Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 853
บทที่ 853 กลัวว่าที่จะอยู่กับผมหรอ
และคำขอโทษของหลี่เหวย นี่ก็เพื่อให้ฉินซึ่งเทียนลดระดับลงด้วย เขากระแอมในลำคอ แล้วพูดอย่างไม่เต็มใจ“ฉินซีอ่า เมื่อกี้ฉันรู้สึกสับสนมึนงง เดี๋ยวจะให้หมอมาดูให้นะ……”
คำขอโทษของฉินซึ่งเทียนที่มีต่อฉินซีนั้น ไม่ได้เฉยเมยเหมือนกับหลี่เหวย เธอก็เพียงแค่ไม่เริ่มเปิดประเด็น
เธอรู้จักฉินซึ่งเทียนดี ในชีวิตนี้เขาหยิ่งผยองและเย่อหยิ่ง จนแทบไม่เคยก้มหัวให้ใคร ถ้าพูดถึงระดับนี้ ก็ถือว่าถึงขีดสุดแล้ว
เมื่อมองเห็นว่า ลู่เซิ่นยังไม่ค่อยจะพอใจ ดูเหมือนจะอยากพูดอะไรบางอย่าง ฉินซีไม่ต้องการที่จะยุ่งกับทั้งสองคนต่อแล้ว ดังนั้นจึงลุกขึ้น และคว้าแขนเสื้อของเขา“ไปกันเถอะ”
ลู่เซิ่นหันหน้าไปมองเธอ และพยักหน้าช้าๆ
ฉินซีเดินไปถึงประตูห้องของห้องรับรอง ดึงประตูให้เปิดออก ก้าวเท้าออกไปข้างหนึ่ง แล้วหันหลังกลับไปมอง ตรงไปที่ประตูที่คนทั้งสองคนยืนอยู่
“ฉินซึ่งเทียน หลี่เหวย”
ในช่วงเวลาแบบนี้ เธอมักจะเรียกชื่อของคนสองคน และทั้งสองคนก็ได้ยินจนเคยชินแล้ว แต่ในสายตา เมื่อหันไปมองดวงตาที่มองตรงมาของฉินซี มองไปที่บาดแผลที่มีเลือดออกที่แก้มของเธอ ฟังคำพูดของเธอในแต่ละคำ กลับรู้สึกหนาวสั่น อย่างไม่อาจอธิบายได้
“พวกคุณจำที่ฉันพูดไว้ให้ดี ฉันจะตรวจสอบทุกอย่างให้ละเอียด เพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้กับแม่ของฉัน พวกคุณรอได้เลย!”
“นอกจากนี้ ของที่เป็นของแม่ ในวันใดวันหนึ่ง ฉันก็จะเอามันกลับคืนมาทั้งหมด”
เมื่อพูดจบ ฉินซีก็ดึงลู่เซิ่น ออกจากห้องประชุมทันที
“คุณมาได้ยังไง ไม่ใช่ไปทำงานต่างเมืองเหรอ?”ในที่สุดฉินซีก็มีโอกาสที่จะได้คุยกับลู่เซิ่นตามลำพัง เลยอดไม่ได้ที่จะถาม
ลู่เซิ่นกลับจ้องไปที่ตัวเลขที่ลิฟต์ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลังจากที่ออกจากห้องประชุม ลู่เซิ่นที่อยู่ในโหมดโต๊ะเจรจาก็ถูกปิดสนิท และกลับสู่ลู่เซิ่นในโหมดเงียบอีกครั้ง
ฉินซีบุ้ยปาก แล้วเบือนหน้าหนี
“ถ้าเกิดเมื่อกี้ผมไม่มา คุณคิดจะทำยังไง?”เมื่อเห็นว่าลิฟต์กำลังจะมาถึงแล้ว ฉินซีที่เตรียมรับมือกับความเงียบตลอดทางของลู่เซิ่น จู่ๆ ก็ได้ยินเขาถามหนึ่งคำถามออกมา
“จะทำยังไง?”ฉินซีคิดว่าคำถามนี้ ยากแก่การเข้าใจ“ฉันตบหลี่เหวยไปแล้ว ก็ถือว่าโล่งอกโล่งใจไปแล้ว ส่วนฉินซึ่งเทียนที่ต้องการจะตีฉัน เขาไม่สามารถลงมือได้อย่างแน่นอน ได้มากที่สุดก็แค่ตบ ถ้าฉันถูกตีก็จะรีบออกมา ไม่แน่ใจว่าอาจจะได้มีโอกาสเจอสื่อ ถ่ายรูปสองสามใบ ทำข่าวให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง”
เธอก็แค่ต้องการจะตอบคำถามของลู่เซิ่น แต่เธอไม่คาดคิดว่าจะนึกภาพตามที่เธอพูดออกไป และเธอก็หยุดพูดไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงพูดออกมาในลมหายใจเดียว
แต่เธอไม่ได้สังเกตเห็น ว่าสีหน้าของลู่เซิ่นมืดมนลงด้วยคำพูดของเธอ
“พอแล้ว”ลิฟต์ถูกเปิดออก พร้อมกับเสียง“ติง”และลู่เซิ่นก็ขัดคำพูดของฉินซี ราวกับในที่สุดก็ทนไม่ได้“เข้าไปเถอะ”
ฉินซีรู้แค่เพียงว่า ลู่เซิ่นมีอารมณ์แปรปรวนจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนถามคำถาม ตัวเธอเองก็ตั้งใจตอบคำถาม ทำไมสีหน้าถึงได้ดูแย่กว่าเดิม
ช่างเข้าใจยากจริงๆ……
ทั้งสองคนเดินไปที่ลานจอดรถ โดยไม่พูดอะไร รถของลู่เซิ่นจอดที่ทางขึ้นลิฟท์ ทั้งสองคนขึ้นไปนั่ง คนขับรถปิดประตูรถ ลู่เซิ่นก็เปิดปากพูด“ไปโรงพยาบาล”
ฉินซีหันหน้ากลับมา“ไปโรงพยาบาล?คุณไม่สบายเหรอคะ?”
ลู่เซิ่นดูเหมือนว่าต้องใช้ความพยายามเล็กน้อย ในการระงับคำพูดที่ไม่ดีของเขา แล้วเหลือบมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของฉินซีอย่างเย็นชา“ใครบาดเจ็บ ตัวเองยังไม่รู้อีกเหรอ?”
ฉินซีตกตะลึง และสัมผัสใบหน้าของตัวเอง อย่างไม่รู้ตัว
แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นเพียงการปาดผ่านของกระดาษ และนิตยสารก็แค่เฉียดโดนใบหน้าไป ไม่ได้ลึกอะไรมาก แค่ถลอกผิวหนังเพียงเล็กน้อย แล้วเลือดก็แข็งตัวตั้งนานแล้ว ตัวเธอเองแทบจะไม่รู้สึกว่ามีแผลอยู่ตรงนั้น
“ไม่ต้อง แผลเล็กนิดเดียว ไม่จำเป็นหรอก……”
แต่เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าจะเป็นลู่เซิ่นไปจนถึงคนขับรถ ไม่มีใครคิดจะฟังเธอเลย
ฉินซีทำได้เพียงบุ้ยริมฝีปากของเธอ อย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเห็นว่ารถกำลังจะขับออกจากโรงรถ ทันใดนั้นฉินซีก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้น แล้วพูดว่า“เดี๋ยวก่อน อย่าออกไปทางนี้ ด้านนอกมีนักข่าวเต็มไปหมด คุณออกไปแบบนี้ อาจจะถูกปิดกั้นได้นะ!”
คนขับรถไม่รู้ว่าควรฟังเธอหรือไม่ควร เขาจึงหันหน้าไปมองลู่เซิ่น
ฉินซีพูดขึ้นมาอีก“จริงๆ นะ ตอนนี้ให้คุณเลี้ยวซ้าย ข้างๆ มีทางออกที่สามารถออกไปได้ ที่นั่นไม่มีนักข่าวแน่นอน”
ทันทีที่เธอพูดจบ ลู่เซิ่นก็ถามอย่างเงียบๆ ว่า“ฉินซี คุณกลัวที่จะถูกถ่ายรูปกับผมเหรอ?”
ฉินซีทำเป็นไร้เดียงสาเล็กน้อย“ไม่ใช่แน่นอนค่ะ เพียงแค่ว่าวันนี้นักข่าวเหมือนราวกับเป็นคนบ้า คุณไม่เคยเจอ ต้องไม่รู้อย่างแน่นอน ในตอนเช้าเมื่อฉันลงจากรถที่ประตูของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ก็ถูกพวกเขาขวางไว้ที่ประตู จนเกือบจะเข้าไปไม่ได้!”
หลินหยังที่นั่งอยู่แถวหน้า ฟังคำพูดของเธอ รู้สึกหมดหนทาง ถ้าประธานลู่รู้ว่าเธอถูกขวาง และก็จะไม่ได้มาขัดจังหวะการประชุมโดยตรง แค่ให้เขาซิ่งรถมาให้ได้
แน่นอนว่าฉินซีไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลัง ลู่เซิ่นเคยเห็นเทคนิคนี้ของเธอมาก่อน แล้วถามอย่างตรงไปตรงมาว่า“ทำไมถึงไม่นั่งรถที่ฉันจัดให้ แล้วไปจอดที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินล่ะ”
การรักษาความปลอดภัยของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ถือได้ว่าแน่นหนา อย่างน้อยก็เป็นเรื่องยาก สำหรับคนที่จะเจ้าไปในลานจอดรถชั้นใต้ดิน ลู่เซิ่นที่นึกถึงได้แบบนี้ ถึงจะวางใจแล้วไปทำงานต่างเมืองได้
ไม่คาดคิดเลยว่า ฉินซีกลับไม่นั่งรถของเขา
ฉินซีก็รู้สึกว่าเขาโกรธ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร
เธอกัดริมฝีปาก ทำได้เพียงแค่สารภาพออกไปตรงๆ“ฉันนั่งรถของบริษัทลู่ซื่อมา แล้วก็ถูกตรวจสอบป้าทะเบียนรถ จะทำให้บริษัทลู่ซื่อได้รับผลกระทบไหมคะ?”
ลู่เซิ่นยังคงจ้องมองเธอ“เดิมทีแล้ว บริษัทลู่ซื่อมีหุ้นอยู่ในบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป มีคนมาร่วมงานประชุม มันจะมีผลกระทบยังไงเหรอ?”
ในครั้งนี้ฉินซีรู้สึกประหลาดใจจริงๆ“หืม?ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
หลินหยังถอนหายใจอยู่ภายในใจ เป็นครั้งที่สอง
บริษัทลู่ซื่อไม่เพียงแต่มีหุ้นของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป แต่เริ่มทยอยซื้อเมื่อปีที่แล้ว เดิมทีหลินหยังคิดว่า นี่เป็นความตั้งใจของลู่เซิ่นที่จะซื้อบริษัทฉินซื่อกรุ๊ป ไม่ได้คิดว่าลู่เซิ่นจะซื้อหุ้น แล้วเอาแต่ขี้เกียจดูแล เมื่อมีการประชุมผู้ถือหุ้น ก็จะให้คนอื่นลงคะแนน
ครั้งหนึ่งในอดีตเขาเคยสงสัย และในตอนนี้ก็ไม่เข้าใจ ว่าลู่เซิ่นซื้อหุ้นเพื่อฉินซี และเขาเป็นผู้ช่วยของลู่เซิ่นมาหลายปีแล้ว
ดังนั้นจึงพูดได้ว่า ลู่เซิ่นได้เตรียมทุกอย่างไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว แต่ฉินซีก็อาจจะตกอยู่ในสภาวะสับสนอลหม่าน
ฉินซี ตกใจ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติ สำหรับคนอย่างที่มีเงินจนใช้ไม่หมดอย่างลู่เซิ่น ที่สามารถซื้อหุ้นของบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปได้ ก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ แล้วพึมพำเสียงเบาว่า‘ที่จริงมันก็โอเคแล้ว ถึงแม้ฉันจะโดนขวางไว้ แต่ก็มีกลุ่มบอดี้การ์ดเข้ามาปกป้องฉันในทันที และส่งฉันเข้าไปข้างใน เป็นเพราะ……ลู่เซิ่น คนกลุ่มนั้น คุณเป็นคนจัดเตรียมมาใช่ไหม?’
ลู่เซิ่นเปิดโหมดเงียบอีกครั้ง ไม่ตอบอะไร
ฉินซีไม่รอให้เขาตอบ จึงหันไปมองเขา เมื่อมองดูใกล้ๆ หูของลู่เซิ่น……เป็นสีแดง?
ฉินซีกระพริบตา ราวกับว่ามันเป็นภาพลวงตา
ดูเหมือน……จะไม่เปลี่ยนเป็นสีแดง
เมื่อเห็นว่าลู่เซิ่นที่ไม่สามารถถามอะไรได้อีก ฉินซีก็รู้สึกสงสัยจริงๆ จึงโผล่หัวไปแถวหน้า และถามหลินหยัง“นายคิดว่า บอดี้การ์ดกลุ่มใหญ่นั่น มาจากไหนกันเหรอ?”