Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 753
บทที่ 753 ความทุกข์ใจลึกๆ
เวินจิ้งทำเพียงแค่ยืนนิ่ง เงยหน้ามองขึ้นไปยังใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่ม ดวงตาสีดำขลับราวกับหินออบซิเดียนของเขาดูจดจ่อกับการเช็ดหน้าให้เธอ ท่าทางที่เช็ดหน้าให้เธอดูแข็งทื่อเล็กน้อย ไม่ผ่อนแรงเลยสักนิด
เวินจิ้งขมวดคิ้ว ก่อนบ่นอย่างไม่พอใจ “เบาลงหน่อย”
มือที่กำลังเช็ดชะงัก “โอเค”
ท่าทางแข็งทื่อของเขาแฝงไปด้วยความอึดอัดเล็กน้อย เวินจิ้งรู้ว่าเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ดวงตาสีเข้มของเธอกลอกไปมา
จริงๆแล้วเธอเป็นคนที่สวยสง่าทว่าดูเรียบง่าย ท่าทางแบบนี้กลับทำให้เธอดูสวยงามขึ้นไปอีก โดยเฉพาะดวงตาที่มองมายังเขาโดยไม่กะพริบ
ผ้าขนหนูถูกเขาโยนออกไป ก่อนจะก้มลงไปจูบเธอ
เธอยังคงมองเขาอยู่แบบนั้น ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ปล่อยให้เขาจูบไปอย่างเงียบๆ
กระทั่งเมื่อจูบที่ยาวนานได้สิ้นสุดลง เขาจึงบังคับตัวเองให้ปล่อยเธอ เวินจิ้งก้มลงไปมองและจัดการเสื้อผ้าของตัวเอง พลางพูดอย่างไม่พอใจ “จะจูบก็จูบไปสิ ยังจะทำให้ชุดฉันยับยู่ยี่อีก”
มือของเขาอยู่ไม่สุขเลยจริงๆ
ชายหนุ่มถูกบ่น แต่กลับช่วยเธอจัดเสื้อผ้าอย่างออดอ้อน เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อยเพราะไม่ได้พูดนาน “โอเคแล้ว เราไปกินข้าวกันเถอะ”
เธอตอบรับ ก่อนที่จะตามชายหนุ่มลงไปข้างล่าง
บนโต๊ะกินข้าวมีเพียงแค่เธอและเขาสองคนเท่านั้น เธอตั้งใจกินราวกับเด็กนักเรียนตั้งใจทำการบ้านอย่างไรอย่างนั้น ไม่ได้สนใจสายตาร้อนแรงของชายหนุ่มที่มองมายังร่างกายของเธอ
“จิ้งจิ้ง” เขาเรียกชื่อเธอ เสียงทุ้มต่ำของเขาทำให้ลังเลใจ “คุณนึกอะไรขึ้นมาได้ใช่ไหม”
มือที่จับตะเกียบของเธอชะงัก ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “อืม”
เธอพูดแค่คำเดียว ถึงแม้จะนึกขึ้นมาได้ แล้วอย่างไร?
ถ้าคิดขึ้นมาได้เมื่อสามปีก่อน บางทีเรื่องอาจจะไม่เป็นแบบนี้
มู่วี่สิงมองไปยังใบหน้าที่งดงามที่ไม่เรียบเฉยของเธอ เพียงแค่นั้นเขาก็ไม่รู้สึกอยากอาหารแล้ว
ใจเขาเจ็บปวด รู้สึกเหมือนมีเข็มนับพันเล่มแทงเข้ามาที่หัวใจ
ไม่ใช่ความเจ็บปวดที่เจ็บเหมือนแทบจะขาดใจไปทันที แต่กลับเป็นความเจ็บที่ค่อยๆกัดกินเขาเข้าไปทุกทีแบบละเล็กละน้อย
เขาค่อยๆวางตะเกียบลง
เวินจิ้งใช้ตะเกียบคีบเนื้อ พลางมองไปยังท่าทางของมู่วี่สิง ก่อนพูดอย่างสบายๆว่า “วันนี้คุณยุ่งมาทั้งวัน ทำไมทานข้าวน้อยจัง”
สายตาของชายหนุ่มมองตรงไปยังใบหน้าเล็กของหญิงสาว “คุณเป็นห่วงผม?”
ดวงตาของเธอขยับไปมา ไม่ได้ตอบอะไรเขา ก่อนจะพูดกับตัวเองว่า “พวกเรารู้จักกันตั้งแต่ตอนเด็ก มิน่าล่ะที่คุณบอกว่าชอบฉันตั้งแต่ตอนนั้น คุณไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้ง 1ปี ตอนนั้นคุณพ่อของฉันเป็นประธานสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ดังนั้นฉันเลยต้องไปที่นั่นบ่อยๆ ไม่รู้ว่าตอนนั้นสองคนไปสัญญาอะไรกันไว้ แต่คุณบอกว่า คุณจะมาหาฉัน คุณก็มาจริงๆ ”
เกี่ยวกับเรื่องราวตอนเด็กแล้ว เรื่องอื่นๆเธอไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ว่าเด็กชายคนนั้น เธอจำเขาได้เสมอ
แต่เธอคิดไม่ถึงว่าจะเป็นมู่วี่สิง
เป็น มู่วี่สิง
สามปีก่อน เขารู้ว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าคนนั้น ดังนั้นก็เลยแต่งงานกับเธอหรือไม่?
นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่บอกเธอมาโดยตลอด
เธอจับตะเกียบขึ้นอีกครั้งก่อนจะกินข้าว มู่วี่สิงค้างอยู่ท่านั้นอยู่นาน สายตาของเขาดูคล้ายกับมีพายุฝนพัดกรรโชกอยู่ในนั้น เธอไม่เข้าใจ
จนกระทั่งเธอกินข้าวเสร็จ ถึงได้เห็นว่าใบหน้าที่หล่อเหลาและมุ่งมั่นของเขายังคงเครียดเขม็ง ข้าวในจานถูกกินไปได้ไม่กี่คำ
เธอขมวดคิ้ว “คุณเป็นอะไร?”
เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงนำเรื่องนี้มาพูด แต่เขาความจำเสื่อม เขาอาจจะลืมเรื่องเมื่อตอนเด็กไปแล้ว แค่จำได้ว่าเขาเคยรู้จักเธอเมื่อนานมาแล้ว
เมื่อก่อนเขาจำเรื่องนี้ได้ แต่เธอจำไม่ได้
ตอนนี้เธอกลับจำขึ้นมาได้ แต่เขาก็เป็นคนที่จำไม่ได้อีก
“ไม่ได้เป็นอะไร” ชายหนุ่มพูดเสียงต่ำ เขาส่งยิ้มให้เธอ “ผมแค่คิดว่า สัญชาตญาณของผมไม่เคยผิด คุณเป็นคนที่ผมชอบมาโดยตลอด จิ้งจิ้ง”
ถึงแม้ว่าจะเป็นเมื่อก่อน หรือตอนนี้ ในเวลาที่ยาวนาน ถึงแม้ว่าเขาจะสูญเสียความทรงจำ เขาก็ไม่อาจจะลืมเธอ
“คุณขึ้นไปอ่านหนังสือเถอะ ถึงเวลาแล้วผมจะเรียกคุณไปนอน”
สิ้นคำ เขาก็ลุกเดินออกไป
“ฉันไม่อยากอ่านหนังสือ” เสียงของเวินจิ้งดังมาจากข้างหลัง เธอบ่นราวกับเด็กหนีเรียนปลิ้นปล้อน
เขาหยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาทางเธอ เขาขยับร่างไปใกล้ก่อนจะวาดวงแขนคร่อมเธอเอาไว้ “จิ้งจิ้ง เป็นอะไรไป?”
เขาแค่ก้มมองหญิงสาวในวงแขน ตอนที่เวินจิ้งเงยหน้ามองเขาเธอรู้สึกได้แค่มู่วี่สิงดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน
ดวงตาของเขายังคงแสดงความรักต่อเธอเหมือนอย่างเคย “อยากให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนไหม? หืม?”
เวินจิ้งไม่ได้พูดอะไรต่อ ทันใดมู่วี่สิงก็ทำท่าทางเหมือนจะอุ้มเธอ
เวินจิ้งดิ้นขัดขืนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะปฏิเสธออกไป “ไม่ต้องอุ้ม ฉันขึ้นไปเองได้ คุณมีธุระอะไรก็ไปทำเถอะ”
เขายิ้ม และก้มลงไปจูบเบาๆบนใบหน้าเธอ “เด็กดี ง่วงแล้วก็นอนเลย ไม่ต้องรอผม”
ถึงแม้ว่าแต่ไหนแต่ไรเธอจะไม่เคยรอเขาเลยก็ตาม
เวินจิ้งมองดูแผ่นหลังของรูปร่างสูงใหญ่ที่ค่อยๆเดินจากไป เธอเดินมาถึงห้องนั่งเล่น มองดูแสงของพระอาทิตย์สีส้มที่ปกคลุมไปทั่วร่างของเขา
คลับคล้ายเหมือนจะมีความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นออกมา กลิ่นอายของเขาช่างว้าเหว่
เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนี้หัวใจเธอกำลังเต้นตุบ และเดินตามเขาไป
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง
ภายในอาคารใหญ่รกร้างที่ไม่มีผู้คน ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาที่ดูเย็นชายืนอยู่ตรงที่ว่าง พระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินทำให้ฉากหลังของเขาดูทอดยาวออกไป
เขายืนอยู่นาน จนกระทั่งมีเสียงเท้าเดินมาทางที่ยืน
“หลังจากที่แม่มารับผมกลับ ตระกูลมู่ก็ได้ขายที่ตรงนี้ไป สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ไม่มีแล้ว”
เวินจิ้งชะงักขาข้างที่กำลังจะก้าวเข้ามา เธอขมวดคิ้ว นึกขึ้นมาได้ว่า หลังจากไม่มีสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว ก็เป็นตอนที่เวินโม่เกือบจะห่างจากเจี่ยนอีไป
“ต่อมาเมื่อผมมาอยู่ต่างประเทศ ทุกปีผมจะหาเวลาเพื่อที่จะมาเจอคุณ แต่ก็ไม่เจอเลย” เขาพูดจบ ก่อนยิ้มอย่างไม่แยแส
หลังจากตระกูลมู่ขายที่นี่ทิ้ง ก็ขับไล่เด็กทั้งหมดออกไป การเปลี่ยนแปลงครั้ง ทำให้เวินโม่ไม่มีทางเลือกอื่นจำใจต้องออกมาจากเจี่ยนอีและเวินจิ้ง
หลายปีต่อจากนี้ ข้างกายของเวินจิ้งก็มีเพียงแต่แม่ของเธอ เธอไม่ได้รับความรักของพ่อที่สมควรเป็นของเธอ
เขาคิดมาเสมอว่า ถ้าหากปีนั้นตระกูลมู่ไม่ได้ทำแบบนี้ บางทีวัยเด็กของเวินจิ้งจะต้องเต็มไปด้วยความสุขแน่ๆ หรือถ้าหากเขาสามารถไปหาเธอได้เร็วกว่านี้ ถ้าหากว่าไปได้เร็วกว่านั้นนิด
ทันใดแขนของเขาก็ถูกจับโดยมือเล็กอ่อนนุ่มของเธอ ถึงจะอ่อนนุ่มทว่ากลับให้ความรู้สึกหนักแน่นมั่นคง “มู่วี่สิง ลมที่นี่แรงมาก ฉันหนาว”
เสียงของเธอดังขึ้นข้างกายเขา ชายหนุ่มได้สติกลับมา ก่อนจะรีบถอดเสื้อโค้ตของเขาคลุมไปยังร่างบอบบางของเธอ เขาไม่คิดว่าเธอจะตามเขามาที่นี่
มู่วี่สิงจูบที่ระหว่างคิ้วเธอ “เด็กดี พวกเรารีบกลับกันเถอะ”
เขาจะถอนตัวออกมา แต่เธอกลับไม่ขยับไปไหน วงหน้าขาวสะอาดเธอดูชัดเจน และรอยยิ้มจางๆของเธอให้ความรู้สึกสงบ “มู่วี่สิง อย่าเป็นแบนี้เลย”
เพราะว่าเขากำลังกอดเธอ ดังนั้นใบหน้าเธอจึงซุกอยู่ที่แผ่นอกของเขาพอดี “เรื่องในอดีต คุณจำได้ขึ้นมาแล้วเหรอ?”
เสียงแหบแห้งของเขาสั่นเครือ “ยังเลย”
เขายิ้มอย่างขมขื่น “จิ้งจิ้ง เรื่องบางเรื่องถ้าผมอยากรู้มันก็ไม่ยาก”
เขาละอายใจ ละอายใจอย่างมาก