Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 838
บทที่ 838 ผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
เหมือนว่าหซู่หนานจะมองความไม่เป็นธรรมชาติของเธอออก เขาจึงก้าวไปข้างหน้า แล้วยืนขวางอยู่ตรงหน้าฉินซี “ในเมื่อได้พบกันแล้ว อย่างนั้นฉันก็ขอถามเธอตรง ๆ เลยแล้วกันว่า ฉินซี เรื่องของน้องชายฉัน…”
หซู่หนานยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกคนที่เดินมาจากทางด้านหลังของฉินซีตัดบทเข้า
“ทำไมถึงได้ไปนานขนาดนี้”
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก้าวเข้ามา จากนั้นก็คล้องแขนของฉินซีเอาไว้อย่างสนิทสนม
ฉินซีหันกลับไปมอง เธอเกือบจะร้องไห้ออกมาแบบไม่มีน้ำตาทันที
สวรรค์ ลู่เซิ่น ทำไมคุณถึงไม่นั่งอยู่ตรงที่นั่งของตัวเองให้มันดี ๆ จะออกมาตามหาฉันทำไมกัน
แล้วสีหน้าแบบนั้นของคุณนั่นมันอะไร! ฉันเพิ่งจะบังเอิญพบกับหซู่หนานโอเคไหม
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ฉินซีกำลังกรีดร้องอยู่ในใจ เธอไม่มีทางที่จะพูดอะไรออกมาต่อหน้าหซู่หนาน เพียงเดินเข้าไปหาลู่เซิ่น ยืนอยู่ข้างกายเขา แล้วพูดกับเขาอย่างเอาอกเอาใจว่า “เมื่อกี้นี้ฉันเดินหลง ก็เลยจะหาคนถามทาง บังเอิญพบคนเข้าพอดี แต่ว่ายังไม่ทันจะได้ถามคุณก็มาแล้ว”
คำอธิบายนี้ของเธอชัดเจนเป็นอย่างมาก! แถมยังย้ำอีกว่า “เพิ่งเจอ” และ “ไม่มีเวลาถาม” ก็แค่บังเอิญพบกันเท่านั้น!
แต่แรงที่ใช้จับแขนเธอของลู่เซิ่นบอกกับฉินซีว่า เขาไม่ได้เชื่อคำพูดของเธอทั้งหมด
ส่วนหซู่หนานที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉินซี หลังจากที่รู้ว่าคนที่มาเป็นใคร ก็ไม่สามารถที่จะควบคุมสีหน้าของตัวเองได้ชั่วขณะ เขาเผยความประหลาดใจออกมาหลายส่วน
นี่…นี่ไม่ใช่ลู่เซิ่นเหรอ
เขามาอยู่กับฉินซีได้ยังไง
จับมือถือแขนกันแบบนี้ ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกันมากอย่างไรอย่างนั้น
แล้วทำไมฉินซีถึงต้องรีบร้อนอธิบายเรื่องราวทั้งหมดกับเขา แล้วโยนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราทิ้ง
ลู่เซิ่นกับฉินซีมีความสัมพันธ์แบบไหนกันอย่างนั้นเหรอ
แน่นอนว่าสำหรับคำถามสุดท้ายนั้น พอได้เห็นสีหน้าของฉินซีแล้ว หซู่หนานก็เหมือนจะมีคำตอบอยู่ในใจ
ทว่าเขายังคงไม่แน่ใจ รอให้ฉินซีพูดจบ เขาก็เรียกชื่อของเธอแล้วพูดว่า “ฉินซี นี่ใครเหรอ”
เดิมทีฉินซีคิดว่าหลังจากอธิบายจบแล้วจะรีบลากตัวลู่เซิ่นออกไป แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหซู่หนานจะเรียกชื่อของเธอออกมา ตอนนี้แจ้งทำเป็นไม่รู้จักกันก็คงจะไม่มีประโยชน์แล้ว ระยะห่างใกล้เพียงแค่นี้ ไม่มีทางที่จะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินได้
ได้โปรดเถอะหซู่หนาน คุณไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉันเป็นใคร ทำไมยังต้องหาเรื่องลำบากให้เธออีก คิดจะถามชื่อเขาอย่างนั้นเหรอ
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะว่าหซู่หนานไม่รู้จักลู่เซิ่น เขาแค่อยากจะดูว่าฉินซีจะแนะนำตัวผู้ชายคนนั้นยังไง
ดูเหมือนว่าลู่เซิ่นเองก็สนใจคำถามนี้มาก ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ เงยหน้ามองฉินซี ราวกับว่ากำลังรอคอยคำตอบของเธอ
เมื่อถูกโจมตีจากทั้งสองด้าน ฉินซีก็ทำได้เพียงแค่หันกลับไปอย่างคับแค้นใจ และกล่าวแนะนำอย่างแห้ง ๆ ว่า “คนนี้คือลู่เซิ่นจากบริษัทลู่ซื่อ ส่วนคนนี้คือหซู่หนาน”
เห็นได้ชัดว่าการแนะนำตัวแบบไม่มีคำนำหน้าและคำต่อท้ายของเธอนั้นทำให้ทั้งสองคนรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ลู่เซิ่นถึงกับกอดอกเลิกคิ้ว
แต่ฉินซีก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีนัก เดิมทีเธอก็แค่ออกมาเข้าห้องน้ำ ต้องมาถูกทำให้เสียเวลาอยู่ตั้งนาน ทั้งยังถูกบี้ถามคำถามที่น่าเบื่อพวกนั้นอีก ให้ฝืนใจตอบสักครั้งก็ยังพอไปไหว แต่เธอไม่สนใจที่จะอยู่เป็นเพื่อนต่อไปหรอกนะ
เธอเงยหน้ามองไปที่ทางโค้งข้างหน้า ดูเหมือนว่าจะมีพนักงานคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เธอไม่สนใจแล้วว่าระหว่างผู้ชายสองคนนี้จะมีความคิดที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างไร เธอรีบวิ่งไปหาพนักงาน “ขอโทษนะคะ ห้องน้ำอยู่ตรงไหนเหรอคะ”
ลู่เซิ่นกับหซู่หนานล้วนอยู่ตรงตำแหน่งมุมอับสายตาของพนักงาน เขาจึงมองไม่เห็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ จึงตอบคำถามแล้วชี้ไปตามเส้นทางอย่างกระตือรือร้น “เดินตรงไปนะครับ จากนั้นเลี้ยวขวาตรงทางแยกที่สาม ก็จะพบกับห้องน้ำแล้ว”
ฉินซีขอบคุณเขาแล้วรีบวิ่งไปโดยไม่แม้แต่จะมองคนทั้งสองที่เธอทิ้งไว้ข้างหลัง
ลู่เซิ่นยังคงยืนอยู่ตรงที่เดิม พอเห็นเงาแผ่นหลังของเธอหายลับไป ก็ไม่ได้สนใจที่จะอยู่ต่อ จึงหมุนตัวเดินกลับออกไป
“ประธานลู่ครับ”
ทันใดนั้นเองหซู่หนานที่อยู่ข้างหลังก็ตะโกนเรียกเขา
ลู่เซิ่นไม่ได้หันกลับไปมอง ทว่าก็ไม่ได้เดินต่อแล้ว
“ขอถามตรง ๆ เลยนะครับว่า…คุณกับฉินซีเป็นอะไรกัน”
หซู่หนานเสริมความกล้าให้กับตัวเองก่อนจะเอ่ยปากถามออกมา
เขาสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงที่ไม่อาจแยกออกจากกันระหว่างฉินซีกับลู่เซิ่น แต่คนเราก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่ได้ยินคำตอบกับหู ให้ตายก็คงไม่เชื่อ
ลู่เซิ่นไม่ได้ตอบคำถามของเขาตรง ๆ ทั้งยังโยนคำถามกลับไป
“แล้วนายล่ะ”
พูดจบก็เดินออกไปโดยที่ไม่รอให้หซู่หนานพูดอะไรต่ออีก
ตอนที่หซู่หนานกลับไปที่ที่นั่งของตัวเอง เขายังคงรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย
ฉินหว่านที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมคุณถึงเข้าห้องน้ำนานขนาดนี้ ทั้งยังกลับมาในสภาพคอตกแบบนี้อีก”
ความคิดของหซู่หนานยังคงอยู่กับฉินซี เขาตอบกลับไปอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “ไม่มีอะไร แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
ฉินหว่านไม่พอใจท่าทีแบบนี้ของเขา เธอโยนข้าวของบนโต๊ะอาหารทิ้ง “คุณก็เอาแต่พูดว่ายุ่งยุ่งยุ่ง ไม่ง่ายที่จะหาเวลามาอยู่กับฉัน แล้วยังจะมาทำหน้าแบบนี้อีก หซู่หนาน!คุณไม่รักฉันแล้วใช่ไหม”
เมื่อวานหซู่หนานเพิ่งจะจัดการเรื่องใหญ่จบ เขาแทบจะไม่ได้นอนมาตลอดทั้งสัปดาห์
วันนี้ตอนเช้าเพิ่งจะได้งีบหลับ ก็ถูกฉินหว่านบังคับให้ออกมา ความจริงเขาก็ปวดหัวมากอยู่แล้ว การพบกับฉินซีโดยบังเอิญก็ยิ่งทำให้เขาสับสนมากขึ้นไปอีก ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่แรงจะเอาใจใครด้วยซ้ำ จึงพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ฉินหว่าน หยุดทำตัวน่ารำคาญสักที”
ฉินหว่านได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งโมโห เธอลุกขึ้นยืนทันที “ฉันน่ารำคาญขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันน่ารำคาญยังไง อาทิตย์นี้คุณไม่เคยมาเจอฉันเลยสักครั้ง ออกมาพบกันเอาแต่ทำหน้าเหมือนปลาตาย หซู่หนาน ตอนแรกที่คบกันคุณรับปากฉันเอาไว้ว่ายังไง ทำไมตอนนี้ถึงได้เปลี่ยนเป็นแบบนี้แล้ว! ”
ปกติถ้าเธอทำตัวไม่มีเหตุผลแบบนี้ หซู่หนานก็จะรีบเข้ามาเอาใจเธอตั้งนานแล้ว แต่วันนี้เขากลับทำตัวผิดปกติ เอาแต่นั่งอยู่กับที่ไม่ยอมขยับ
ฉินหว่านรู้สึกโมโหมาก ๆ เธอหมุนตัวเดินออกไปจากร้านอาหารทันที
ทว่าหซู่หนานยังคงนั่งอยู่ตรงที่เดิม เขาไม่แม้แต่จะมองตามเธอไปด้วยซ้ำ
ฉินหว่านค่อนข้างที่จะโวยวายเสียงดังเป็นอย่างมาก มีพนักงานหลายคนเข้ามาเตือนเธอด้วยเสียงเบา ๆ แต่ฉินหว่านไม่คิดที่จะสนใจ เธอเชิดหน้าเดินออกไปจากร้าน
พนักงานมองหซู่หนานอย่างเห็นใจ เขาเพียงพูดออกมาด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า “ช่างเธอเถอะ”
เสียงรองเท้าส้นสูงของฉินหว่านหายลับไปตรงมุมอย่างรวดเร็ว หซู่หนานใช้มือกุมหน้าผากอย่างเหนื่อยล้า เขาเตรียมที่จะคิดเงิน ทว่าอยู่ ๆ เสียงข้อความในโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“พี่หนาน เรื่องที่ให้ผมไปสืบมาก่อนหน้านี้ ผมสืบมาได้คร่าว ๆ แล้ว แต่ว่า…มันดูเหมือนว่าจะมีอะไรแปลก ๆ ”
หซู่หนานโดนเรื่องราวต่าง ๆ เคี่ยวกรำมาระยะหนึ่งแล้ว ชั่วขณะเขาจึงนึกไม่ออกว่าตัวเองได้ไปขอให้ใครสืบเรื่องอะไรไว้ แต่พอลืมตาขึ้น เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เรื่องของหซู่เป่ยยังไงล่ะ
ถึงแม้ว่าฉินซีจะบอกว่าไม่ให้เขาตรวจสอบอย่างละเอียด แต่หซู่หนานก็ไม่ได้เชื่อคำพูดไร้สาระของเธอที่ว่า “มีเพื่อนมาช่วย” อะไรนั้นของเธอ เขาต้องหาคนมาตรวจสอบเรื่องนี้
เพียงแต่ประสิทธิภาพของคนที่เขาส่งไปตรวจสอบนั้นไม่สามารถที่จะเทียบกับคนของลู่เซิ่นได้ ใช้เวลานานขนาดนี้แล้วยังสืบหาได้เพียงโครงร่างคร่าว ๆ เท่านั้น
ก่อนที่เหตุการณ์ของหซู่เป่ยจะถูกเปิดเผย ก็มีคนติดต่อมาที่บริษัท พีอาร์ที่ดีที่สุดของวงการ การดำเนินการหลังจากนั้นก็มีบริษัท พีอาร์คอยออกหน้าให้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบ
ผู้ที่ติดต่อกับบริษัท พีอาร์จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อลบภาพฉาว
หซู่หนานมองที่ค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์แล้วก็ลอบสูดหายใจ
นี่เกือบเท่ากับจำนวนแบล็คเมล์เขาด้วยซ้ำ…
เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ ไม่สามารถที่จะนำออกมาได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ อย่างแน่นอน
จะต้องเป็นคนใหญ่คนโต แล้วเหมือนว่าคนประเภทนี้ ถ้าไม่อยากให้ใครพบเห็น คนธรรมดาทั่วไป หรือแม้แต่คนที่ช่วยหซู่หนานตรวจสอบเรื่องนี้เองก็ยังยากที่จะหาพบ
แต่คนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังคนนี้กลับทำราวกับว่าไม่ต้องการที่จะปิดบังตัวเองอย่างไรอย่างนั้น