Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 833
บทที่ 833 กำลังรอฉันมากินข้าวด้วยอยู่เหรอคะ
เวลาในตอนนี้ดึกกว่าเวลาที่ลู่เซิ่นเริ่มทานมื้อเย็นตามปกตินิดหน่อย เดิมทีฉินซีคิดว่าเขาเริ่มลงมือกินข้าวแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าลู่เซิ่นนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวแล้ว แต่บนโต๊ะยังคงว่างเปล่า เขากำลังก้มหน้ามองแท็บเล็ตในมือ
เขา…กำลังทำงานอยู่เหรอ
หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มากว่าหนึ่งปี ฉินซีสัมผัสได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เวลาที่ลู่เซิ่นอยู่ที่บ้าน เขาจะใช้ชีวิตไปตามกฎเกณฑ์เป็นอย่างมาก อาหารทั้งสามมื้อจะถูกจัดเสิร์ฟในเวลาเดิมทุกครั้ง แม้กระทั่งสิ่งที่กินก็ต้องเป็นไปตามหลักที่นักโภชนาการจัดเอาไว้ให้
คนเรายิ่งร่ำรวยเท่าไหร่เวลาก็ยิ่งมีค่ามากเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่อาจเสียเวลาไปกับโรคภัยไข้เจ็บได้
ได้ยินเสียงฝีเท้าของฉินซีแล้ว ลู่เซิ่นก็ยังคงไม่เงยหน้าขึ้น เขาเพียงโบกมือให้กับคนรับใช้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ คนรับใช้คนนั้นรู้ได้ทันที จึงรีบยกอาหารขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว
“คุณ…กำลังรอฉันมากินข้าวด้วยกันอยู่เหรอคะ” ฉินซีนั่งลงบนที่นั่งของตัวเองแล้วถามขึ้นมาทันที
สีหน้าของลู่เซิ่นยังคงเรียบเฉย “เปล่า”
ฉินซีเม้มปาก ความจริงแล้วเธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าลู่เซิ่นจะกำลังรอเธออยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
อาหารเย็นที่พวกคนรับใช้เตรียมเอาไว้ให้นั้นอุดมสมบูรณ์มาก ทว่าฉินซีไม่ค่อยอยากอาหาร เธอกินไปได้ไม่กี่คำก็วางตะเกียบลง
เพียงแต่พอเธอเพิ่งจะวางตะเกียบลง ลู่เซิ่นก็เงยหน้าขึ้นมาราวกับรู้สึกถึงสัญชาตญาณบางอย่าง
เขามองพฤติกรรมของเธอแล้วหัวเราะเบา ๆ “ทำไม แม้แต่ข้าวก็ไม่อยากจะกินร่วมกับฉันอย่างนั้นเหรอ”
ฉินซีรู้สึกพูดไม่ออกกับท่าทีแปลก ๆ ในช่วงหลายวันมานี้ของเขา เธออดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาว่า “ประธานลู่คะ ช่วงนี้คุณไม่พอใจอะไรฉันเป็นพิเศษหรือเปล่า”
ลู่เซิ่นกลับไม่ได้ตอบคำถามของเธอในทันที เขาก้มหน้าลงดื่มซุป จากนั้นจึงพูดว่า “หรือว่าพอช่วงนี้เธอได้เจอกับคนรักเก่าแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าฉันขัดหูขัดตาไปเสียหมดอย่างนั้นสินะ”
ฉินซีเกือบจะหัวเราะออกมาด้วยความโมโห “ประธานลู่! ตั้งแต่งานวันเกิดของฉินซึ่งเทียน คุณก็ดูอารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลา เอาแต่ทำหน้าตาเย็นชาแปลก ๆ ใส่ฉัน ฉันจะไปกล้ามองว่าคุณขัดหูขัดตาได้ยังไง!”
ลู่เซิ่นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เอาแต่ก้มหน้ากินข้าว
ฉินซีเหมือนใช้กำปั้นทุบลงไปบนปุยฝ้าย ไม่พูดอะไรออกมา นั่งรออยู่บนเก้าอี้สักพักก็บังคับตัวเองให้สงบสติลง จากนั้นก็ลองคิดถึงคำพูดของลู่เซิ่นอย่างละเอียด
ในคำพูดของเขาเหมือนว่าจะสนใจเรื่องของหซู่หนานเอามาก ๆ แต่ฟ้ารู้ดินรู้ เธอสาบานเลยว่าเธอไม่ได้คิดอะไรกับหซู่หนานจริง ๆ
นอกจากนี้การแต่งงานระหว่างเธอกับลู่เซิ่นมันก็เป็นเพียงแค่สัญญาใบหนึ่ง จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยเรื่องอะไรพวกนี้ด้วยเหรอ
ช่างเถอะ ช่างเถอะ บางทีอาจเพราะตระกูลลู่เป็นตระกูลใหญ่ พวกเขาก็คงกลัวว่าเธอจะก่อเรื่องงามหน้าอะไรขึ้นมา ดังนั้นลู่เซิ่น เลยให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เธอก็ควรที่จะอธิบายอะไรให้ชัดเจน
เธอขี้เกียจจะรับมือกับอารมณ์ที่ไม่คงที่ของลู่เซิ่น แล้ว
“ประธานลู่” ฉินซีกระแอมในลำคอ “หลังจากที่ฉันออกมาจากตระกูลฉิน ฉันก็ไม่เคยไปพบหซู่หนานเลยสักครั้ง ได้พบกันอีกครั้งก็เป็นตอนที่ไปหาฉินซึ่งเทียนครั้งก่อน หลังจากนั้นก็มีติดต่อกันบ้าง แต่นั่นก็เพราะว่าฉันได้รับมอบหมายจากนิตยสารให้ไปถ่ายรูปเรื่องอื้อฉาวของน้องชายเขา เลยทำให้เกิดปัญหาขึ้น วันนี้ฉันจะอธิบายเรื่องทุกอย่างชัดเจนหมดแล้ว ฉันเองก็พูดกับคุณแล้วว่าหลังจากนี้จะไม่ติดต่อกับเขาอีก”
สายตาของลู่เซิ่น ยังคงอยู่ที่โต๊ะ ทว่ามือของเขาไม่ได้ขยับต่อแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังฟังฉินซีพูดอยู่
ฉินซีพูดเรื่องต่าง ๆ ออกมามากมาย เธอรู้สึกว่าตัวเองได้อธิบายเรื่องทุกอย่างที่สามารถอธิบายได้ให้ลู่เซิ่นฟังจนหมดแล้ว ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถจัดการได้
“ฉันรู้ว่าตัวเองเป็นคุณนายลู่ของคุณ ดังนั้นจะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างแน่นอน ส่วนคุณประธานลู่ วันนั้นตอนวันเกิดของฉินซึ่งเทียน ฉันถ่ายภาพคุณที่อยู่ท่ามกลางผู้หญิงเอาไว้ได้ตั้งหลายภาพ” ฉินซีไม่คิดจะกลืนความอดทนกับเข้าไป “ในเมื่อคุณเอาแต่ย้ำฉันอยู่ตลอดว่าฉันเป็นคุณนายลู่ของคุณ ดังนั้นแล้วถ้าหากว่าครั้งหน้ายังมีเรื่องแบบนี้อีก คุณก็หัดยับยั้งชั่งใจตัวเองเอาไว้บ้าง เพราะถ้าหากถูกถ่ายภาพเอาไว้ได้แล้ว คุณก็คงไม่สามารถที่จะแย่งกล้องถ่ายภาพมาจากทุกคนแล้วทำลายเมมโมรี่การ์ดในนั้นได้”
ลู่เซิ่นได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “หึงหรือไง หืม”
ฉินซีรีบปฏิเสธทันที “เปล่าค่ะ! ฉันก็แค่ไม่อยากถูกคุณหักเมมโมรี่การ์ดอีก”
“จริงเหรอ” ลู่เซิ่นเลิกคิ้วพลางล้วงมือหยิบของชิ้นเล็ก ๆ ในกระเป๋ากางเกง แล้วส่งมันให้ฉินซี “แล้วนี่ล่ะ”
ฉินซีจ้องไปที่ของสิ่งนั้น มันคือเมมโมรี่การ์ด
“รูปถ่ายในช่วงเวลาก่อนวันเกิดของฉินซึ่งเทียนกับรูปถ่ายของหซู่เป่ยอยู่ในนี้หมดแล้ว” ลู่เซิ่น พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
ทว่าฉินซีกลับรู้สึกเหมือนถูกต่อย เธอรีบคว้าการ์ดอันนั้นไว้ทันที
“รูปของหซู่เป่ยก็อยู่ในนี้อย่างนั้นเหรอ” เธอขมวดคิ้ว “ยังจะเก็บเอาไว้ทำไมอีก…”
ลู่เซิ่น ไหวไหล่อย่างไม่แยแส “ฉันเอามันกลับมาได้แล้ว จะจัดการยังไงมันก็เป็นเรื่องของเธอ”
ฉินซีลังเลอยู่พักหนึ่ง เธอยังถือเมมโมรี่การ์ดอันนั้นไว้กลางฝ่ามือ “ฉันจะลบรูปพวกนั้นทิ้ง”
ลู่เซิ่นไม่ได้สนใจอะไร
เธอลุกขึ้นยืนแล้วกลับไปที่ห้อง ตอนที่หยิบคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อเซฟรูป อยู่ ๆ ก็คิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เห็น ๆ กันอยู่ว่าเธอกำลังคิดจะพูดเรื่องของหซู่หนานกับลู่เซิ่น แล้วทำไมมันถึงออกมาเป็นเรื่องนี้ได้
แต่เสียงแจ้งเตือนการอ่านเมมโมรี่การ์ดได้สำเร็จดึงดูดความสนใจของเธอกลับไปอีกครั้ง เธอทิ้งคำถามที่คิดขึ้นมาได้ไปชั่วคราว จากนั้นก็เลือกรูปภาพอย่างตั้งอกตั้งใจ
ยังดีที่ลู่เซิ่นกู้คืนเมมโมรี่การ์ดให้ เพราะเธอชอบภาพอีกหลายภาพที่อยู่ข้างในนั้น ทว่าไม่ได้อัปโหลดข้อมูลสำรองเอาไว้
ดูเหมือนว่า…ลู่เซิ่น ก็ไม่ได้น่ารังเกียจอะไรขนาดนั้น
ส่วนเรื่องการพูดคุยกับคนอื่น ก็สามารถปล่อยวางมันไปได้ชั่วคราว
ยังไงก็ตาม…ครั้งหน้าก็อย่าถูกเธอพบอีกก็แล้วกัน
ถ้ามองไม่เห็นแล้ว ยังไงซะอารมณ์ก็ไม่มีทางที่จะไม่ดี
ขณะที่ฉินซีกำลังคิดอะไรไปเรื่อย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
เธอรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาทันที
แต่พอเห็นชื่อคนที่โทรมาชัด ๆ แล้ว ฉินซีก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
เดิมทีเธอคิดว่าอานหยันโทรมามอบหมายงานให้เธอ
เพียงแต่…เวลาขนาดนี้แล้ว คุณทนายคนนั้นจะโทรมาทำไมอีก
เธอรับสายโทรศัพท์แล้วถามขึ้นมาอย่างสงสัย “ทนายความจ้าวเหรอคะ”
ทนายความจ้าวเป็นหนึ่งในทนายความไม่กี่คนที่เธอไว้ใจ ช่วงเวลานี้เธอมอบหมายให้เขาเป็นผู้ที่คอยจัดขั้นตอนการคืนสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นกลับมาให้เธออยู่ตลอด
น้ำเสียงของทนายความจ้าวคงเรียบนิ่งเหมือนอย่างเช่นเคย เพียงแต่สิ่งที่เขากำลังจะพูดกลับไม่สามารถทำให้คนรู้สึกสงบได้สักเท่าไหร่ “ฉินซี ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เนื้อหาข้างใน…กำลังข่มขู่ผม ห้ามผมให้ความช่วยเหลือคุณอีก”
ฉินซีขมวดคิ้ว “จดหมายข่มขู่เหรอคะ”
ทนายความจ้าวพยักหน้า “จากที่อ่านดูแล้วเป็นจดหมายข่มขู่จริง ๆ ”
เธอวางคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในมือลง จากนั้นก็เริ่มบันทึก “เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่”
เสียงพลิกกระดาษดังขึ้นมาจากทางฝั่งทนายความจ้าว หลังจากนั้นก็มีเสียงตอบกลับมาว่า “ฉบับแรกเป็นของเมื่อของสัปดาห์ก่อน”
ฉินซีคิดคำนวณอยู่ในใจ เมื่อสัปดาห์ก่อน ก็เป็นตอนที่เธอไปหาฉินซึ่งเทียน แล้วแสดงไพ่ที่อยู่ในมือให้เขาดู ก่อนบอกว่าเธอจะเอาหุ้นคืนพอดี
ทนายความจ้าวยังคงพูดต่อว่า “จดหมายฉบับแรกถูกส่งตรงมาที่กล่องจดหมายของบริษัท ช่วงนั้นกล้องวงจรปิดที่อยู่หน้าประตูก็กำลังเสียพอดี ไม่ได้ถ่ายว่าคนที่ทิ้งจดหมายไว้เป็นใคร หลายวันต่อจากนั้นก็ไม่ได้ส่งมาอีก ทว่าเปลี่ยนมาเป็นอีเมลแทน ผมหาคนมาตรวจสอบที่อยู่ผู้ส่งดูแล้ว เป็นเลข IP ปลอม ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรเป็นจริงเป็นจังนัก แต่วันนี้ก็มีจดหมายส่งมาอีก อีกทั้งยังส่งมาในกล่องจดหมายที่อยู่หน้าบ้านของผมโดยตรง ผมรู้สึกว่าควรจะพูดอะไรกับคุณสักหน่อย”