Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 713
บทที่ 713 ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
เวินจิ้งสังเกตว่า หมู่นี้มู่วี่สิงออกจากบ้านแต่เช้าตรู่และกลับมาดึกดื่น
เขายังคงนอนบนพื้นทุกวัน แต่ออกไปก่อนเธอตื่น หลังจากเธอหลับนานแล้วบางครั้งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ จึงรู้ว่าเขากลับมาแล้ว
ช่วงเวลานี้เธอพักที่บ้านตระกูลมู่ตลอด เมื่อมู่วี่สิงไม่อยู่ ท่าทีของมู่เฉิงต่อเธอยิ่งเย็นชามากขึ้น แม้แต่สายตาที่มองเธอก็มีแต่ความเกลียดชัง
เธอตั้งใจกินข้าวร่วมโต๊ะกับพวกเขา เพราะเธอพบว่าเมื่อเธออยู่ด้วย มู่เฉิงกับมู่ซีจะอารมณ์เสียมาก แม้แต่ความอยากอาหารก็หมดสิ้น
ตอนนี้เธอมีความสุขที่จะทำเรื่องนี้
มู่เฉิงเพิ่งจะหยิบตะเกียบขึ้นมา ก็ถามเธอเสียงเย็นชา “เวินจิ้ง หมู่นี้วี่สิงอยู่ข้างนอกตลอด เธอทะเลาะอะไรกับเขาหรือเปล่า ถึงได้ไม่ยอมกลับบ้าน”
แม้ว่ามู่ซีจะคอยเป็นเพื่อนเขาทุกวัน แต่เขาอายุมากแล้วถึงรับเลี้ยงหลานสาวก็ย่อมเทียบไม่ได้กับหลานชายของตัวเอง ในครอบครัวนี้มู่วี่สิงไม่เห็นปู่อยู่ในสายตาก็พอแล้ว ตอนนี้ยังไม่โผล่มาให้เห็นหน้าอีก
แม้ยามจะบอกว่าเขากลับบ้านทุกคืน แต่คนที่ได้พบหน้าเขามีแต่เวินจิ้งคนเดียว
เวินจิ้งก้มหน้ากินน้ำแกง เธอไม่รู้สึกอยากกินอาหาร แต่สุดท้ายแล้วก็ทนไม่ได้ที่จะทรมานเด็กในท้อง จึงบังคับตัวเองกินอาหารทุกมื้อ
เธอช้อนตา พูดเรียบๆ “ฉันทะเลาะกับเขาแล้วยังไงหรือคะ”
ริมฝีปากของเธอยิ้มนิดๆ “ทำไมหรือคะ หลานชายท่านไม่ยอมพูดด้วยและยังไม่ยอมมาให้เห็นหน้า แม้แต่อยากจะรู้เรื่องเขาก็ต้องถามฉันหรือคะ”
มู่ซีไม่พอใจท่าทางของเธอ “พี่เวินจิ้ง ฉันเคารพที่พี่เป็นพี่สะใภ้ แต่พี่อย่าทำรุนแรงเกินไป ถ้าไม่เป็นเพราะพี่ชายของพี่เพิ่งเสียไป ฉันกับคุณปู่ไม่ยอมทนมาตลอดแน่นอน”
เธอวางตะเกียบในมือลงช้าๆ รอยยิ้มที่มีมาตลอดหายไป “พี่คิดว่าพี่วี่สิงเก็บพี่ไว้เพราะยังรักพี่หรือคะ พี่เวินจิ้ง ฉันคิดว่าพี่ฉลาดมาก ทำไมทำเรื่องโง่ๆ เขาไม่รักพี่ ก็แค่รู้สึกผิดกับพี่เท่านั้น ถึงได้ยังเลี้ยงพี่ในบ้านตระกูลมู่”
เวินจิ้งรู้สึกว่าที่ มู่ซีพูดว่าเขารู้สึกผิดกับเธอ น่าขันยิ่งกว่าการแสดงออกของเขาที่แสดงความรักลึกซึ้งมาตลอด
อารมณ์ของเธอเรียบเฉยเช่นเดิม กินน้ำแกงต่อไป
เสียงของมู่ซีที่นั่งตรงข้ามยังคงดังต่อไป “ฉันไม่เห็นว่าพี่วี่สิงผิดตรงไหน พี่ชายของพี่มีส่วนให้น้องสาวเขาตาย พี่ก็เป็นผู้สมคบคิดทางอ้อม ชีวิตแลกด้วยชีวิตก็เท่านั้น!”
มู่เฉิงทนฟังเกินพอแล้ว เวินจิ้งดื้อดึงไม่ฟังเหตุผลต่อหน้าพวกเขา อดไม่ได้พูดขึ้น “เวินจิ้ง อยากได้เงินเท่าไหร่บอกมา รีบเซ็นใบหย่ากับวี่สิง ไปจากตระกูลมู่ซะ”
สุดท้ายทนไม่ไหวแล้วหรือ
ใบหน้าของเวินจิ้งยังคงเปื้อนรอยยิ้ม “ทีแรกพวกคุณหลอกมู่วี่สิงว่าฉันท้องแล้วขู่ให้คุณไปหาพี่ชายของฉัน ก็เพื่อให้เขาเป็นคนไล่ฉันออกไป ……เพราะถ้าฉันกับพี่ชายทำให้น้องสาวเขาตายแล้วยังทำร้ายคุณปู่ของเขา เขาต้องไม่ให้อภัยฉันแน่ หึ”
เธอมองทั้งสองคนอย่างครุ่นคิด ”มู่เฉิงท่านหาผู้หญิงที่เหมือนกับฉันขนาดนี้ คิดจะเตรียมพร้อมหลังไล่ฉันไปแล้ว ให้เธอเป็นหลานสะใภ้ของคุณใช่ไหม มู่ซีเธอคิดจะแต่งงานกับพี่วี่สิงของเธอมาตลอดล่ะสิ”
มู่ซีสบตากับมู่เฉิงมู่ซีทำสีหน้าไม่ถูกเมื่อถูกมองความคิดทะลุปรุโปร่ง แต่แวบเดียวก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบเฉย
“ฉันไม่เคยปฏิเสธว่าชอบพี่วี่สิง หรือถึงขั้นแต่งงานกับเขา…”
เธอเชิดหน้า “นั่นก็เป็นเพราะพี่ ตั้งแต่แรกที่พี่วี่สิงพาพี่กลับมา เขาก็เอาอกเอาใจพี่สารพัด แต่พี่ไม่ไว้หน้าเขาสักนิด คุณปู่ทำดีกับพี่ก็ไม่สนใจ แถมตอนนี้พี่ยังเกลียดพี่วี่สิงขนาดนี้ พี่เวินจิ้ง ไม่คู่ควรเป็นภรรยาพี่เขาสักนิด!”
ท่าทางหยิ่งผยองขนาดนั้น ราวกับทั้งโลกนี้มีแต่เธอที่คู่ควรกับมู่วี่สิง
ตอนกลางคืน ช่วงนี้เวินจิ้งหลับลึก ร่างกายเหนื่อยล้าเพราะตั้งท้อง บวกกับตอนกลางวันประสาทยังตึงเครียดอีก รู้สึกผ่อนคลายเวลาที่อยู่คนเดียวเท่านั้น
แต่แรกเธอไม่ได้ยินเสียงมู่วี่สิงกลับมา กระทั่งกลางดึกก็มีเสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้น
เธอหลับลึกมากแต่ก็รู้สึกตัวง่ายเช่นกัน เสียงดังขนาดนี้ปลุกเธอให้รู้สึกตัวทันที
ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แค่เพียงไม่กี่วินาที เธอก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก
สีหน้ามู่วี่สิงดุดันจับหญิงสาวที่ยืนตรงหน้าประตูลากเธอออกไปไกลค่อยพูดเสียงต่ำ แต่เวินจิ้งยังคงได้ยินเสียงดุของชายหนุ่มไม่ดังนัก
“มู่ซีทำอะไร! ไม่รู้หรือไงเวินจิ้งหลับตั้งนานแล้ว มันรบกวนเธอ รีบไปซะ!”
มู่ซีตกใจเพราะท่าทางเย็นชาของเขา พูดจาตะกุกตะกักไม่เป็นประโยค “พี่วี่สิง คุณปู่เกิดเรื่องแล้ว…อาการซึมเศร้ากำเริบ กรีดข้อมือตัวเอง…”
เธอถึงกับประหลาดใจ เพราะสีหน้ามู่วี่สิงยังคงเย็นชา เพียงแต่พูดขึ้นเรียบๆ “งั้นก็ไปเรียกหมอมา”
เขาหันไปปิดประตู ก่อนที่จะหันกลับมา
มู่ซียืนตะลึง เธอบอกเขาว่าคุณปู่ฆ่าตัวตาย เขายังอุตส่าห์ไม่ลืมปิดประตู กลัวว่าเสียงดังและแสงสว่างจากข้างนอกจะรบกวนคนที่นอนหลับขนาดนั้นเลยหรือ
เขานี่ช่าง…
เวินจิ้งขี้เกียจสนใจความวุ่นวายของพวกเขา ตอนกลางวันเธอไม่เห็นว่ามู่เฉิงมีวี่แววจะเกิดอาการโรคซึมเศร้ากำเริบตรงไหน
เธอหลับตานอนต่อ
มู่วี่สิงเดินเร็วมาก แต่ไม่ร้อนรนแม้แต่น้อย ขณะเดินเข้าไปในห้อง ก็เห็นผ้าปูเตียงสีอ่อนเปื้อนเลือดแดงฉานกองใหญ่ เขาขมวดคิ้ว สีหน้าไร้ความรู้สึก
คนรับใช้วุ่นวายกับการห้ามเลือดที่ข้อมือที่ถูกกรีดเรียบร้อยแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่ามู่เฉิงไม่ให้ความร่วมมือ ดิ้นรนขัดขืนตลอด คนรับใช้ก็ไม่กล้าออกแรงบังคับเขามากเกินไป
มู่วี่สิงกำชับเสียงเย็นกับบอดี้การ์ดที่อยู่ในห้องแล้ว “ส่งคุณปู่ไปโรงพยาบาล”
มู่ซีอดไม่ได้พูดขึ้น “พี่วี่สิง ตอนนี้ส่งคุณปู่ไปโรงพยาบาลจะดีหรือคะ ฉันกลัวว่าจะกระเทือนจิตใจคุณปู่…”
มู่วี่สิงไม่สนใจเธอ มองดูบอดี้การ์ดยกตัวมู่เฉิงลงรถเข็น จากนั้นเข็นรถเข็นออกไป เขาเดินตามหลังไป
มู่ซีคิดจะเดินตามไปด้วย แต่มู่วี่สิงหันมา สายตาเหมือนคบเพลิง ถามน้ำเสียงเย็นเยือก “คุณปู่ปกติดีทำไมอาการซึมเศร้ากำเริบ”
ไม่รู้เพราะอะไร ตอนนี้ผู้ชายคนนี้ เธอรู้สึกว่าพลังของเขาที่แผ่ออกมาทำให้เธอยิ่งหวาดกลัว พลังความเย็นชาและเหี้ยมโหดจากเขารุนแรงเหลือเกิน
“เพราะพี่สะใภ้…ตอนกลางวันที่พี่ไม่อยู่ ความสัมพันธ์ของเธอกับคุณปู่ไม่ดีนัก มักจะพูดจากระทบกระเทือนใจคุณปู่ แล้วตอนนี้พี่ยังเย็นชากับคุณปู่ได้ยังไง”
เมื่อเห็นชายหนุ่มขมวดคิ้ว ภายใต้รูปลักษณ์แสนเย็นชานั้นกำลังครุ่นคิดอะไร เธอลองถามเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “พี่วี่สิง ฉันรู้สึกว่าในเมื่อความสัมพันธ์ของพวกพี่ไม่อาจกลับมาเหมือนเดิม ทำไมพวกพี่ไม่หย่ากันล่ะ…เรื่องพี่ชายเธอพวกเราให้เงินชดเชยก็ได้ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป คุณปู่คงจะทนรับไม่ไหว…