Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 699
บทที่ 699 ไม่ตามใจเธออีก
เวินจิ้งรู้ว่ามู่วี่สิงตอนนี้ตรวจรักษาโรคอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดอีก เขาได้ลดปริมาณงานของเขาลงเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ
หรือว่า…..เป็นเพราะเธอตอนนี้กำลังตั้งครรภ์อีกครั้งท่าทีจึงได้อ่อนลง ดังนั้นเขาจึงไม่ตามใจเธออีก
ไม่ใช่สิ แค่การโทรหาไม่ใช่เป็นการตามใจสักหน่อย…..
เธอวางคางไว้บนเข่า แล้วฟังเสียงที่ออกมาจากโทรศัพท์อย่างเย็นชา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่มีการรับสาย
เธอจึงอารมณ์เสียจนกลายเป็นงี่เง่า โทรต่อเนื่องสี่ห้าสาย ก็ยังไม่มีคนรับสาย สุดท้ายก็โยนโทรศัพท์ทิ้ง
กลางคืนนอนไม่หลับ เปิดเครื่องปรับอากาศก็เย็นเกินไป หากไม่เปิดเธอก็รู้สึกไม่ชิน ไม่ว่าจะนอนท่าไหนเธอนั้นรู้สึกนอนไม่สบาย หรือว่าเป็นเพราะตอนบ่ายนั้นนอนนานเกินไป ตอนนี้ยิ่งหงุดหงิดยิ่งนอนไม่หลับ
เมื่อเธอตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้น แล้วลงมาทานอาหารเช้านั้นก็เห็นเพียงมู่ซีกับมู่เฉิง แต่กลับไม่เห็นผู้ชายที่คอยเทียวไปเทียวมาตามเธอเกือบทั้งวันคืนในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้
เวินจิ้งให้คนรับใช้เสิร์ฟข้าวต้มให้เธอ ก้มหน้าทานไม่กี่คำ จึงถามขึ้นเบาๆ “มู่ซี พี่ชายเธอล่ะ”
อาจด้วยพักผ่อนไม่เพียงพอ เสียงของเธอมีอาการแหบเล็กน้อย
ดวงตาส่วนขาวดำของมู่ซีที่แยกออกชัดเจนกำลังกลอกไปมา ดูเหมือนกับเป็นคำถามที่ตอบยาก เธอเหลือบไปมองมู่เฉิงแต่มู่เฉิงกลับไม่มีการตอบสนอง นั่งดื่มนมถั่วเหลืองอย่างตั้งอกตั้งใจ
เวินจิ้งความคิดค่อยๆดิ่งลง และก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
มู่ซีพูดเสียงต่ำว่า “พี่สะใภ้คะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากบอกพี่นะ แต่เป็นเพราะว่าเกี่ยวกับงานของพี่วี่สิง จึงไม่อาจจะสามารถพูดได้ รอพี่วี่สิงกลับมาแล้วพี่ค่อยไปถามเขาด้วยตัวเองดีไหม”
เวินจิ้งรู้สึกว่าคำที่หญิงสาวคนนั้นใช้นั้นง่ายต่อการเข้าใจเหลือเกิน หรืออีกนัยก็คือถึงแม้ว่ามู่วี่สิงกลับมาเขาก็ไม่มีทางจะปริปากบอกให้เธอทราบ
เธอยิ้มอย่างเย็นชา แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
มู่วี่สิงไม่เข้าใจเธอที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ชอบที่นี่ก็ยังจะดันทุรังที่จะพักอยู่ที่นี่ เธออยากจะรู้ให้ได้ เขาบังคับให้เธออยู่บ้านหลังนี้…..แท้ที่จริงยังมีพื้นที่ให้เธออยู่หรือไม่
มู่ซีมองดูสีหน้าของเวินจิ้งแล้วถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “พี่สะใภ้ พี่โกรธหรอ”
เวินจิ้งค่อยๆทานข้าวต้ม “ผู้หญิงที่โกรธง่ายจะแก่เร็ว เธอบอกเองไม่ใช่หรอว่าเขามีธุระ ทำไมฉันต้องโกรธด้วย”
คำพูดของมู่ซีถูกคำพูดเธอทับถม ใบหน้ายังคงไว้ซึ่งรอยยิ้ม “ถ้าพี่สะใภ้ไม่ได้โกรธก็ดีค่ะ พี่ทานข้าวต้มอิ่มหรือยัง ต้องการจะทานเกี๊ยวเพิ่มไหม”
เวินจิ้งยังคงยิ้มจางๆ ไม่แสดงอาการใดๆให้เห็น “ฉันทานข้าวต้มก็พอแล้ว”
ตอนนี้เธอไม่ค่อยชอบอาหารที่เลี่ยนๆมันๆ ข้าวต้มจืดๆเช่นนี้เหมาะปากที่สุด
มู่วี่สิงยังไม่กลับมา เธอสิงอยู่ที่ห้องหนังสือของเขาเพื่อดูข่าวสาร ดูทีวี หรือบางครั้งก็อ่านข้อมูลข้อควรระวังเกี่ยวกับคนตั้งครรภ์ เพราะว่าประสบการณ์จากครั้งก่อน ทำให้ครั้งนี้เธอจะต้องปกป้องเด็กคนนี้อย่างระมัดระวัง
แม้มู่ซีจะคอยเจ๊าะแจ๊ะคอยชวนเธอออกไปเดินช้อปปิ้ง แต่เมื่อเวินจิ้งนึกถึงลูกขึ้นมา เธอก็ไม่อยากออกไปไหน กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
จนกระทั่งถึงเวลาทานอาหารตอนเย็น มู่วี่สิงถึงได้กลับมา เขายังคงสวมชุดเดิม เวินจิ้งยังคงทานอาหารอย่างเงียบๆ ไม่ปริปากพูดใดๆ และก็ไม่ได้มองเขา
มู่วี่สิงนั่งลงข้างๆเธอ ยังไม่ทันที่เขาจะพูดกับเวินจิ้ง มู่ซีก็ได้ลุกขึ้นทันที “พี่วี่สิงทำไมพี่ไม่บอกว่าจะกลับมาทานข้าวด้วย เดี๋ยวฉันจะบอกเชฟให้ทำกับข้าวเพิ่ม ฉันจะไปตักข้าวให้พี่นะ”
มือของเวินจิ้งกำแน่นขึ้น แล้วก็วางตะเกียบตัวเองลงทันที จับช้อนของตัวเองที่ใช้ทานซุปเมื่อสักครู่แล้วตักซุปเพิ่มอีกหนึ่งถ้วย จากนั้นก็วางลงตรงหน้าเขาอย่างเงียบสงบ
มู่เฉิงถามขึ้นเบาๆ “วี่สิงเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดูเหมือนแกจะเหนื่อยมาก”
มู่วี่สิงมองดูคุณปู่ด้วยสายตาหม่นหมอง น้ำเสียงยังคงเบาอย่างเมฆพลิ้วอย่างลม “ไม่มีอะไรครับ”
เมื่อมู่ซีวางถ้วยข้าวลงตรงหน้าเขา เขากำลังจับช้อนเพื่อจะตักซุปมาทาน
ดวงตาของเขายังคงจดจ่ออยู่ที่เวินจิ้ง จ้องมองอยู่นานถึงกับขมวดคิ้วแล้วถามขึ้น “ทำไมไม่ทานให้เยอะกว่านี้ ไม่ชอบทานหรอ
เวินจิ้งที่ทานอาหารน้อย อีกทั้งยังดูเบื่ออาหาร
มู่ซีจึงรีบเอ่ยปากพูดขึ้น “พี่สะใภ้ อาหารพวกนี้ล้วนเป็นฝีมือของเชฟ พี่ชอบทานอะไรหรือไม่ชอบทานอะไรก็บอกกับเชฟได้โดยตรงเลยนะ”
เธอกะพริบตา มองดูสีหน้าคุณปู่ที่เงียบสงบ และหันไปทางมู่วี่สิงแล้วแลบลิ้นใส่ “พี่วี่สิงเอาใจใส่แต่พี่สะใภ้ คุณปู่น้อยใจเป็นนะคะ”
ในที่สุดมู่วี่สิงได้เงยหน้าขึ้น “เวลาทานข้าวเธอพูดมากๆ”
ท่าทีของมู่วี่สิงที่รู้สึกรำคาญ แววตาที่เยือกเย็นดุจน้ำแข็งมู่ซีหุบปากขึ้นทันที น้ำตานองอยู่ในตา ไม่ไหลออกมาสักที
มู่เฉิงพูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “วี่สิงมู่ซีไปทำอะไรให้เธอโกรธ ทำไมถึงได้ดุขนาดนี้ ฉันชอบคนพูดเยอะ ไม่อย่างนั้นบ้านคงจะเงียบเหงาแย่”
มู่ซีรีบอธิบายขึ้น “พี่วี่สิงยุ่งมาทั้งวัน คงจะเหนื่อยน่าดู อารมณ์จึงไม่ค่อยดี ไม่เป็นไรค่ะ”
เวินจิ้งที่ยังคงไม่ปริคำพูดใดๆ ใช้ตะเกียบตัวเองคีบอาหารใส่ถ้วยของมู่วี่สิง แล้วพูดเบาๆว่า “ทานข้าวเถอะ”
มู่วี่สิงมองเธออย่างลึกซึ้ง “อืม”
เมื่อเวินจิ้งทานอาหารเสร็จ จึงพูดขึ้นอย่างสงบว่า “หนูทานเสร็จแล้ว คุณปู่และทุกคนค่อยๆทานต่อนะคะ”
จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วจากไป และไม่ได้เหลียวมองชายข้างกาย สีหน้าก็ไร้อารมณ์
มู่วี่สิงมองดูด้านหลังเธอค่อยๆหายลับไปจากบันได ถึงได้ก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อไป
เวินจิ้งอาบน้ำเสร็จสวมชุดนอนกระโปรงเตรียมเข้านอน ผู้ชายก็ขึ้นมา
เธอนั่งเช็ดผมอยู่ตรงหัวเตียง กลิ่นครีมอาบน้ำหอมอบอวลไปทั่วห้องนอน
เขาได้ถอดเสื้อคลุมออกแล้วโยนลงโซฟาข้างๆ สาวฝีเท้าก้าวเดินเข้าไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ แล้วกอดไว้อยู่ในอ้อมอก วางคางไว้ที่ลำคอ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “อารมณ์ไม่ดีหรอ หรือว่าเจ็บป่วยตรงไหน บอกผมสิ”
เธอแค่อารมณ์ไม่ดี ไม่มีตรงไหนที่ไม่สบาย
ตอนที่เธออยากจะบอกเขาแต่เขากลับไม่อยู่ หายไปตั้งหนึ่งคืน จากนั้นจู่ๆก็กลับมา อีกทั้งไม่บอกกล่าวด้วยว่าไปไหนมา เธอไม่อยากจะสนใจเขาอีก
เวินจิ้งน้ำเสียงเย็นชา “อย่ามากวน ฉันอยากจะนอน”
หลังจากพูดจบก็ยกผ้าห่มขึ้นแล้วเอนตัวลงนอน ขณะที่จะเอนตัวลง ฝ่ายชายได้ดึงเธอออกมาจากผ้าห่ม “ผมยังไม่แห้งเลย จะนอนแล้วหรอ”
แล้วอุ้มผู้หญิงมาวางไว้บนตักตัวเอง มือข้างหนึ่งของเขาได้จับคางเธอไว้แน่น “มีใครรังแกคุณ มู่ซีหรอ หรือว่าคุณปู่พูดอะไรกับคุณ”
เวินจิ้งฝืนยิ้มจ้องมองเขา “ทำไมคุณไม่ไตร่ตรองมองดูตัวเองว่ามีการหลอกลวงหรือรังแกฉันหรือไม่”
รู้จักแต่โทษคนอื่น
สีหน้ามู่วี่สิงยิ่งดูเคร่งขรึมขึ้น ยื่นคางเข้ามาแล้วหอมลงไปที่แก้มขาวๆของเธอ ในลำคอมีเสียงหัวเราะเบาๆ “ผมรังแกคุณหรอ เพราะเรื่องเมื่อคืนที่ผมไม่กลับมานอนเพื่อนคุณใช่ไหม คุณถึงไม่พอใจ”
เวินจิ้งเบือนหน้าหนีไปข้างๆอย่างโมโห
มู่วี่สิงจึงปล่อยเธอลงบนเตียง แล้วนำไดร์เป่าผมมา ข้อนิ้วมือที่เรียวยาวแทรกเข้าไปในผมของเธอ ค่อยๆบรรจงไดร์ผมให้เธออย่างตั้งใจ
ความอบอุ่นเกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบ