Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 911
บทที่ 911 ไม่ใช่ว่าเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น
ตอนที่ฉินซีตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็สว่างแล้ว
พ่อบ้านเคาะประตูห้องของเธอ บอกให้เธอลงมาทานอาหารเช้าอย่างสุภาพ ฉินซีแทบอยากจะตีเขาให้ตาย ทว่าเธอปฏิเสธเขาไม่ได้ จึงทำได้เพียงเดินตามเขาไป
พอเดินออกมาแล้วจึงได้รู้ว่าว่าแท้จริงแล้วเธออยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวน
ทั้งยังพักอยู่บ้านใหญ่เสียด้วย
เพียงแต่เพราะว่าลู่เซิ่นตกแต่งบ้านหลังนี้ใหม่ทั้งหมด ตรงบริเวณพื้นที่ว่างจึงสว่างและปลอดโปร่งกว่าเมื่อก่อนมาก อารมณ์ของฉินซีจึงดีขึ้นไม่น้อย
ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าสภาพอากาศไม่ต่างอะไรจากเมื่อวาน แต่ดูเหมือนว่าสภาพอารมณ์ของเธอกลับแตกต่างออกไป
ลู่เซิ่นนั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว เขากำลังรอให้ฉินซีนั่งลง จากนั้นก็โบกมือเรียกให้คนรับใช้นำอาหารขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วทานข้าวโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
ฉินซีเองก็ทำได้เพียงก้มหน้าทานข้าว เมื่อวานนี้เธอไม่ได้ทานอะไรเลยทั้งวัน ดูเหมือนว่าพ่อครัวของตระกูลลู่ฝีมือไม่เลว ฉินซีจึงทานเข้าไปอย่างมีความสุขจนเต็มอิ่ม
ทั้งสองทานอาหารเช้าเสร็จโดยไม่พูดไม่จา แต่แล้วในที่สุดฉินซีก็พบโอกาสที่จะได้พูดคุยกับลู่เซิ่น
“ประธานลู่ เรื่องข้อเสนอของคุณเมื่อวาน…”
ลู่เซิ่นยกมือขึ้นหยุดคำพูดของเธอไว้ จากนั้นก็ยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้เธอ “เมื่อวานฉันด่วนพูดไปหน่อยข้างในนี้เป็นสัญญาฉบับสมบูรณ์ เธออ่านจบแล้วค่อยตกลงก็ยังไม่สาย”
ฉินซีมองสัญญาขนาดไม่บางที่อยู่ในมือ แล้วเปิดอ่านหน้าแรกอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ข้อตกลงที่เขียนอยู่ข้างในนี้เป็นทางการมาก
ฝ่าย ก. ลู่เซิ่น ฝ่าย ข. ฉินซี
หลังจากที่ฉินซีอ่านสัญญาอย่างละเอียดอยู่ครึ่งวัน ในที่สุดเธอก็สามารถสรุปเนื้อหาสำคัญของสัญญาฉบับนี้ออกมาได้
“หมายความว่าคุณจะจ่ายหนี้แทนฉัน แล้วให้ฉันอยู่กับคุณอย่างนั้นเหรอคะ” ฉินซีเงยหน้ามองลู่เซิ่น
ลู่เซิ่นพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
ฉินซีส่งสัญญากลับไป “ฉันไม่ยอมรับข้อตกลงนี้ค่ะ”
ลู่เซิ่นขมวดคิ้วมุ่นทันที “ทำไม”
สีหน้าของเขาดำมืด ราวกับว่าความโกรธของเขามีออร่าที่ทำให้รู้สึกกดดัน
ทว่าฉินซีเป็นคนถูกกดดันได้ง่ายเสียที่ไหน เธอชี้ไปที่ข้อตกลงในสัญญา “ฉันต้องการยืมเงินจากคุณ”
ลู่เซิ่นหรี่ตาลง จากนั้นก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “ไม่อยากให้ฉันชดใช้หนี้แทนเธอฟรี ๆ อย่างนั้นเหรอ”
ฉินซีพยักหน้า “ฉันรู้ค่ะว่าครอบครัวของประธานลู่นั้นร่ำรวยมาก แต่เงินมากขนาดนี้ แม้ว่าจะเป็นคุณ ก็ใช่ว่าก็สามารถเอามันออกมาได้โดยสะดวก พวกเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เมื่อวานคุณช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ฉันก็ต้องขอบคุณคุณมากแล้ว ฉันไม่อยากทำเรื่องที่ละอายแก่ใจตัวเองโดยการเอาเปรียบคุณแบบนี้อีก”
ตอนที่ได้ยินฉินซีพูดว่า “ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” ลู่เซิ่นก็ขมวดคิ้วแน่น เขารอให้ฉินซีพูดจบแล้วจึงพูดขึ้นมาว่า “ฉันไม่ได้ไม่รับค่าตอบแทน ฉันมีเงื่อนไข”
ฉินซียิ้ม “ค่ะ นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฉันพูดว่าต้องการยืมเงินจากคุณ ให้ฉันอยู่ข้างกายคุณ ก็ไม่ต่างอะไรกับการขายร่างกายตัวเองไปเรื่อยๆ รอฉันคืนเงินคุณครบเมื่อไหร่ ฉันก็จะเป็นอิสระ แบบนี้เป็นยังไงคะ”
ดูเหมือนว่าลู่เซิ่นจะไม่ค่อยพอใจในข้อเสนอของเธอ สีหน้าของเขามืดครึ้มราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง
ฉินซียักไหล่ “คุณสามารถคิดดอกเบี้ยตามแบบธนาคารได้เลย ฉันจะจ่ายเงินคืนคุณพร้อมกับดอกเบี้ย”
ทันใดนั้นลู่เซิ่นที่เงียบอยู่นานก็พูดขึ้นมาว่า “เธอต้องการให้เรื่องนี้เป็นเรื่องธุรกิจจริง ๆ ใช่ไหม”
ฉินซีพยักหน้าอย่างใจเย็น “ทำแบบนี้ก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดีนี่คะ”
ไม่รู้ว่าทำไมลู่เซิ่นถึงได้หัวเราะออกมาเบา ๆ “ต่อให้เมื่อวานคนที่ช่วยชีวิตเธอไม่ใช่ฉันแต่เป็นคนที่ผ่านไปผ่านมา เธอก็ยังจะพอใจกับข้อเสนอแบบนี้ของเขาสินะ”
ฉินซีมองเขาอย่างแปลกใจ “สมมติฐานของคุณมีความหมายอะไรหรือเปล่า”
ลู่เซิ่นพูดขึ้นมาอย่างดึงดัน “ว่ามาสิ”
ฉินซีครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าเป็นใครก็ได้ทั้งนั้นหรอกค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าคำตอบนี้ของเธอไม่ได้ทำให้ลู่เซิ่นพอใจอะไรขนาดนั้น ทว่าอย่างน้อยคิ้วที่ขมวดแน่นของเขาก็คลายลงนิดหน่อยแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่เธอว่า ฉันจะให้ทนายความร่างสัญญาใหม่อีกฉบับ”
เขาโบกมือให้ฉินซี
ฉินซีแปลกใจเล็กน้อย “คุณยอมตกลงอย่างนั้นเหรอคะ”
ลู่เซิ่นหันหน้ามองเธอ “ตอนนี้เธอเสียใจทีหลังแล้วอย่างนั้นเหรอ”
ฉินซีส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ฉันต้องแค่คิดไม่ถึงว่าคุณจะยอมตกลงเร็วขนาดนี้ ฉันคิดว่าอาจยังต้องเจรจาเงื่อนไขอื่น ๆ อีก… ”
ลู่เซิ่นหัวเราะออกมาโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วออกไปจากห้องอาหาร
ฉินซีเอียงศีรษะอย่างสับสน เธอไม่เข้าใจว่ารอยยิ้มของเขาหมายถึงอะไร
อาหารว่างแล้วเธอก็ลุกขึ้น ทว่าพ่อบ้านเดินเข้ามาหาเธออย่างเคารพ “คุณฉิน เมื่อวานนี้โทรศัพท์ของคุณแช่อยู่ในน้ำเลยได้รับความเสียหาย พวกเราจึงเตรียมโทรศัพท์เครื่องใหม่เอาไว้ให้คุณแล้ว แค่เปลี่ยนเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่คุณต้องการก็ใช้ได้แล้ว”
เธอกำลังคิดจะบอกว่าไม่ต้อง แต่ทันใดนั้นก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพเมื่อวานจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาหนึ่งวันแล้ว
ไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน โทรศัพท์ก็ยังติดต่อไม่ได้อีก ไม่รู้ว่าอานหยันจะร้อนใจจนเป็นบ้าไปแล้วหรือยัง
ดังนั้นเธอจึงไม่ระวังอะไรมากอีก รีบพยักหน้าให้พ่อบ้าน “รบกวนคุณแล้ว”
พ่อบ้านยิ้มรับ จากนั้นก็โบกมือให้คนนำโทรศัพท์เครื่องใหม่มา
เธอใส่ซิมโทรศัพท์เข้าไป เพิ่งจะเปิดเครื่อง แต่โทรศัพท์กลับค้างเหมือนใกล้จะพัง
อานหยันโทรศัพท์และส่งข้อความมามากมายอย่างที่คิดไว้จริง ๆ
เธอไม่กล้าชักช้าอีก รีบโทรกลับไปทันที
อานหยันแทบจะกดรับสายในทันที น้ำเสียงเจือสะอื้น ตะโกนออกมาเสียงดัง “ฉินซี! เธออยู่ที่ไหน! ฉันตามหาเธอทั้งคืนเลยนะ!”
ฉินซีรู้สึกผิดเล็กน้อยและพูดพลางยิ้มว่า “ฉันไม่ได้ไปไหน ก็แค่โทรศัพท์ไม่มีแบตเฉย ๆ …”
อานหยันตะโกนขึ้นมาอย่างโมโห “คิดว่าโกหกใครอยู่ ตอนนี้ฉันอยู่หน้าประตูบ้านเธอ เคาะประตูห้องเธอจนเพื่อนบ้านออกมามองแล้ว!”
ฉินซีรู้สึกผิดเล็กน้อย “ตอนนี้ฉันไม่อยู่บ้านจริง ๆ เมื่อวานเองไม่ได้กลับบ้าน … ”
อานหยันตะลึง “แล้วเธอไปไหนมา”
ฉินซีมองไปรอบ ๆ แล้วกัดฟันพูดออกมา “ฉันอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวน”
อานหยันสงสัยขึ้นมาในทันที “รีสอร์ทชิงหยวนอย่างนั้นเหรอ”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็มีการตอบสนอง
“แล้วทำไมเธอถึงไปอยู่ที่รีสอร์ทชิงหยวนได้”
เสียงของเธอดังมากจนพ่อบ้านที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวก็หันมามองฉินซีอย่างแปลกใจเล็กน้อย
ฉินซีถือโทรศัพท์ไว้แล้วส่งยิ้มให้พ่อบ้าน จากนั้นก็เดินไปที่ระเบียง “เรื่องมันยาว ไว้เจอกันแล้วฉันจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้เธอเลิกเคาะประตูก่อน เดี๋ยวเพื่อนบ้านฉันจะคิดว่าเธอเป็นคนทวงหนี้”
เห็นเธอยังสามารถพูดล้อเล่นได้แบบนี้อานหยันก็วางใจ เธอบ่นอย่างโมโหสองคำ ก่อนจะวางสายไปหลังจากที่ฉินซีรับปากว่าครั้งหน้าจะไม่ขาดการติดต่ออีกแล้ว
ฉินซีหันกลับมาขณะที่ถือโทรศัพท์ เธอค่อนข้างที่จะสับสน
ลู่เซิ่นบอกว่าจะให้ทนายร่างเอกสารใหม่ แล้วต้องรออีกนานแค่ไหนกัน
เธอต้องอยู่ที่นี่ หรือว่าควรจะกลับบ้าน
ตอนนี้บ้านของเธอ…คือที่ไหนกันนะ
ตอนที่ฉินซีกำลังคิดอย่างสับสน พ่อบ้านเรียกชื่อของเธอจากข้างหลัง
“คุณฉิน คุณผู้ชายเชิญคุณไปที่ห้องหนังสือ”
ฉินซีพยักหน้าตอบรับอย่างเป็นธรรมชาติ
นี่เป็นครั้งที่สองที่ฉินซีเข้ามาในห้องหนังสือของลู่เซิ่น ครั้งก่อนตอนที่เธอมาก็ไม่ได้คิดว่าครั้งถัดไปที่กลับมาจะเป็นสถานการณ์แบบนี้
ลู่เซิ่นนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีผู้ชายใส่ชุดสูทกับรองเท้าหนังยืนอยู่ข้าง ๆ คิดว่าน่าจะเป็นทนายความของเขา