Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 869
บทที่ 869 ตกที่นั่งลําบาก
ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะมองไม่เห็นว่าในห้องนี้มีคนอยู่สองคน เธอเดินตรงจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าลู่เซิ่น เงยหน้าขึ้นพลางยิ้มให้เขา “พี่ลู่ จำฉันไม่ได้แล้วเหรอ ฉันสูหวั่นไง”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วพลางคิดไปชั่วขณะ เหมือนว่าเขาจะจำไม่ได้จริงๆ
ฉินซีที่ถูกทิ้งอยู่ที่ด้านหนึ่ง มองเด็กผู้หญิงคนนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า
ใบหน้าของสูหวั่นเล็กมากและดูจิ้มลิ้ม ไม่เชิงว่าสายมาก แต่ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความมีเสน่ห์ของเธอ
แต่ความรู้สึกที่ดูเหมือนเป็นมิตรของเธอก็ไม่อาจจะทำให้ฉินซีหายขมวดคิ้วได้
เธอรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก
แต่ฉินซีเป็นคนนอก จึงไม่สามารถถามลู่เซิ่นได้โดยตรง เธอจึงหยิบมือถือขึ้นมาแล้วส่งข้อความหาลู่เซิ่น
“พ่อแม่ของนายรู้ไหมว่านายจะพาฉันมาที่นี่”
ดูเหมือนลู่เซิ่นที่อยู่ตรงนั้นจะจำไม่ได้ทั้งยังไม่คิดจะทบทวนต่อ เขาพยักหน้าให้สูหวั่นอย่างขอไปที “สวัสดี”
สูหวั่นดีใจมากเมื่อเธอได้รับการตอบกลับจากลู่เซิ่น เธอเริ่มชวนคุยซอกแซก “พี่ลู่ พวกเราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ ฉันกำลังจะเรียนจบจากประเทศ M หลังจากนั้นเราอาจจะได้…….”
สูหวั่นพูดยังไม่ทันจบ ลู่เซิ่นที่ดูเหมือนไม่อยากจะฟังเธอพูดตั้งแต่ประโยคแรกอยู่แล้ว ในที่สุดก็ทนไม่ไหวพลางยกมือขึ้น ”ฉันมีธุระต้องทำ”
สูหวั่นเห็นว่าเขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเหมือนกำลังว่าทำธุระอยู่ จึงรีบเอามือปิดปากตัวเองไว้เพื่อไม่ให้รบกวนเขา เธอมองรอบๆก่อนจะไปสะดุดตาเข้ากับฉินซี
ดูเหมือนสูหวั่นเพิ่งสังเกตว่าในห้องอาหารมีฉินซีอยู่ด้วย เธอส่งยิ้มให้ฉินซี ”สวัสดีค่ะ คุณเป็นผู้ช่วยของพี่ลู่เหรอคะ?”
เธอไร้เดียงสาและไม่มีพิษภัย รอยยิ้มเธอเรียกก็ได้ว่าเป็นมิตร ดูเหมือนว่าสูหวั่นจะไม่รู้จริงๆว่าเธอเป็นใคร ฉินซีไม่รู้เจตนาของอีกฝ่าย ไม่มีสีหน้าเย็นชา เพียงแค่หันไปส่ายหน้าให้กับอีกฝ่าย ในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากตอบ จู่ๆลู่เซิ่นก็พูดแทรกขึ้น
“เธอคือภรรยาของฉันเอง”
พอพูดจบ ลู่เซิ่นเก็บโทรศัพท์ลงไปพลางเดินมายืนข้างๆฉินซีและจับมือเธออีกครั้ง “ฉันไม่มีเวลามาแนะนำหรอกนะ ไปกันเถอะฉินซี”
สูหวั่น ไม่คิดว่าลู่เซิ่นจะเป็นคนตรงไปตรงมาอย่างนี้ ชั่วพริบตารอยยิ้มที่เป็นมิตรของสูหวั่นกลับกลายเป็นรอยยิ้มที่ดูไม่เต็มใจนัก แต่เธอยังคงรักษารอยยิ้มนั้นไว้พลางก้มหัวของเธอไปทางฉินซี “ขอโทษคะ ฉันไม่คิดว่าคุณจะเป็น…”
ฉินซีส่งเสียงฮึดฮัดในใจ
ไม่เอาน่า!อุบายเด็กๆแบบนี้คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าเธอหมายความว่าอะไร
คำพูดประชดแบบนี้ หมายความว่าเธอไม่คู่ควรกับลู่เซิ่นสินะ
วิธียั่วยุของสูหวั่นดูเหมือนว่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป ฉินซีเองก็ขี้เกียจเกินว่าที่จะโกรธเคืองเธอ
ดูเหมือนสูหวั่นจะไม่รู้ตัวเลยว่าประโยคที่เธอพูดออกไปนั้นจะเป็นการเปิดเผยตัวตนของเธอเอง เมื่อเธอเห็นว่าลู่เซิ่นจัดการกับธุระเสร็จแล้ว เธอก็พยายามที่จะคุยกับลู่เซิ่นต่อ “พี่ลู่!ได้ยินมาว่าช่วงนี้พี่ยุ่งมาก…”
ฉินซีไม่ได้ตั้งใจฟังคำพูดของสูหวั่น เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าลู่เซิ่นหันมาชี้โทรศัพท์ของตัวเอง เธอจึงหมุนตัวไปปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์
มันคือข้อความตอบกลับของลู่เซิ่น
“มันเป็นคำสั่งของแม่ฉันที่อยากให้พาเธอมาที่นี่”
ฉินซีเข้าใจได้ทันที
ถ้าฉินซีไม่เข้าใจเจตนาของสูหวั่นแล้วละก็ นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่โง่มาก
แต่เธอวนเวียนอยู่กับมารยาร้อยเล่มเกวียนของหลี่เหวยมาเป็นเวลานาน ถ้ากลัวมารยาเด็กๆของสูหวั่นแล้วล่ะก็ บอกใครไปคงถูกหัวเราะเยาะแน่นอน
เมื่อเธอปรับอารมณ์ให้สีหน้ากลับมามีรอยยิ้ม ประตูห้องอาหารก็เปิดออกอีกครั้ง
คราวนี้คนที่เดินเข้า ในที่สุดก็คือพ่อแม่ของลู่เซิ่น ลู่เหวยกับสูหยิง
ชุดสูท รองเท้าหนังและทรงผมของลู่เหวยดูพิถีพิถัน ถึงแม้ว่าอายุจากมากแล้ว แต่ยังคงรูปร่างและดูแข็งแรงอยู่ เขาอยู่ในตำแหน่งระดับสูงมาหลายปีแต่สีหน้าของเขาไม่แสดงถึงการชอบดูถูกคนเหมือนอย่างที่ฉินซึ่งเทียนเป็นเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม เมื่อเขาเห็นฉินซี ลู่เหวยก็มีท่าทางที่อ่อนโยนกับเธอมาก
ก่อนหน้านี้ฉินซีเคยเห็นลู่เหวยแต่ในข่าวและนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นลู่เหวยตัวเป็นๆด้วยตาของตัวเอง
บางทีนี้อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาระหว่างกัน ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ฉินซีได้พบกับลู่เหวยแต่เธอก็รู้สึกได้ทันทีว่าลู่เหวยนั้นเป็นคนจิตใจดี
มันเหมือนกับความรู้สึกที่ทนายความจ้าวคอยปกป้องเธอมาตลอด
แต่ส่วนสูหยิงที่คล้องแขนลู่เหวยอยู่นั้นกลับแตกต่างออกไป
ก่อนหน้านี้ ฉินซีเคยอ่านข่าวที่เกี่ยวกับตระกูลลู่ในนิตยสารมาก่อน โดยในข่าวมักเขียนว่า ลู่เหวยและสูหยิงนั้น เป็นคู่สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันมานานแล้วหลายปี โดยทั้งคู่บอกว่าพวกเขาเคารพซึ่งกันและทะเลาะกันน้อยมาก
จากรายงานดังกล่าวมันอาจจะไม่เป็นความจริง แต่ทั้งคู่นั้นก็สามารถอยู่ด้วยกันมาเป็นระยะเวลานานหลายปี นั้นแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของพวกเขาทั้งสองคน
มักจะมีข่าวซุบซิบว่าการแต่งงานของทั้งคู่เกิดจาก “การเสียสละ” ของลู่เหวย
ธุรกิจของตระกูลลู่เกิดจากน้ำมันปิโตรเลียม แต่เนื่องจากเป็นธุรกิจด้านพลังงานจึงย่อมต้องมีจุดสิ้นสุด เมื่อการผลิตปิโตรเลียมของบ่อน้ำมันของตระกูลลู่เริ่มลดลงเรื่อยๆ บริษัทของตระลู่จึงพลอยตกที่นั่งลําบากตามไปด้วย
ซึ่งก็เป็นช่วงที่สูหยิงแต่งงานเข้ามาในตระกูลลู่พอดี
ตระกูลสูประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่มีแรงสนับสนุนเป็นเงินทุนขนาดเล็ก ดังนั้นจึงไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย แต่การแต่งงานกับตระกูลลู่ที่ตกต่ำในเวลานั้นก็นับว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน
ใครต่อใครก็มองออกว่าการแต่งงานของสองตระกูลส่งผลให้ตระกูลลู่เข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลสูก็จะได้รับเงินทุนสนับสนุนจากบ่อน้ำมันของตระกูลลู่อีกด้วย จากเส้นสายที่คอยหนุนหลังตระกูลสูจะทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลลู่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและกลายมาเป็นเสาหลักของอุตสาหกรรมในที่สุด
เรียกได้ว่า หากไม่มีการแต่งงานของสูหยิงและ ลู่เหวยครอบครัวลู่อาจไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
เป็นไปได้ว่า ถึงแม้ สูหยิงจะไม่ได้ถือหุ้นของตระกูลลู่ แต่เธอก็ยังคงดำรงตำแหน่งระดับสูงในบริษัท บางคนถึงกับพูดติดตลกว่า “เมียคุมเข้ม” “กลัวเมีย” ความแข็งแกร่งของสูหยิงได้เป็นที่ประจักษ์ต่อตระกูลลู่
ผู้หญิงที่แข็งแกร่งเฉกเช่นนี้ กำลังเดินตรงไปหาฉินซี
ในหลายปีมานี้สูหยิง ได้ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่มั่งคั่ง เนื่องจากเธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของตระกูลลู่โดยตรง เลยทำให้เธอยังคงดูอ่อนเยาว์
สูหยิงสวมชุดสูทของชาแนล รวบผมไว้หลังศีรษะ แต่งหน้าสวยอย่างประณีต ที่คอของเธอสวมใส่สร้อยเพชรระยิบระยับ เล็บที่นิ้วมือทั้งสิบถูกทาด้วยสีแดง ประกอบกับท่าทางที่เธอเดินเฉิดหน้าขึ้นเล็กน้อย นี่ทำให้ผู้คนรู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่มีฐานะธรรมดาๆ
“คุณพ่อ คุณแม่ ” น้ำเสียงของลู่เซิ่นดูราบเรียบและสม่ำเสมอ
ฉินซีเรียกตาม “คุณพ่อ คุณแม่”
ลู่เหวยพยักหน้าตอบกลับทั้งสองคน แต่สูหยิงกลับหยุดนิ่งสายตาจ้องมองมือของลู่เซิ่นและฉินซีที่จับกันอยู่ จากนั้นสูหยิงก็เดินจากไปโดยไม่เหลียวมองราวกับว่าเธอไม่ได้ยินเสียงอะไร
สูหวั่นเงยหน้าขึ้นแล้วโบกมือให้ทั้งสองคน “คุณลุง คุณป้า!”
คราวนี้เป็นลู่เหวยที่สีหน้านิ่งเฉย แต่ส่วนสูหยิงยิ้มทักทาย ”ว่าไง เสี่ยวหวั่น”
ฉินซีลอบถอนหายใจ ตัวเองรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง
การคาดเดาของตัวเธอเอง กลับกลายเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว
……
คฤหาสน์ตระกูลฉิน
หลี่เหวยสั่งให้คนรับใช้ดูแลฉินหว่าน ส่วนตัวเธอนั้นจะขึ้นไปหาฉินซึ่งเทียนที่อยู่ด้านบน เธอเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าประตูห้องทำงานของฉินซึ่งเทียน แล้วจึงเคาะประตู
“เข้ามาได้” เสียงของฉินซึ่งเทียนดูแหบแห้งเล็กน้อย
หลี่เหวยผลักประตูเข้าไปพลางขมวดคิ้ว “ทำไมคุณถึงสูบบุหรี่มากขนาดนี้ล่ะคะ”
ในห้องทำงานเต็มไปด้วยควัน ในมือของฉินซึ่งเทียนถือซิการ์ที่กำลังไหม้อยู่
ฉินซึ่งเทียนยังคงไม่สนใจหลี่เหวย พลางยกมือขึ้นสูบซิการ์อีกรอบ
หลี่เหวยถอนหายใจและเดินไปเปิดหน้าต่างขึ้น “ฉินซีน่าจะได้เห็นว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง”
ฉินซึ่งเทียนพ่นควันออกมา แต่กลับไม่พูดอะไร