Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 685
บทที่ 685 พวกเรายังคงเป็นครอบครัวเดียวกัน
เพิ่งจะก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่น เวินจิ้งก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่คมชัดเป็นพิเศษ “พี่ชายวี่สิงกลับมาแล้ว!”
เวินจิ้งที่ได้ยินคำว่าพี่ชายวี่สิงอดที่จะขนลุกไม่ได้
แต่น้ำเสียงนี้อ่อนหวานไพเราะราวกับเด็กสาวไร้เดียงสา จึงยากที่จะทำให้คนรู้สึกรังเกียจ
เวินจิ้งเงยหน้ามอง เด็กสาวตรงหน้าดูค่อนข้างที่จะวัยรุ่น และยังให้ความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างมาก…
หนังตาของเธอก็กระตุกทันที
มู่ซี…ที่แท้ก็คือไป๋ซีหรอกเหรอ
ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะเป็นที่รู้จักไม่น้อย แต่มู่เฉิงรับหล่อนมาเลี้ยง…ส่วนวัตถุประสงค์นี้ไว้รอสืบหาดูอีกที
“คุณหนูเวิน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ” เด็กสาวยกยิ้มเป็นเจิดจ้า ตอนที่ยิ้มคิ้วเปลี่ยนเป็นทรงโค้ง ชวนใช้ทั้งรักทั้งเกลียด
พูดจบ เจ้าก็มองไปที่มู่วี่สิงอีกครั้ง ใบหน้าขึ้นสีแดงเรื่อ “พี่ชายวี่สิง”
มู่วี่สิงเพียงชำเลืองมองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย จากนั้นก็จูงเวินจิ้งเดินไปทางโซฟา แล้วหยุดยืนตรงหน้ามู่เฉิง “คุณปู่”
เวินจิ้งเองก็เอ่ยปากกล่าวเสียงเรียบ “คุณปู่มู่”
มู่เฉิงเก็บสายตาที่กำลังทอดมองมู่ซีกลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“วี่สิง มู่ซีทักทายแกดี ๆ แล้วทำไมแกถึงทำทีแบบนั้น”
มู่วี่สิงเพียงพูดดูน้ำเสียงเรียบนิ่ง “แต่ไหนแต่ไรมาท่าทีของผมก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”
เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับไป๋ซีอยู่แล้ว แม้ว่าจะเคยมีเพียงเล็กน้อย แต่ตอนนี้ก็ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่ามู่เฉิงจะเก็บผู้หญิงคนนี้ไว้เพียงเพราะเหตุนี้
เขาขมวดคิ้วแน่น
“แก…” มู่เฉิงถลึงตามองเขาอย่างโมโห เห็นได้ชัดว่าโกรธมาก
เวินจิ้งคิดเบา ๆ หากเป็นก่อนหน้านี้ เธอคงเกลี้ยกล่อมไม่ให้เขาทำแบบนี้อย่างแน่นอน
“อย่าโมโหไปเลยนะคะคุณปู่” มู่ซีเดินเข้ามาในช่วงจังหวะที่เหมาะเจาะ ช่วยคุณปู่นวดไหล่อย่างรู้ใจ “นิสัยพี่ชายวี่สิงก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เขาไม่ได้มุ่งเป้าหนูไว้เป็นพิเศษหรอกค่ะ”
ก่อนหน้านี้เธอเองก็รู้จักนิสัยของมู่วี่สิงดี
เขาแสดงความอ่อนโยนต่อหน้าผู้หญิงที่ชื่อเวินจิ้งคนนี้เท่านั้น
ดูเหมือนมู่เฉิงจะได้ประโยชน์จากคำพูดของเธอไปมาก ในไม่ช้าความโกรธบนใบหน้าของเขาก็คลายลงไปไม่น้อย ยกมือเป็นสัญญาณให้พวกเขานั่งลงได้ จากนั้นก็พูดขึ้นมาทันที
“วี่สิง ฉันเห็นมู่ซีเป็นเหมือนลูกสาว และฉันก็หวังว่าแกจะมองเธอเป็นเหมือนน้องสาว”
มู่วี่สิงไม่แม้แต่จะเลิกคิ้ว เพียงแต่ตอบรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างผ่านไปที
แต่เวินจิ้งกลับเห็นแสงวาบในดวงตาของมู่ซีอย่างชัดเจน จิตใต้สำนึกของเธอรู้สึกว่ามู่ซีชอบมู่วี่สิง
จู่ ๆ มู่เฉิงก็มองไปที่เวินจิ้ง เขาเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ สายตาสบมองเข้าไปในดวงตาของเธอโดยตรง “เวินจิ้ง เรื่องก่อนหน้านี้ฉันต้องขอโทษมากจริง ๆ ในเมื่อเธอยังยอมคบกับวี่สิง พวกเราก็ยังคงเป็นครอบครัวเดียวกัน ฉันหวังว่าเธอจะให้อภัยฉัน”
แม้ว่าดวงตาของมู่เฉิงในตอนนี้จะไม่อบอุ่น แต่ก็ไม่ได้นุ่มนวล ช่างแตกต่างกับที่เคยใช้มองเธออย่างเฉยเมยและรังเกียจโดยสิ้นเชิง ท่าทีครั้งนี้แม้จะเรียบนิ่ง แต่ก็ฟังดูจริงใจเป็นอย่างมาก
มู่ซีเองก็ยิ้ม “คุณหนูเวินกลับมาพร้อมกับพี่ชายแบบนี้แล้ว เธอจะต้องไม่โทษคุณปู่แล้วอย่างแน่นอนค่ะ คุณปู่ไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ”รอยยิ้มที่เหมือนกับคนเป็นแม่ทั้งอ่อนหวานและจริงใจ “คุณหนูเวิน ฉันพูดกับคุณปู่ว่าวันนี้ฉันจะเป็นคนทำมื้อเที่ยง เธอจะทำด้วยกันไหม”
เวินจิ้งฝืนใจยกยิ้มเล็ก ๆ “ได้สิ”
เธอดึงมือตัวเองออกมาจากมือมู่วี่สิง แล้วพูดด้วยเสียงเบา “ฉันจะไปช่วยงานที่ห้องครัว”
ชายหนุ่มก้มศีรษะลงประทับจูบบนแก้มของเธอ “เด็กดี ทำของที่เธอชอบก็พอ”
พอเห็นหญิงสาวทั้งสองคนเดินจากไป มู่เฉิงก็หยิบชาบนโต๊ะขึ้น แล้วพูดเสียงราบเรียบว่า “ตอนนี้แกพอใจแล้วใช่ไหม เรื่องของโจวเซินฉันจะจัดการให้อย่างยุติธรรม เขาจะไม่มีโอกาสตามรังควานเวินจิ้งอีก”
แววตาดำลึกของมู่วี่สิงมองคุณปู่ของบ้านตัวเอง ดูเหมือนว่าตั้งแต่ครั้งนั้นที่เขาเกือบให้คนฆ่าเวินจิ้ง แล้วถูกเตะกระถางดอกเดซี่จนล้มคว่ำ ก็มีทีท่าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“วี่สิง ปู่เองก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ”ราวกับมู่เฉิงเข้าใจความคิดของหลานชายตัวเองเป็นอย่างดี จึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ฉันก็อยู่มาจนแก่ขนาดนี้แล้ว ความปรารถนาก็ไม่ได้มากได้มาย ความต้องการเดียวที่มีก็แค่อยากให้ครอบครัวมารวมตัวกัน ตอนนี้มีมู่ซี เธอทั้งดีทั้งน่ารักน่าเอ็นดู เพื่อประโยชน์ของเวินจิ้งแล้ว แกก็อย่าเกลียดปู่อย่างฉันคนนี้นักเลย”
ในที่สุดใบหน้าราบเรียบและเย็นชาของมู่วี่สิงก็ปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำและมีพลังว่า“คุณปู่ ผมรักเธอมาก ดังนั้นผมก็หวังว่าปู่จะสามารถยอมรับเธอได้จริง ๆ ”
ต่อให้คนทั้งโลกคัดค้าน เขาก็จะไม่ปล่อยมือจากเวินจิ้ง
ถึงแม้เขาจะไม่ใส่ใจ แต่เขารู้ว่าในใจของเวินจิ้ง ความเกลียดชังของมู่เฉิงจะเป็นอุปสรรคที่เธอยากลำบากจะก้าวผ่านไปได้
“เรื่องของโจวเซินผมจัดการเองได้ ปู่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรกับเรื่องนี้”
ที่ในห้องครัว เวินจิ้งกำลังตั้งใจล้างผัก เสียงที่ชัดเจนและละมุนหูของมู่ซีดังขึ้นเป็นครั้งคราว “คุณหนูเวิน เธอยัง…ยังเกลียดคุณปู่อยู่อีกไหม”
เวินจิ้งชะงัก ยังเกลียดอยู่ไหมอย่างนั้นเหรอ
ถ้าจะบอกว่าเกลียด แน่นอนว่าแต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยเกลียดมู่เฉิงเลยสักครั้ง
มู่ซีวางมีดหั่นผักลงแล้วพูดอย่างจริงจัง “คุณหนูเวิน ฉันหวังว่าคุณจะเลิกเกลียดคุณปู่ ถึงแม้ว่าท่านจะพยายามฆ่าคุณ แต่ความจริงแล้วเขาก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เขาบริจาคเงินให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทุกปี และมักจะไปเยี่ยมเด็กพวกนั้นอยู่บ่อย ๆ ”
เธอหยุดมือแล้วพูดออกมากด้วยแววตาจริงใจ “ฉันคิดว่าที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะการตายของซือซือกระทบกับเขามากเกินไป สามปีมานี้เขาก็ป่วยเป็นโรคเครียดมาโดยตลอด…”
“โรคเครียดอย่างนั้นเหรอ”เวินจิ้งชะงัก ตลอดมาเธอไม่เคยรู้เลยว่ามู่เฉิงเป็นโรคเครียด มู่วี่สิงเองก็ไม่เคยบอกเธอ
มู่ซีพยักหน้า “ใช่แล้ว”
สีหน้าของเธอดูทนไม่ไหวเล็กน้อย “ฉันรู้แค่ว่าตอนที่คุณปู่ส่งคนไปจัดการเธอ พี่วี่สิงก็กลับบ้านมาอย่างหัวเสีย แถมยังเตะกระถางดอกเดซี่ที่คุณปูดูแลอย่างทะนุถนอมมาโดยตลอดล้มกลิ้ง พูดว่าถ้าคุณปู่ยังเห็นเขาเป็นหลานชาย ก็อย่าได้ทำร้ายเธออีก”
เวินจิ้งรู้สึกช็อกอย่างรุนแรง เขาพูดกับคุณปู่แบบนั้นจริง ๆ เหรอ
มู่ซีพูดต่อ “ดูเหมือนว่าเป็นเพราะเหตุการณ์นี้ คุณปู่เลยเริ่มที่จะไปโรงพยาบาลเพื่อรับคำปรึกษาทางจิตวิทยา จากนั้นก็ติดต่อมาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของฉัน เขาอยากจะหาที่ฝากฝังความหวังและอุดมการณ์ จากนั้นก็ปล่อยวางเรื่องก่อนหน้านี้ทั้งหมด”
เวินจิ้งเงียบไปนาน เธอเพียงก้มหน้าล้างผักอย่างช้า ๆ
“ดังนั้นแล้วคุณหนูเวิน” มู่ซีพูดอย่างจริงจัง “ฉันรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่คุณปู่พาฉันออกมา ทำให้ฉันได้ออกหนีจากวงการบันเทิงและความสับสนวุ่นวายพวกนั้นได้ ทั้งยังมอบบ้าน พี่ชายและพี่สะใภ้ในอนาคตให้กับฉัน ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกคุณจะยอมให้อภัย”
เวินจิ้งเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไปแล้ว ปฏิกิริยาแรกหลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้คือการถามขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวว่า “เธอชอบมู่วี่สิงไม่ใช่เหรอ ถ้าพวกเราดีกันแล้วเธอจะไม่มีโอกาสแล้วนะ”
ใบหน้าของมู่ซีแดงก่ำ จากนั้นก็ตอบว่า “พี่ชายวี่สิงเป็นผู้ชายที่ดีมาก ๆ เด็กผู้หญิงทั่วไปต่างก็ชอบเขากันทั้งนั้น เพียงแต่ชอบแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีโอกาสเสมอไป ได้เป็นน้องสาวของเขาฉันก็ดีใจมากแล้ว ฉันโชคดีกว่าคนอื่นตั้งเยอะ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”
มู่ซียอมรับอย่างใจกว้าง แต่กลับทำให้ความไม่พอใจในช่วงแรก ๆ ของเวินจิ้งหายไปไม่น้อย
เธอนำผักในจากที่ล้างเสร็จแล้วใส่ลงในตะกร้า จากนั้นหยิบมะเขือยาวขึ้นมาล้างอีกครั้ง “นี่ก็สายแล้ว ผัดผักเถอะ”
มู่ซียิ้มหวาน “ได้เลย”
เวินจิ้งล้างผักในมือ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าก้อนหินที่กดทับหัวใจของเธอมาโดยตลอดดูเหมือนจะเบาลงไปมาก