Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 937
บทที่ 937 ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน
“สายศิลป์งั้นเหรอ! เรียนไปจะไปทำอะไรได้!” ในใจของเขาก็ยังคงดูถูกเรื่องพวกนี้เข้ากระดูก เขาคิดอยู่เสมอว่ามันเป็นเรื่องขายฝัน “ตั้งใจเรียนหนังสือให้ฉันดีๆ อย่าคิดอะไรทำอะไรไม่มีประโยชน์อย่างนั้น!”
ฉินซึ่งเทียนเด็ดขาดมาก เขาไม่เคยถามความคิดเห็นของฉินซีเลยสักนิด ไม่ว่าเธอจะปฏิเสธแค่ไหน ก็ยังดื้อดึงยื่นใบสมัครเข้าคณะวิชาธุรกิจให้เธอ
เมื่อเห็นการกระทำของฉินซึ่งเทียน ฉินซีก็ผิดหวังเป็นอย่างมาก
และเธอเองก็ไม่ได้มีนิสัยยอมใครง่ายๆ ในคืนนั้นเธอจึงขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ลงไปกินข้าวเย็นเป็นการประท้วง
ในความคิดของฉินซีตอนนี้ เธอรู้สึกว่าในตอนนั้นการกระทำของเธอช่างเหมือนเด็กเอาแต่ใจจริงๆ
แต่ฉินซีในวัยนั้นก็คิดหาวิธีอื่นมาคัดค้านไม่ออกแล้วเหมือนกัน
เธอทำอย่างนั้นอยู่สามวัน และในเย็นของวันที่สาม ตอนที่เหยาหมิ่นมาเคาะประตูห้องของเธอพร้อมกับร้องไห้ ในที่สุดเธอก็ใจอ่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ จำต้องเปิดประตูให้เหยาหมิ่น
ดวงตาทั้งสองข้างของเหยาหมิ่นบวมแดง คงเพราะร้องไห้มาตลอดสามวันเพราะเป็นห่วงเธอ “เสี่ยวซี ฟังแม่นะ ไม่ดื้อแล้วได้ไหม?”
แม้ว่าฉินซีจะสงสารเธอ แต่ก็ยังหลุดปากพูดออกไปอย่างไม่ยอม “ฉันไม่อยากให้เขามาควบคุมชีวิตฉันหรอก!”
น้ำตาของเหยาหมิ่นไหลออกมาจากดวงตาอีกครั้ง “แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อแกนะ ที่เขาทำแบบนี้ ก็เพราะหวังดีกับแก…….”
ฉินซีตอบกลับโดยอัตโนมัติ “ถ้าหวังดี ก็ไม่ต้องมายุ่งกับความคิดของฉันได้ไหม?”
เหยาหมิ่นเถียงเธอไม่ได้ ทำได้แค่ร้องไห้ ผ่านไปสักพักก็พูดติดสะอื้นขึ้นมาว่า “งั้นอย่างน้อยก็กินอะไรสักหน่อยเถอะนะ อย่าทรมานร่างกายตัวเองแบบนี้ แม่เป็นห่วง”
ฉินซีไม่อาจปล่อยให้เธอร้องไห้ต่อไปได้ จึงต้องพยักหน้าตอบรับ
เธอหิวก็จริง แต่พอได้กินจริงๆ ก็รู้สึกไม่อยากอาหาร จึงซดซุปเข้าไปไม่กี่อึก จากนั้นก็เตรียมจะกลับห้อง
เหยาหมิ่นคว้าจับเธอเอาไว้ด้วยความเร็ว “เสี่ยวซี ช่วงนี้พ่อแกไม่กลับบ้าน ต่อให้แกทำอย่างนี้ เขาก็ไม่รู้หรอกนะ”
ฉินซีเชิดหน้า “ฉันก็ไม่ได้อยากให้เขารู้สักหน่อย! ฉันก็แค่อยากแสดงออกว่า ฉันไม่มีทางยอมง่ายๆแน่!”
นี่เป็นคำพูดที่ฉินซีในวัยสิบแปดพูดออกมา จองหอง ไม่กลัวฟ้าดิน
เหยาหมิ่นจนปัญญา ทำได้แค่ปล่อยเธอกลับไป และหันไปพึ่งตัวช่วยในยามคับขันอย่างทนายความจ้าว
ทนายความจ้าวเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานหลายปี เขาเองก็มีลูกที่อายุราวๆฉินซีเหมือนกัน เมื่อได้ฟังเรื่องราวของฉินซีตามคำบอกกล่าวของเหยาหมิ่น ทนายความจ้าวก็ลูบคาง “ผมจะลองโน้มน้าวเธอดู”
วันนั้นช่วงบ่าย ทนายความจ้าวก็มาที่ตระกูลฉิน
ฉินซีลงมาเจอทนายความจ้าวอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ตอนนั้นเธอกลัวทนายจ้าวนิดหน่อย ภาพจำของคุณลุงคนนี้คือคนฝีปากร้าย เธอกลัวว่าตัวเองจะเถียงไม่สู้เขา
แต่ทนายความจ้าวกลับยิ้มอบอุ่นให้เธอ “ได้ยินแม่หนูบอกมาว่า หนูกำลังมีปัญหาใช่ไหม?”
ท่าทางของเขาต่างกับท่าทางของฉินซึ่งเทียนและเหยาหมิ่น เขาเหมือนกำลังตั้งใจรอฟังคำบอกเล่าของฉินซี ไม่ใช่สักแต่บังคับให้ฉินซีฟังความคิดเห็นของเขา
ฉินซีรู้สึกประทับใจในทันที จึงพูดเรื่องราวทั้งหมดออกมาอย่างไม่อุบอิบ
ทนายความจ้าวลูบคาง “แล้วหนูเคยคิดไหมว่า ในเมื่อใบสมัครถูกยื่นไปแล้ว ต่อให้หนูต่อต้านแค่ไหน ก็ไม่ได้ผลอะไรน่ะ?”
ฉินซีเผยใบหน้าเสียใจออกมา “แล้วต้องทำยังไงคะ?”
ทนายความจ้าวส่ายหน้า “ตอนนี้หนูมีสองทางให้เลือก หนึ่งคือยืนหยัดจนถึงที่สุด ให้ตายยังไงก็ไม่ไปเรียน ปีหน้าคอยไปสมัครเรียนใหม่ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์มันจะกลับมาเป็นเหมือนตอนนี้ไหมนะ”
ฉินซีขมวดคิ้วนิดๆ
อย่าว่าแต่เรื่องที่เธอต่อต้านแบบนี้ต่อไปแล้วจะทำให้ไม่ต้องไปเรียนธุรกิจตามที่หวังไว้ได้ไหมเลย ต่อให้เธอสามารถรับความกดดันได้แล้วกลับไปเรียนใหม่อีกปี ตอนที่ต้องสมัครเรียน ดูจากระดับความเผด็จการของฉินซึ่งเทียนแล้ว ไม่แน่หนังม้วนเดิมอาจจะฉายซ้ำอีกรอบก็ได้
แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เวลาของเธอก็จะไม่สูญเปล่าไปเฉยๆ!
“ยังมีอีกตัวเลือกหนึ่ง นั่นก็คือหนูยอมไปเรียนดีๆ พอไปเรียนแล้ว หนูอยากจะเรียนอะไร คนที่นั่นก็ไม่สนใจหนูหรอก”
น้ำเสียงของทนายความจ้าวเนิบช้า ราวกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ
แต่ฉินซีเป็นเด็กฉลาด เธอจึงเข้าใจความหมายที่ทนายจ้าวจะสื่อในทันที
“คุณลุงกำลังจะบอกว่า พอฉันไปเรียนที่มหาลัย ก็ค่อยเลือกเรียนวิชาที่ตัวเองชอบ ถูกไหมคะ?” ฉินซีมีความหวังขึ้นมาในทันที
ทนายความจ้าวกลับส่ายหน้าช้าๆ “ลุงไม่ได้หมายความแบบนั้น ลุงก็แค่อยากบอกหนูว่า ลุงเคยเรียนมหาลัยนั้น พวกวิชาเรียนรวมอย่างวิชาถ่ายรูป ไม่ได้จำกัดแค่เด็กในเอกเท่านั้นที่เรียนได้”
ฉินซีมองเห็นประกายเหลี่ยมจัดในดวงตาของทนายความจ้าว ก็เบ้ปาก “คุณลุงนี้เล่ห์เหลี่ยมเยอะเหมือนกันนะคะเนี่ย”
เมื่อทนายจ้าวถูกเด็กสาวว่ามาอย่างนั้น ก็ไม่ได้โกรธอะไร แค่หัวเราะออกมาเบาๆ “คิดได้แล้วใช่ไหม?”
การชั่งน้ำหนักถึงข้อดีข้อเสียแบบนี้เป็นอะไรที่ง่ายมาก ฉินซีพยักหน้าโดยไม่แม้แต่จะลังเล “เข้าใจแล้วค่ะ”
ดังนั้นการต่อต้านเป็นเวลาเดือนกว่าๆของเธอก็สิ้นสุดลงในที่สุด
เหยาหมิ่นขอบคุณทนายความจ้าวร้อยครั้งพันครั้ง ส่วนฉินซึ่งเทียนที่เพิ่งกลับมาจากทำงานนอกสถานที่พอได้รู้เรื่อง ก็อดตกใจไม่ได้
ฉินซีดื้อแค่ไหน เขารู้ดี แล้วทำไมจู่ๆถึงเปลี่ยนใจล่ะ?
และแน่นอนว่าเหยาหมิ่นไม่คิดจะนำคำพูดของทนายความจ้าวไปบอกเขา แค่พูดหว่านล้อมออกมาว่า “เสี่ยวซีคิดได้ก็ดีแล้วน่า”
ตอนแรกฉินซึ่งเทียนก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ตอนทานข้าวเย็น แล้วเห็นฉินซีมานั่งบนโต๊ะอาหารด้วย ถึงได้เชื่อว่าฉินซีเปลี่ยนใจแล้ว จึงคิดไปว่าเพราะฉินซีโกรธ ก็เลยปฏิเสธการร่วมกินข้าวโต๊ะเดียวกับเขามาตลอด
เมื่อผลออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ มันก็เพียงพอแล้ว และเขาเองก็ไม่คิดจะไปจี้ถามว่าทำไมฉินซีถึงเปลี่ยนใจ เพียงแต่พูดออกมาอย่างปลื้มใจว่า “เสี่ยวซีในที่สุดแกก็โตแล้วสินะ”
สีหน้าของฉินซียังคงเรียบนิ่ง
แม้ว่าเธอจะตกลงไปเรียน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าที่ฉินซึ่งเทียนทำจะสามารถให้อภัยได้
ฉินซึ่งเทียนไม่ได้ถือสาสีหน้าของเธอ เขาคิดแค่ว่าถ้าลูกสาวได้เรียนธุรกิจที่มหาวิทยาลัยS ไม่แน่อาจจะเป็นผลดีกับบริษัทฉินซื่อกรุ๊ปในอนาคตก็เป็นได้ เขาจึงรู้สึกดีใจอย่างห้ามไม่ได้ “ห้องเล็กๆทางทิศตะวันตกของบ้าน ไม่มีคนใช้ไม่ใช่เหรอ? ฉันจะให้พ่อบ้านไปทำความสะอาด แล้วก็ย้ายพวกกล้องพวกเลนส์ของแกที่เคยถูกยึดไปไว้ในนั้น ถ้าแกตั้งใจเรียน ฉันก็จะไม่ห้ามแกจับของพวกนี้อีก”
ฉินซีเลิกคิ้ว เพิ่มเงื่อนไขเข้าไปอีกข้อ “งั้นพ่อบอกให้พ่อบ้านทำห้องมืดให้ด้วยสิ ฉันอยากได้ที่ล้างรูป”
ตอนนี้ฉินซึ่งเทียนอารมณ์ดี จึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธ “ได้ แกอยากได้อะไร ไปบอกพ่อบ้านเองก็แล้วกัน”
เขาไม่เคยรู้เลยว่า กล้องพวกนั้นที่เขาเข้าใจไปว่าถูกยึด หลายปีมานี้ฉินซีใช้มันไปแล้วหลายครั้ง
เขาคืนบัตรให้ฉินซี เธอจึงซื้ออุปกรณ์ติดตั้งที่เล็งมานานในทันที ห้องเล็กๆในบ้านก็ถูกทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย พร้อมทั้งตกแต่งตามที่ฉินซีต้องการ
ฉินซีดีใจสุดๆ ก่อนที่จะไปมหาวิทยาลัย เธอจึงขลุกตัวอยู่ข้างในแทบจะทั้งวัน
แต่ว่าไม่นาน วันที่ต้องไปมหาวิทยาลัยก็มาถึง
เธอทำตามคำแนะนำของทนายความจ้าวในตอนนั้น นั่นก็คือไปรายงานตัวที่คณะก่อน แล้วค่อยไปแก้เป็นเรียนควบสองสาขา
ฉินซึ่งเทียนไม่สนใจอยู่แล้วว่าตอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเธอทำอะไรบ้าง เขาแค่ต้องการให้ฉินซีตั้งใจเรียนธุรกิจ เพื่อในอนาคตจะได้มีคอนเน็คชั่นเพียงพอ
แต่ว่าฉินซีคิดต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง
การเรียนที่มหาวิทยาลัยSหนักหน่วงมาก คนอื่นๆเรียนแค่หลักสูตรเดียวก็เหนื่อยพอแล้ว แต่ฉินซีเรียนควบสองหลักสูตร กลับไม่รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยอะไร
เพราะมันคือสิ่งที่เธอเลือกแล้ว ดังนั้นก็ต้องพยายามต่อไป