Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 934
บทที่ 934 ต่างคนต่างคิดอะไรอยู่ในใจ
แม้ว่าภารกิจนี้จะไม่ได้ทำให้ฉินซีรู้ความจริงเกี่ยวกับเหยาหมิ่น แต่สามารถตรวจสอบเรื่องฝ่าฝืนกฎหมายอื่นๆได้ ก็ถือว่าชดเชยความรู้สึกเสียใจได้เยอะเลย
ต่อมาก็ได้ยินอานหยันพูดว่า จากภาพในกล้องวงจรปิดพวกเขามั่นใจแล้วว่าคู่ค้าธุรกิจเป็นใคร แล้วพวกเขาก็ใช้วิดีโอที่ฉินซีถ่ายมาเพื่อบังคับให้เฉินยี้ยอมรับว่าเป็นจ้าวหมิง
หลังจากนั้น ฉินซีก็ได้เห็นข่าวที่บริษัทจ้าวซื่อลักลอบค้ายาผิดกฎหมายถูกรายงาน และข่าวที่บริษัทจ้าวซื่อใกล้จะล้มละลาย
และแน่นอนว่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ต้องถกกันทีหลัง
ตอนที่ฉินซีกลับมาถึงรีสอร์ทชิงหยวน ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว
เมื่อได้กลิ่นหอมๆลอยมาจากห้องทานอาหาร ฉินซีถึงได้รู้ตัวว่า ตัวเองเคร่งเครียดมาทั้งวัน แม้แต่ข้าวก็ลืมกิน
ที่โหดร้ายไปกว่านั้นก็คือ เธอจำได้ว่าตอนออกจากบ้าน เธอสั่งแม่ครัวไว้ว่าไม่ต้องเตรียมอาหารเย็นไว้ให้เธอ
“คุณนายกลับมาแล้วเหรอครับ” พ่อบ้านเดินมาหยุดอยู่ข้างๆเธอ พร้อมช่วยเธอถือกระเป๋า “ในครัวมีซุปไก่ คุณนายจะรับไหมครับ?” และแน่นอนว่าฉินซีไม่ปฏิเสธ
เมื่อเดินมาถึงห้องทานอาหาร เธอพบว่าลู่เซิ่นก็นั่งอยู่ตรงนั้น
ท่าทางตอนเขาทานซุปดูสง่ามากก็จริง แต่ในเวลานี้ฉินซีไม่มีกระจิตกระใจจะมาชื่นชมเขาหรอกนะ
เธออยากถามลู่เซิ่นเกี่ยวกับเรื่องของหลินยี่มาก แต่ถ้าหากเอ่ยปากถามออกไป เธอก็คงหนีไม่พ้นต้องบอกเขาว่าวันนี้ตัวเองไปทำอะไรมา
ถึงแม้เธอจะคิดว่าลู่เซิ่นต้องมีสงสัยเกี่ยวกับการทำงานของเธอแน่ๆ แต่การเอ่ยปากยอมรับเอง กับการที่อีกฝ่ายรู้อยู่แก่ใจแล้วพูดโพล่งออกมา มันไม่เหมือนกัน
เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าคราวหลังถ้ามีโอกาสค่อยเอ่ยถามอย่างเลี่ยงๆเอาแล้วกัน
แต่ก็คิดไม่ถึงว่าลู่เซิ่นจะเป็นฝ่ายเอ่ยพูดขึ้นมาก่อน
“ผมได้ยินหลินยี่พูดว่า วันนี้เขาเจอคุณ”
ลู่เซิ่นคนซุปในถ้วย พร้อมกับพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ฉินซีชะงัก
เธอคิดไม่ถึงว่าลู่เซิ่นจะเป็นคนพูดถึงเรื่องนี้ก่อน
แต่ในเมื่อพูดมาแล้ว เธอก็ไม่คิดที่จะเลี่ยง จึงพยักหน้าไปตรงๆ “ฉันมีธุระที่โรงแรมนิดหน่อย ก็เลยเจอเขาเข้าพอดี แล้วก็ต้องขอบคุณเขาด้วยที่ช่วยฉันแก้ปัญหา”
เมื่อเธอพูดจบ ก็ไม่ได้ก้มหน้าลง สายตากวาดมองใบหน้าของลู่เซิ่นอย่างละเอียด เผื่อจะเห็นเบาะแสอะไรจากสีหน้าของเขาบ้าง
แต่ลู่เซิ่นกลับไม่เผยพิรุธออกมาทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย เขาแค่เงยหน้าขึ้นมองเธอ ผ่านไปสักพักถึงได้พูดขึ้นมาว่า “งั้นเหรอ?”
ทำไมเขาทำหน้าอย่างนี้?
หรือว่าเรื่องที่หลินยี่ไปโผล่ที่นั่นไม่เกี่ยวกับเขาจริงๆ?
ในหัวของฉินซีคิดไปต่างๆนานา ทว่าแววตาที่สมกับลู่เซิ่นกลับไม่ได้แสดงอาการร้อนตัวออกมา เธอพยักหน้าอย่างไร้กังวล “ใช่สิ”
เธอไปทำงานจริงๆนี่นา และหลินยี่ก็ช่วยเธอแก้ปัญหาจริงๆด้วย
ลู่เซิ่นไม่ได้ถามอะไรต่อ พยักพเยิดไปยังอาหารบนโต๊ะ “ทานซุปสิ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน”
ฉินซีหิวมาก เธอจึงก้มหน้าก้มตาเริ่มซดน้ำซุป
แต่ว่าการปรากฏตัวของหลินยี่ในครั้งนี้ มันก็มีส่วนที่เป็นแค่ความบังเอิญจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่ฉินซีคิดทั้งหมด เพราะมันเป็นแผนของลู่เซิ่น
เขาให้นามบัตรของหลินยี่กับฉินซี ก็ต้องเป็นเพราะเขาเคยพูดเรื่องของฉินซีให้หลินยี่ฟังแล้ว
วันนี้ หลินยี่บังเอิญไปทำธุระที่โรงแรมนั้นพอดี แต่พอสืบเจอว่าฉินซีเองก็อยู่ที่นั่น ดังนั้นจึงจองห้องบนชั้นที่เธออยู่เอาไว้ เผื่อมีเรื่องอะไรจะได้ลงมือทันที
และแน่นอนว่า เขาไม่ได้เลือกจองห้องส่งๆ ตำแหน่งของห้องที่เขาจองตั้งอยู่ตรงมุมเลี้ยวเพียงหนึ่งเดียวตลอดทางเดินจนถึงลิฟต์ เขาเองก็แค่เดาเอาไว้ว่า ถ้าจะมีเหตุสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้น ร้อยทั้งร้อยก็ต้องเกิดตรงตำแหน่งแบบนี้แหละ
จากประสบการณ์ที่เคยสู้รบจริงของเขาทำให้เขาจับพลัดจับผลูเดาทางถูก
ในตอนนี้ คนสองคนที่กำลังดื่มด่ำกับซุปในห้องครัวต่างไม่มีใครรู้ว่าความจริงคืออะไร ต่างคนต่างคิดอะไรอยู่ในใจ
……
เมื่อทุกอย่างจบสิ้น ในที่สุดชีวิตของฉินซีก็กลับมาในวงโคจรเดิมๆ
เมื่อก่อนเธอเองก็เคยใช้ชีวิตอย่างนี้มาแล้วแท้ๆ ไม่ว่าจะถ่ายรูปเอย เลือกรูปเอย และตอนนี้เธอยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม แต่ทว่ากลับมีความรู้สึกผิดหวังบางอย่างเกิดขึ้นมา
สาเหตุหลักๆเลย ก็ยังเป็นเรื่องของเหยาหมิ่น
ช่วงสองสามวันนั้นที่เธอไปอยู่บ้านของอานหยัน เธอแทบจะใช้ทุกวิถีทางที่เธอพอจะนึกออกเพื่อสืบหาเรื่องของเหยาหมิ่น แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ไม่ได้ผลทั้งนั้น
มีแหล่งข้อมูลดีขนาดนี้ก็แล้ว ตั้งใจสืบหาขนาดนี้ก็แล้ว แต่ก็ยังไม่อะไรกลับมา
สองสามวันมานี้ เธอเองก็พยายามคิดหาวิธีอื่นมาแก้ไขปัญหานี้เหมือนกัน แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ได้
แบบนี้ก็หมายความว่า ความจริงเกี่ยวกับเรื่องของเหยาหมิ่นจะถูกปิดเงียบไปตลอดเลยใช่ไหม?
เรื่องของเหยาหมิ่นสำหรับฉินซีแล้วมันสำคัญมากๆ แต่เพราะเธอให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเกินไป ดังนั้นมันจึงส่งผลต่ออารมณ์ของเธออย่างเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งกังวล ก็ยิ่งอยากคิดหาทางออก แต่ยิ่งคิดสมองกลับยิ่งตัน ไม่สามารถคิดหาวิธีที่จะทำสำเร็จได้เลย
ฉะนั้นไม่กี่วันต่อมา ฉินซีจึงเริ่มนอนไม่หลับเพราะคิดมาก
ส่วนคนที่เริ่มสังเกตได้ว่าเธอแปลกๆไปก่อนใครเพื่อน แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นลู่เซิ่น
ปกติเวลานอนของลู่เซิ่นก็น้อยกว่าฉินซีอยู่แล้ว แต่สองสามวันมานี้เวลาเขากลับเข้ามาในห้อง ก็มักจะเห็นว่าฉินซียังไม่หลับตลอด
และในตอนเช้าเมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าฉินซีตื่นขึ้นมาก่อนเขาแล้ว
บางครั้งเขาก็ถึงขั้นคิดว่า ฉินซีอาจจะไม่ได้หลับตลอดทั้งคืนเลยก็ได้
เมื่อนอนไม่พอ ต่อให้อากัปกิริยาของฉินซียังคงปกติดีทุกอย่าง แต่ทว่าเธอกลับมีอาการเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด
อาการหงอยเหงาเศร้าซึมของฉินซีอยู่ในสายตาของลู่เซิ่นตลอด แต่เขากลับไม่สามารถแบ่งเบาความรู้สึกนี้ช่วยฉินซีได้
เป็นอีกครั้งที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วเห็นฉินซีนอนลืมตาอยู่บนเตียง เมื่อเห็นรอยคล้ำจางๆใต้ตาของเธอ ในที่สุดลู่เซิ่นก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
ถ้าหากเขาไม่สามารถแบ่งเบาความรู้สึกนี้ช่วยฉินซีได้ อย่างน้อยก็ขอได้คิดหาวิธีช่วยเธอขจัดความกลัดกลุ้มออกไปก็ยังดี
ช่วงที่ฉินซีปฏิบัติภารกิจ เพราะสมาธิของเธอถูกกระจายไปจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น ดังนั้นอารมณ์ของเธอในช่วงนั้นจึงไม่ได้แย่เหมือนอย่างตอนนี้
นั่นก็หมายความว่า ถ้ากระจายสมาธิของเธอให้ไปคิดเรื่องอื่นได้ ก็จะสามารถทำให้เธอไม่ตกอยู่ในอารมณ์ซึมเศร้าแบบนี้ถูกไหม?
ดังนั้นในช่วงบ่าย ฉินซีจึงได้รับกล่องพัสดุมาอันหนึ่ง และคนที่ส่งมาให้คือบริษัทลู่ซื่อ
“ให้ฉัน?” ฉินซีงุนงง ถ้าไม่ใช่เพราะบนกล่องมีชื่อของเธอเขียนไว้อย่างชัดเจน เธอก็คงคิดว่ามีคนส่งผิดแล้ว
ทว่าเมื่อเธอเปิดกล่องออก ความงุนงงในใจก็ไม่ได้ลดลงไปเลยสักนิด
ข้างในกล่องเป็นบัตรเชิญ เนื้อหาเขียนไว้ว่างานเลี้ยงครบรอบของบริษัทลู่ซื่อที่กำลังจะถึงนี้ ทางบริษัทเชิญเธอไปในฐานะผู้ผลิตสื่อโฆษณาชวนเชื่อของบริษัท
ฉินซีจับต้นชนปลายไม่ถูก
เธอเป็นแค่ช่างภาพ พวกสื่อโฆษณาชวนเชื่ออะไรนั่นเธอแทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด แล้วทำไมบริษัทลู่ซื่อถึงส่งบัตรเชิญมาให้เธออย่างนี้ล่ะ?
ฉินซีวางกล่องไว้ข้างๆ คิดไว้ว่าถ้าลู่เซิ่นกลับมาแล้วเดี๋ยวค่อยถามเขา
ในตอนเย็นที่ลู่เซิ่นกลับมาที่บ้าน สิ่งแรกที่เห็นคือกล่องพัสดุในมือของฉินซี
“คุณส่งมาให้ฉันหรือเปล่า?” ฉินซีเอ่ยถามอย่างไม่อ้อมค้อม “แล้วสื่อโฆษณาชวนเชื่อคืออะไร มันไม่ได้อยู่ในขอบเขตเรื่องที่ฉันเข้าใจหรอกนะ ฉันอาจจะทำงานนี้ไม่สำเร็จก็ได้”
ลู่เซิ่นแค่เลิกคิ้วขึ้น “แผนกประโฆษณาส่งมาให้คุณเหมือนกันเหรอ?”
ฉินซีจับประเด็นได้อย่างเร็วไว “เหมือนกัน? แผนกโฆษณาของพวกคุณคงไม่ได้ส่งมาให้ฉันเฉยๆหรอกใช่ไหม?”
ลู่เซิ่นพยักหน้า “โครงการสร้างสื่อโฆษณาชวนเชื่อถูกกำหนดไว้แล้วในการประชุมครั้งก่อน มันเป็นเรื่องของแผนกโฆษณา ในเมื่อพวกเขาส่งมาให้คุณ นั่นก็แปลว่าพวกเขายอมรับในมาตรฐานของคุณแล้ว หวังว่าคุณจะเข้าร่วมนะ”