Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 758
บทที่ 758 แพะรับบาป
มู่วี่สิงแค่ได้ยินเธอพูด ก็ทำให้จิตใจของเขายิ่งเจ็บปวด เขาหันไปกดปุ่มเรียกนางพยาบาลให้เข้ามาพลาง พลางก้มลงไปจูบเบาๆที่ตาของเธอ
“เด็กดี อดทนหน่อยนะ ผมจะเรียกหมอให้เข้ามาดู”
จริงๆแล้วเธอไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้น ก็แค่รู้สึกปวดหน่อยๆ ท่าทางของเขาเหมือนกับตอนนี้เธอพิการอย่างไรอย่างนั้น เธอขำแบบไร้เสียง “ฉันไม่เป็นไร พักหน่อยก็หายแล้ว ไม่ต้องตามหมอหรอก เขาไม่ใช่เทพเจ้านะ”
อย่างไรก็ตามก็ควรเจ็บเพื่อที่จะผ่านมันไปให้ได้
“อืม” เขาเข้าใจเหตุผลข้อนี้ของเธอดี ดังนั้นจึงฝืนใจถอนมือออกมา “เด็กโง่ ไปทำอะไรมาถึงสภาพเป็นแบบนี้”
เขาลูบผมนุ่มสลวยของเธออย่างรักใคร่ พึมพำเสียงเบา “คราวหลังผมต้องจับตาดูคุณอย่างใกล้ชิดแล้ว เวินจิ้ง ไม่งั้นผมกลัวว่าวันใดวันหนึ่งจะถูกคุณทำให้ตกใจ”
เมื่อได้รับสายตำรวจที่บอกว่าเธอได้รับบาดเจ็บเพราะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาตกใจกลัวจนลนลานมากที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้
เรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้นเขาได้ส่งมอบให้เกาเชียนเป็นคนจัดการแล้ว ผลจะเป็นยังไงไม่มีใครรู้
ดวงตาเขาราวกับถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอก การตายของหลิงฉิง ถ้าหากหลงเหลือหลักฐานใดใดที่บ่งชี้ว่าเกี่ยวข้องกับเวินจิ้งด้วยละก็ เกรงว่าคนตระกูลหลิงกัดพวกเขาไม่ปล่อยแน่ๆ
เมื่อได้ยินมาถึงตรงนี้ ทันใดเวินจิ้งจึงเบิกตากว้าง ดวงตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว “ผู้ชายคนนั้น… …ยังมีชีวิตอยู่ไหม?”
เธอจำได้ชัดเจนว่าชายที่ถูกรถปอร์เช่ชนคนนั้น ล้มลงไปนอนกองกับพื้น ก่อนที่เลือดมากมายจะไหลนองออกมา
ผู้ชายคนนั้นคงลงมาดูว่าชนเธอเจ็บตรงไหนบ้าง แต่ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น… …
เรื่องน่ากลัวแบบนี้… …
หลิงเหยา… …ผู้หญิงคนนั้น… …บ้าไปแล้วจริงๆ แต่เธอเดาได้ว่าเธอคงไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนั้น แค่คิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้นเธอก็รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา
สีหน้าของมู่วี่สิงแปรเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิง ถามเสียงต่ำ “มันเกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อเธอถามแบบนี้ เขาเกือบจะหลุดอธิบายไปแล้วว่า เธอมีส่วนเกี่ยวกับการตายของหลิงฉิง
เวินจิ้งไม่ลังเลที่จะเล่าเหตุการณ์ที่ลานจอดรถใต้ดินตั้งแต่ต้นจนจบให้เขาฟัง เธอมุ่นคิ้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ฉันไม่คิดเลยว่าหลิงเหยาจะทำแบบนี้… …ฉันก็แค่ปฏิเสธที่จะไม่อธิบายเรื่องเธอให้หยีเป่ยโจวฟัง ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลย… …จนกระทั่งเรื่องมันเป็นแบบนี้… ….”
“โอเค ไม่ต้องคิดแล้ว เรื่องนี้เดี๋ยวผมหาทางออกเอง” มู่วี่สิงจูบไปที่แก้มเธออย่างอ่อนโยน “คุณนอนอีกหน่อยเถอะ เดี๋ยวผมให้ป้าหลี่นำอาหารมาให้ รอเธอมาแล้วค่อยตื่น โอเคไหม? ”
เธอพยักหน้าอย่างว่าง่าย หลับตาลง ก่อนจะเปิดมันขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่นาน พรุ่งนี้ทำเรื่องให้ออกจากโรงพยาบาลหน่อยสิ ฉันอยากกลับไปพักฟื้นที่บ้าน”
“ได้สิ เอาตามนั้น” ชายหนุ่มช่วยเธอห่มผ้า ก่อนจะลุกขึ้นยืน
ทันใดเวินจิ้งก็พูดออกมา “คุณยังไม่ได้บอกฉันเลย ว่าผู้ชายคนนั้นตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
มู่วี่สิงเม้มริมฝีปาก พูดพึมพำตอบ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวไปถามมาให้นะ ไม่ต้องกังวลหรอก รีบนอนเถอะ”
เธอเสียเลือดไปมาก ตอนนี้ก็เริ่มปวดหัว เวินจิ้งหลับตาลงอย่างเชื่อฟัง มู่วี่สิงเลื่อนเปิดประตูออกมาจากห้องพักฟื้น
เกาเชียนรออยู่ข้างนอกมาตลอด มู่วี่สิงมองไปยังเขา ทั้งสองคนเดินไปด้วยกันจนสุดทางด้าน
ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองไปยังท้องฟ้าด้านนอกที่ตอนนี้ปกคลุมไปด้วยสีดำ ขมวดคิ้วก่อนพูด “เป็นไง”
สีหน้าของเกาเชียนเคร่งขรึมขึ้น “ประธานมู่ เรื่องนี้มันค่อนข้างยุ่งเหยิง ตระกูลหลิงลงมือเร็วกว่าพวกเรา… …”
พวกเขาแพร่ข่าวเรื่องนี้ไปอย่างแล้ว
เขาไม่รู้ว่าเรื่องนี้แท้ที่จริงแล้วมันเป็นมาอย่างไร แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในที่เกิดเหตุ เกรงว่าเรื่องนี้เวินจิ้งอาจจะสะบัดไม่หลุด
เกาเชียนพูดน้ำเสียงเบา “ตอนนี้คนที่ตายคือคนบ้านตระกูลหลิง เกรงว่าจะกัดพวกเราไม่ปล่อย”
มู่วี่สิงขยับสายตา ตั้งแต่ที่เขารู้เรื่องนี้ เขาก็รีบตรงดิ่งมาที่โรงพยาบาลก่อนที่จะรีบบอกให้เกาเชียนไปจัดการ เขามองสบไปที่ตาของเกาเชียนอย่างเย็นชา “ตระกูลหลิงปล่อยข่าว นายจะไม่หยุดมันเหรอ?”
เกาเชียนน้อมรับความผิดทันที “ผมต่อสายได้เมื่อไหร่ จะรีบติดต่อไปทันทีครับ”
เขาหยุดไปชั่วครู่ “ก็แค่… ….ตระกูลหลิงลงมือเร็วมาก”
“ซีซีทีวีในลาดจอดรถล่ะ?”
เกาเชียนขมวดคิ้วด้วยความลำบากใจ “ไม่ได้นำมาครับ… …หรือว่าจะเป็นฝีมือคนอื่น?”
นำกล้องวงจรปิดออกไป มู่วี่สิงเหลือบตาไปมองอย่างเย็นชา ดวงตาเต็มไปด้วยความมืดครึ้มและหนาวเย็น “ภายในรถนอกจากเวินจิ้งแล้วก็ไม่มีร่องเลยของใครเลย ทั้งเส้นผม กระทั่งรอยนิ้วมือ หลิงเหยาก็อยู่ในรถด้วย เธอเป็นคนเหยียบคันเร่งและบังคับพวงมาลัยจนไปชนหลิงฉิง”
เกาเชียนแปลกใจมาก “แต่พวกเราไม่พบร่องรอยของเธอที่นั่นเลยครับ”
ใบหน้าของมู่วี่สิงไร้อารมณ์ “ถูกหลิงอี้ลบไปหมดแล้ว”
……
มู่วี่สิงไม่ได้เริ่มที่จะพูด เวินจิ้งก็เช่นกัน เวลาส่วนใหญ่ของเขาคืออยู่เป็นเพื่อนเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ดูทีวีหรือว่าอ่านข่าวอะไร
จนวันถัดมาเมื่อเขามารับเธอเพื่อที่จะกลับบ้าน เธอถูกเขาเดินโอบออกมา เมื่อประตูเพิ่งจะถูกเปิดออก ได้มีพนักงานชายสองคนที่อยู่ในเครื่องแบบหน้าตาเรียบเฉยเข้ามาขวางพวกเขาไว้ได้ก่อน
“ขอประทานโทษนะครับ คุณมู่ เนื่องจากคุณผู้หญิงมู่ถูกต้องสงสัยในข้อหาเจตนาฆ่าคนตาย ดังนั้นจึงต้องอยู่ในความประพฤติของเราชั่วขณะ ทางที่ดีคืออยู่โรงพยาบาลต่อเถอะครับ รอให้ร่างกายของคุณผู้หญิงมู่หายดีจนออกโรงพยาบาลได้ เพราะเธอต้องขึ้นศาลครับ”
เวินจิ้งหันไปมองมู่วี่สิงแบบตกตะลึง เห็นใบหน้าของเขาที่เริ่มเย็นชาแต่ยังสงบนิ่งได้นั้น ทันใดก็รู้ได้เลยว่าเขารู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว
เธอ… …ถูกต้องสงสัยในเจตนาฆ่าคนตาย?
เธอรู้ เพราะเธอคือ คุณผู้หญิงมู่ ดังนั้นฝั่งตรงข้ามเลยมีความเกรงใจกันขนาดนี้
ใบหน้าของมู่วี่สิงยังคงเรียบเฉย “พวกเราจะไปไหน คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาถาม หลีกไป”
ใบหน้าของเวินจิ้งงกอยู่ตรงคางของเขา เธอถามเสียงเบาว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไร ไม่ต้องกังวล”
“อืม” พอเขาพูดแบบนี้ เวินจิ้งก็ไม่ถามอะไรอีก เอนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างเชื่อฟัง
บรรยากาศรอบตัวดูคุกรุ่น สีหน้าของมู่วี่สิงทั้งเย่อหยิ่งถือตัวและเย็นชา ความประนีประนอมสักนิดก็ไม่มี
“คุณมู่ครับ เพื่อตัวของคุณผู้หญิงเอง คุณควรจะให้เธอรักษาแผลในโรงพยาบาลให้หาย ถ้าคุณยังทำแบบนี้ คำวิจารณ์จากคนข้างนอกจะยิ่งไม่เข้าหูนะครับ”
มู่วี่สิงยังคงเฉยเมย ดวงตาดำสนิทของเขาหรี่ลง “เธอไม่ได้ฆ่าใคร พวกคุณห้ามปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นนักโทษอีก ผมจะพูดอีกครั้ง หลีกไป”
คำพูดคุกคามของเขารอบนี้ดูจริงจังนัก มันหมายความว่ารอบนี้เหมือนความอดทนของเขาใกล้จะหมดแล้ว
เวินจิ้งโอบรอบคอของเขา พึมพำ “คุณอย่าโกรธเลย พวกเขาแค่ต้องทำทุกอย่าง อย่างยุติธรรมเท่านั้น ไม่ต้องกลับบ้านหรอก”
มู่วี่สิงเม้มริมฝีปาก เขาไม่ได้เอ่ยอะไรแต่ทว่าดวงตาเย็นชาน่ากลัวของเขายังคงหยุดอยู่ที่เจ้าหน้าที่สองคนนั้น ถ้าหากว่าตอนนี้มือเขาไม่โอบกอดเวินจิ้งที่กำลังบาดเจ็บอยู่ เขาอาจจะโกรธไปแล้ว
เรื่องของเวินจิ้ง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยใจเย็นได้เลย ไม่เคยทำได้เลย
เวินจิ้งถอนหายใจเบาๆ เสียงของเธอเด็ดเดี่ยว “มู่วี่สิง พวกเรากลับเข้าไปเถอะ”
ชายหนุ่มก้มลงไปมองหญิงสาวภายในอ้อมกอด ใบหน้าหล่อเหลาขมวดคิ้ว “ถ้าคุณอยากกลับบ้าน พวกเราก็จะกลับบ้าน”
“ไม่ต้องรีบหรอก กลับโรงพยาบาลเถอะ”