Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 923
บทที่ 923 ขอบคุณที่คอยดูแล
ทันทีที่ลู่เซิ่นได้ยินเสียงฝีเท้า ก็เงยหน้ามองคนที่กำลังเดินเข้ามา จากนั้นก็พูดกับคนในโทรศัพท์ว่า “คุณแม่ ยอมแพ้เถอะครับ ผมไม่สามารถพาเธอไปด้วยได้”
หลังจากพูดจบเขาก็วางสายโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับมา
“คุณจะเดินทางไปทำธุรกิจอย่างนั้นเหรอคะ” ฉินซีรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาของลู่เซิ่น ดังนั้นเธอจึงพูดแสดงความห่วงใยตามมารยาทออกมา
“อืม” ลู่เซิ่นพยักหน้า “ไปประมาณหนึ่งสัปดาห์น่ะ”
ฉินซีพยักหน้า ทันใดนั้นเธอก็คิดอะไรขึ้นได้
การถ่ายรูปครั้งนี้ต้องใช้เวลาตรวจสอบมากกว่างานที่ผ่านการมา ทั้งยังต้องใช้ประโยชน์จากเครือข่ายภายในของหน่วยข่าวกรองไม่น้อย ดังนั้นฉินซีจึงไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ทำทุกอย่างให้สำเร็จด้วยตัวเองเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ได้ หลังจากนี้จึงจำเป็นต้องไปที่บ้านของอานหยันบ่อย ๆ
ในเมื่อลู่เซิ่นกำลังจะเดินทางไปทำธุรกิจ ถ้าอย่างนั้นเธอก็สามารถย้ายไปอยู่กับอานหยันเป็นการชั่วคราวได้อย่างพอดิบพอดี ทำแบบนี้จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา
ขณะที่เธอกำลังคิดนี้ สีหน้าของเธอก็ดูผ่อนคลายขึ้นมาก
หลังจากนั้นไม่นานพ่อบ้านก็เข้ามาบอกว่าเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลู่เซิ่นจึงได้ออกจากบ้านตระกูลลู่
…
ตอนที่อานหยันเปิดประตู ก็เห็นฉินซีถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เธอเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “เธอถูกลู่เซิ่นไล่ออกมาแล้วอย่างนั้นเหรอ”
ฉินซีโบกมือ “พูดอะไรของเธอ เขาเดินทางไปทำธุรกิจ ฉันก็เลยจะมาอยู่ด้วยสักสองสามวัน”
อานหยันผายมือต้อนรับ ทั้งสองคนช่วยกันเก็บกวาดห้องนอนแขก จากนั้นก็เดินไปที่ห้องหนังสือ เตรียมลงมือทำงานอย่างตั้งใจ
ถึงแม้ว่าฉินซีต้องการที่จะตรวจสอบเรื่องของเหยาหมิ่นเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรงานก็ต้องมาก่อน ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงนำภารกิจมาไว้เป็นอันดับแรก
“นี่เป็นสถานการณ์ในปัจจุบันของบริษัทผลิตยาจ้าวซื่อ” อานหยันวาดแผนผังต้นไม้บนกระดานไวท์บอร์ดขนาดเล็กข้างโต๊ะทำงาน “จ้าวหมิงเป็นประธานของบริษัทผลิตยาจ้าวซื่อ และยังเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญของเรา เขามีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องของบริษัทผลิตยาจ้าวซื่ออย่างเด็ดขาด”
“คนคนนี้เป็นเป้าหมายของเธอ” อานหยันชี้ไปที่รูปถ่ายข้าง ๆ “เฉินยี้ เขาเป็นผู้มีอำนาจอันดับที่สองของบริษัทผลิตยาจ้าวซื่อ เป็นคนสนิทของจ้าวหมิง พวกเราสงสัยว่าการทำการค้าที่ผิดกฎหมายของบริษัทอาจถูกส่งมอบให้เขาเป็นคนดำเนินการให้สำเร็จ”
ฉินซีพยักหน้า จากนั้นก็จำรูปพรรณสัณฐานของทั้งสองคนเอาไว้ในสมอง
“ตามข้อมูลที่พวกเรามีอยู่ โรงแรมแห่งนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ทำธุรกิจของบริษัทผลิตยาจ้าวซื่อ ทว่าความเป็นรูปธรรมของกฎเกณฑ์การทำธุรกิจ ยังต้องการดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมขึ้นอีกขั้น”
อานหยันหันกลับมาเปิดคอมพิวเตอร์แล้วคลิกที่อีกหนึ่งโฟลเดอร์ “โชคดีที่ว่าโรงแรมนี้เองก็ไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไรนัก ก่อนหน้านี้ยังเคยถูกถ่ายภาพเรื่องอื้อฉาวของดาราเอาไว้ไม่น้อย ดังนั้นการที่มีนักข่าวเข้าไปนั่งอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร”
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ โรงแรมนี้ก็ไม่มีความสามารถในการปกปิดที่มิดชิดมากพอ แล้วทำไมคนของบริษัทจ้าวซื่อถึงได้ใช้ที่นี่เป็นฐานปฏิบัติการ”
อานหยันชี้ไปที่รูปภาพบนกระดานไวท์บอร์ด “เพราะว่าจ้าวหมิงมีหุ้นอยู่ในโรงแรมแห่งนี้ ทั้งที่นี่ยังไม่ได้คึกคักและไม่ได้เงียบสงบจนเกินไป แถมยังเป็นพื้นที่ของตัวเองอีก แน่นอนว่าจะต้องปลอดภัยมากที่สุด”
ฉินซีพยักหน้า อานหยันชี้ไปที่ภาพขยายภาพหนึ่งในคอมพิวเตอร์แล้วพูดว่า “ดังนั้นครั้งนี้ภารกิจบังหน้าของเธอก็คือการไล่ตามเรื่องอื้อฉาวของเขา”
ฉินซีเหลือบมองไปที่คอมพิวเตอร์ เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยข้างในนั้น “นี่คือ…”
อานหยันไม่ได้แปลกใจกับปฏิกิริยาของเธอ เพียงแค่ยักไหล่ “เสิ่นโหลว นักแสดงที่ได้รับความนิยมในช่วงเร็ว ๆ นี้”
ฉินซีไม่เคยสนใจเรื่องของดาราพวกนี้ ก่อนหน้านี้ที่เธอตามกับถ่ายภาพก็เพียงทำตามความต้องการของอานหยัน
“คนของนิตยสารที่คอยติดตามเสิ่นโหลวมักจะเห็นเขาออกมาจากโรงแรมนี้อยู่บ่อย ๆ แถมยังพาผู้หญิงมาด้วยอยู่หลายครั้ง ดังนั้นการใช้เรื่องอื้อฉาวของเขาเป็นฉากบังหน้าจึงค่อนข้างที่จะปลอดภัย” อานหยันพูดต่อ
ฉินซีพยักหน้าเป็นนัยว่าเข้าใจ
“ดังนั้นจุดสำคัญของภารกิจตอนนี้ก็คือการค้นหากฎเกณฑ์ในการปรากฏตัวของเฉินยี้ที่โรงแรมแห่งนี้ ส่วนเรื่องหลังจากนี้ค่อยมาวางแผนกันต่อทีหลัง”อานหยันตบไหล่ฉินซี “ภารกิจก่อนหน้านี้ฉันตรวจสอบข่าวกรองให้ชัดเจนเรียบร้อยแล้วก่อนจะส่งมอบให้เธอ แต่ในเมื่อครั้งนี้เธอมีคุณสมบัติที่จะใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของหน่วยข่าวกรองได้แล้ว ฉันก็จะไม่ทำแทนอีก”
เธอเชื่อในความสามารถของฉินซี ดังนั้นเธอจึงกล้าที่จะวางใจ
“นอกจากนี้ฉันยังต้องพูดอีกหนึ่งเรื่อง” สีหน้าของอานหยันเริ่มจริงจังขึ้นมา “ฉันรู้ดีว่า…เคยอยากจะรีบแก้แค้นให้คุณป้า แต่ว่าภารกิจต้องมาเป็นอันดับแรก เธอจะทำอะไรฉันไม่สนใจ แต่มันต้องไม่ส่งผลกระทบต่อภารกิจ”
ฉินซีมองไปที่อานหยันแล้วพยักหน้า “เธอวางใจเถอะ ฉันจัดลำดับได้”
อานหยันตบไหล่เธอ แล้วเดินออกไปจากห้องหนังสือโดยไม่พูดอะไร
ฉินซีมองไปยังคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้า สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วรีบคลิกเข้าไปตรวจสอบรายการกระตุ้นที่ถูกบันทึกเอาไว้เมื่อหนึ่งปีก่อน ตั้งใจค้นหาการเคลื่อนไหวของเฉินยี้ตามข่าวกรองของอานหยัน
…
ช่วงเวลาของการทำงานผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่อานหยันเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา ฉินซีก็พบว่าถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว
“กินข้าวก่อน” อานหยันวางของลง “ร่างกายสำคัญมากที่สุด”
“ฉินซีเหลือบมองหมาล่าทังที่เธอยกเข้ามา จากนั้นก็เงียบอยู่นาน”
เมื่อเห็นแววตาของฉินซี อานหยันก็พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมยะ นี่ฉันก็สั่งผักให้เธอเยอะเป็นพิเศษแล้วไง อยากกินอาหารของพ่อครัวใหญ่ก็กลับไปตระกูลลู่”
ฉินซีทำหน้ามุ่ยแล้วรับหมาล่าทังมา “ช่างเถอะ หมาล่าทังก็อร่อยดี”
หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารกลางวันกันอย่างเงียบ ๆ เสร็จ ฉินซีก็หันกลับมาเปิดคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
อานหยันรู้ดีว่ายังไงก็คงโน้มน้าวเธอไม่ได้ จึงได้แต่เก็บอาหารเดลิเวอรี่พวกนี้ออกไป
“ตอนบ่ายฉันต้องไปสำนักพิมพ์นิตยสาร” เธอมองไปที่แผ่นหลังของฉินซี
“อื้อ” ฉินซีตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอได้ยินหรือเปล่า
อานหยันส่ายหน้าแล้วถือของเดินออกไปจากห้องหนังสือ
ที่ตอนนี้ฉินซีพยายามอย่างสุดชีวิตแบบนี้ก็เพื่อที่จะบีบเคล้นเวลาในการในการสืบหาข้อมูลของเหยาหมิ่นออกมา
นี่เป็นปมที่อยู่ในหัวใจของเธอมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็คว้าประกายแห่งความหวังเอาไว้ได้ แล้วเธอจะไม่พยายามให้เต็มที่ได้อย่างไร
อานหยันออกไปทั้งบ่าย ตอนที่เธอกลับมาหลังจากทำงานเสร็จ ฉินซีก็ยังคงเก็บตัวอยู่ในห้องหนังสือ แต่คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เปิดประตูเข้าไป กลับพบว่าฉินซีกำลังนั่งนวดกระบอกตาอยู่บนโซฟา
“กลับมาแล้วเหรอ” ฉินซีหันมามองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็เหลือบมองไปที่โทรศัพท์ “ฉันกำลังจะโทรสั่งพิซซ่า”
อานหยันชูกล่องอาหารที่ถืออยู่ในมือขึ้นมา “ไม่ต้องสั่งแล้วจ้า ฉันสั่งกับข้าวมาจากร้านอาหารให้เธอแล้ว ถึงแม้ว่าจะอร่อยไม่เท่ากับของพ่อครัวใหญ่ตระกูลลู่ ก็ตั้งใจกินให้ฉันหน่อยนะ”
ฉินซีประหลาดใจเล็กน้อย เธอลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไป “ทำไมถึงได้รู้จักเอาอาหารมาแล้วล่ะ”
ต้องรู้ก่อนว่าอานหยันนั้นเป็นคนที่ชอบสั่งอาหารเดลิเวอรี่มากินเป็นชีวิตจิตใจ เธอชอบกินอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นที่สุด การต้องไปกินข้าวที่ร้านอาหารเป็นอะไรที่น่ารำคาญเอามาก ๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้เธอจะสามารถซื้อกับข้าวกลับมาได้
อานหยันทำหน้ามุ่ย
ฉินซีเห็นสีหน้าแบบนั้นของเธอแล้วก็แอบลอบยิ้มในใจ
เห็นได้ชัดว่าอานหยันกลัวว่าเธอจะเหนื่อย
อานหยันพึมพำพลางเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อ ฉินซีนำอาหารเข้าไปอุ่นในครัว
ช่วงเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานนี้ เธอต้องขอบคุณทุกคนที่คอยดูแลเธอมากจริง ๆ
เธอถอนหายใจออกมาเบา ๆ เป็นเพราะเธอยังแข็งแกร่งไม่พอ ดังนั้นจึงต้องให้คนอื่นคอยปกป้องอยู่เรื่อย
“เสร็จหรือยัง! ฉันหิวแล้ว!” อานหยันตะโกนมาจากข้างนอก เธอเก็บอารมณ์ความรู้สึกพวกนั้นกลับไป จากนั้นก็หันไปพูดกับทางข้างนอก “เธอเข้ามายกไปสิ!”
เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ค่อย ๆ พัฒนาให้ดีขึ้นไปทีละก้าวทีละก้าวก็เพียงพอแล้ว