องบินก็ตรงดิ่งไปบ้านบนถนนอันหนิง มันยังคงเหมือนกับเมื่อสามปีก่อนไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่ไม่ได้ทำความสะอาดมานานมาก จนกระทั่งฝุ่นหยากไย่เต็มห้อง
เวินจิ้งใช้เวลาสามชั่วโมงเต็มๆ ถึงจะทำความสะอาดเสร็จไปรอบหนึ่ง เธอเอนหลังบนโซฟา แล้วเปิดโทรศัพท์มือถือ
เธอโทรไปหาหลินเวย แจ้งว่ากลับมาทำธุระที่เมืองหนาน และตอบข้อความของเพื่อนสองสามคน จากนั้นก็วางโทรศัพท์ลงมุมหนึ่ง
ร่างกายยังคงรู้สึกไม่สบายนัก เธอสั่งอาหารให้มาส่งแล้วก็ผล็อยหลับไป จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เธอเข้าใจว่าพนักงานส่งอาหารมาถึงแล้ว นึกไม่ถึงว่าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูจะเป็นบอดี้การ์ดสองคนสวมชุดสูทสีดำ
เธอย่นคิ้ว แต่สายตากลับไม่ประหลาดใจสักนิด
“คุณเวิน เชิญคุณไปกับพวกเราหน่อยครับ”
สีหน้าของเวินจิ้งที่เดิมอิดโรยอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งซีดเซียวเข้าไปใหญ่
หญิงสาวขยับริมฝีปาก ตอบกลับน้ำเสียงเรียบเฉย “พวกคุณคงไม่ได้บินมาจากประเทศFใช่ไหม”
คำนวณเวลาแล้ว เธอเพิ่งเดินทางมาที่นี่ไม่ถึงครึ่งวัน ผู้ชายคนนั้นลงมือไวจริงๆ
“ใช่ครับ” บอดี้การ์ดดูเหมือนจะไม่เข้าใจที่เธอพูดเหน็บแนม เพียงแต่ผายมือทำท่า “เชิญ”
เวินจิ้งไม่ปฏิเสธ เพียงแต่กลับเข้าไปหยิบกระเป๋า แล้วก็ให้ความร่วมมือออกไปกับพวกเขา
การ์เด้นมูเจียวานที่คุ้นเคย ที่นี่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักอย่าง
อารมณ์ของเธอเยือกเย็นตลอดทางมาที่นี่ ท่าทีอิดโรย ไม่พูดจาสักคำ จนถึงขั้นหลับตาลงนอนหลับไปพักหนึ่ง
หลังลงจากรถ เธอให้ความร่วมมือเดินขึ้นไปห้องชั้นบนสุดแต่โดยดี
หรือว่าเธอให้ความร่วมมือมากไป บอดี้การ์ดสองคนนั้นประหลาดใจมาก
ในเมื่อมู่วี่สิงกำชับไว้ ไม่ว่าต้องใช้วิธีไหนต้องพาตัวมาให้ได้ คำสั่งนี้ทำให้พวกเขาคิดว่าต้องลงมือเสียอีก
เวินจิ้งไม่ใส่ใจบอดี้การ์ดที่เดินตามหลังมาเหมือนเงา เดินไปที่ห้องนอนใหญ่แล้วลงกลอน
ที่นี่สะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นจับ อากาศมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่างรู้สึกสบายเหลือเกิน
สามปีผ่านไป แม้ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธ เธอยังคงชอบใช้ชีวิตที่นี่มากที่สุด
สภาพจิตใจของเธอไม่ดีนัก หมู่นี้มีแต่เรื่องราวกระทบจิตใจที่อ่อนแอของเธออยู่แล้ว ทำให้มักจะรู้สึกอ่อนล้า
เมื่อนอนหลับแล้วไม่อยากตื่น บางครั้งกลับนอนไม่หลับทั้งวันทั้งคืน
เธอนอนลงบนเตียงใหญ่อ่อนนุ่มไม่รู้นานเท่าไหร่ เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
เสียงนี้เธอคุ้นเคยเหลือเกิน ดังนั้นแม้ว่าจะเบาแค่ไหน ก็ยังคงปลุกให้เธอที่อยู่ในภวังค์หลับตื่นขึ้นได้เช่นเคย
เธอพยุงตัวนั่ง ขณะนี้เองที่กลอนประตูขยับ มีคนถือกุญแจมาเปิดประตู
จะเป็นใครไม่ได้นอกจากมู่วี่สิง
เสี้ยวนาทีต่อมาประตูก็ถูกผลักเต็มแรง กระแทกเข้ากับผนัง มีเสียงหงุดหงิด แม้เสียงนั้นไม่ดัง แต่ด้วยพลังของคนที่เข้ามาก็ทำให้ตกใจ
ทันใดนั้นหัวใจของเวินจิ้งก็เต้นแรงตึกตัก ยังไม่ทันลุกขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนนั้นก็สาวเท้าก้าวยาวมาถึงเบื้องหน้าแล้ว
เขาสวมเสื้อสีขาวกางเกงสีดำ สีหน้าเย็นชาเหมือนความหนาวเหน็บในฤดูหนาว ราวกับพายุถาโถมมาด้วยกำลังมหาศาล
เวินจิ้งเพิ่งจะเหลือบตามอง ไหล่ก็ถูกจับแน่น ตัวโยกมาข้างหน้าโดยควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอถูกดึงมาอยู่ขอบเตียงอย่างไม่เบามือ
“อธิบายเรื่องเด็กมาให้ชัด!” ขณะนี้มู่วี่สิงยืนตระหง่านมองลงมา เสียงเหมือนดังมาจากนรก
เธอแทบไม่เคยได้ยินน้ำเสียงของเขาแบบนี้มาก่อน ระเบิดอารมณ์จนไม่เหมือนมู่วี่สิงที่เคยรู้จักไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรก็เยือกเย็นมากพอ
แต่ตอนนี้เธออ่อนล้าจนอยากจะอาเจียน สายตาท่ามกลางความมืดแวดล้อมส่องประกายจนเห็นได้ชัด จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ
ที่จริงมู่วี่สิงเพิ่งลงจากเครื่อง เหน็ดเหนื่อยตลอดการเดินทาง เพราะบอดี้การ์ดรายงานว่าพบตัวเธอแล้ว การเดินทางจากสนามบินต้องใช้เวลาสองชั่วโมง แต่เขากลับใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
ในหัวยังนึกถึงแต่เด็กบริสุทธิ์ไร้เดียงสาคนนั้น ถ้าเวินจิ้งตั้งใจตกบันได…เด็กคนนั้นไม่มีความผิดอะไร
เธอยอมให้เขากระชากตัว ไม่พูดจาสักคำ ไม่แม้แต่จะโต้แย้ง เวลานี้ดวงตาแยกดำขาวชัดเจนมีแต่ความว่างเปล่าเหมือนเถ้าถ่านที่มอดไหม้
เขาเม้มริมฝีปากบาง ปลายนิ้วออกแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่เวินจิ้งยังคงไม่ปฏิกิริยาตอบโต้แต่อย่างใด
ขณะนี้เธอเหมือนหุ่นไม้ ไม่ขยับเขยื้อนและไม่พูดจา
“เรื่องที่คุณท้อง มันจริงมั้ย ทำไมใจร้ายขนาดนี้ ทำไมต้องตั้งใจตกลงไป ทำไมต้องฆ่าลูกของเรา!”
เผชิญหน้ากับคำถามที่พรั่งพรูเหมือนพายุฝน เวินจิ้งยังคงไม่ปริปากสักคำเดียว
เธอดื้อดึงปิดปากเงียบต่อไป มองเขานิ่งเฉย ริมฝีปากค่อยๆ เผยรอยยิ้มเย็นชา
นึกไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะเดือดดาล และสลัดหน้ากากที่สง่างามสุขุม เผยโฉมด้านที่ดุร้าย
มู่วี่สิงที่เคยรู้จักหายไปต่อหน้าเธอแล้ว
เธอควรจะดีใจไม่ใช่หรือ แต่เวลานี้ ในใจมีแต่ความเศร้าโศกเจือจาง คิดถึงเด็กคนนั้น คิดถึงภาพนั้น ยังคงเป็นฝันร้ายของเธอ
เมื่อสงบลงแล้ว ในที่สุดเธอก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ฉันไม่ได้ท้องตั้งแต่แรก”
“คุณโกหก” มู่วี่สิงหรี่ตา สายตายิ่งโกรธมากขึ้น
“แล้วแต่คุณจะเชื่อหรือไม่”
เวินจิ้งรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน อยากหลุดพ้นจากการควบคุมของเขา แต่เห็นได้ชัด มู่วี่สิงไม่คิดจะปล่อยเธอไปง่ายๆ
สายตาที่ซ่อนความรู้สึกลึกๆ มองตามนิ้วมือที่ดึงกลับอย่างรวดเร็ว เวินจิ้งรู้สึกเจ็บปวดข้อมือทันที เธอทนไม่ไหวขมวดคิ้ว เสียงยังคงสงบนิ่ง คล้ายกลับมีดที่ไร้ความคม กรีดลงบนหัวใจของเขาทีละแผลช้าๆ “มู่วี่สิง คุณไม่รู้จริงๆ หรือ ฉันยอมที่จะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณอีกทั้งชีวิตนี้ ฉันจะท้องลูกของคุณได้ยังไง”
เธอรู้สึกปวดท้องเพราะความตื่นเต้น ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “ถึงจะท้องจริง ฉันก็เก็บเด็กคนนี้ไว้ไม่ได้อยู่ดี…ฉันให้เขาเกิดมาไม่ได้