Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 941
บทที่ 941 ให้ตายก็ไม่โอนอ่อน
ลู่เซิ่นรู้ผลเร็วกว่าฉินซีอยู่เป็นธรรมดา
เพราะเขาเป็นถึงคนตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย
แผนกโฆษณารับสมัครเยอะมาก แต่พล็อตที่ได้รับมาก็มีทั้งดีและแย่ปะปนกันไป พวกเขาคัดเลือกอย่างดีที่สุด ทั้งยังส่งไปให้คนภายในแผนกโหวตอีกรอบ ถึงได้ส่งผลขึ้นมา
พล็อตที่ได้รับผลโหวตมากที่สุด คือพล็อตของฉินซี
คนรับผิดชอบพูดอธิบายผลการคัดเลือกเป็นพนักงานใหม่ และไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของฉินซีและลู่เซิ่น จึงกลัวว่าลู่เซิ่นจะปฏิเสธพล็อตของฉินซีเพราะเธอไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นจึงพยายามขายอย่างสุดกำลังว่า “แม้ว่าเจ้าของพล็อตไม่ใช่ศิลปินที่โด่งดังเป็นพิเศษ แต่ว่าภาพที่เธอถ่ายก็ได้ขึ้นนิตยสารมีชื่อเสียงอยู่หลายเล่ม แล้วพล็อตของเธอก็มีเนื้อหาสมบูรณ์ที่สุด แล้วก็สะดุดตาที่สุดด้วย…..”
เมื่อหัวหน้าแผนกกับหลินหยังมองหน้ากัน ก็เห็นแววขบขันในดวงตาของกันและกัน
เพราะพนักงานคนนี้ กำลังชมภรรยาของลู่เซิ่นต่อหน้าลู่เซิ่น
สีหน้าของลู่เซิ่นเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก หลังจากได้ฟังที่พนักงานร่ายยาวออกมาว่าข้อดีของพล็อตเรื่องนี้มันอยู่ตรงไหนบ้าง ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างฉับพลันว่า “ในความคิดของคุณ หกตัวอย่างในพล็อตเรื่อง ส่วนที่ไม่ควรตัดทิ้งที่สุด คือส่วนไหน?”
พนักงานเงียบไป ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก็พูดออกมาตามจริงว่า “ผมคิดว่า ส่วนที่ไม่ควรตัดทิ้ง ก็น่าจะเป็นส่วนของหซู่เป่ยนะครับ”
น้ำเสียงของลู่เซิ่นยังคงเรียบนิ่ง “ทำไม?”
พนักงานรู้สึกได้ว่าท่าทางของเขาดูเยือกเย็นอย่างแปลกประหลาด จึงอธิบายออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆว่า “เพราะว่าถึงพล็อตเรื่องนี้จะกินใจคนดูมาก แต่ถ้าขาดส่วนของหซู่เป่ยไป ก็จะขาดไฮไลท์ดึงดูดสายตาคน แม้ว่าคนทั่วไปจะเกิดความรู้สึกร่วม แต่ถ้าไม่มีจุดพลิกทำให้พวกเขาได้มองมุมกว้าง ต่อให้ดึงดูดความสนใจได้สำเร็จก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ”
เมื่อเขาพูดจบ ลู่เซิ่นก็เงียบไปชั่วครู่ พนักงานเริ่มอยู่ไม่สุข จึงเงยหน้าไปมองหัวหน้าของตัวเองทีหนึ่ง
หัวหน้าจึงส่งสายตาปลอบใจมาให้เขา
“ในเมื่อดีขนาดนี้ ก็เอาอันนี้แหละ”
หลังจากเงียบไปนาน จู่ๆลู่เซิ่นก็เอ่ยปากพูดออกมา
คนทั้งแผนกถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ไม่ว่าหลังจากการถ่ายทำจะเจอปัญหาอะไร อย่างน้อยตอนนี้พวกเขาก็ทำสำเร็จไปแล้วหนึ่งก้าว
……
คืนนั้นเมื่อลู่เซิ่นกลับมาถึงบ้าน สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด
ฉินซีรู้ดีว่าที่พล็อตของเธอผ่านการคัดเลือก เพราะได้รับการอนุมัติจากลู่เซิ่น แต่ไม่ว่าจะมองยังไง ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะอนุมัติให้พล็อตที่เขาเคยคัดค้านอย่างหนักผ่านการคัดเลือก
ฉินซีจำต้องพูดหยั่งเชิงออกไปว่า “พรุ่งนี้ตอนคุณไปทำงาน พาฉันไปด้วยนะ”
ลู่เซิ่นพยักหน้า
เขาไม่คิดจะถามอะไรเธอหน่อยเหรอ?
ฉินซีขมวดคิ้วนิดๆ “ฉันว่าจะไปแผนกโฆษณา”
ลู่เซิ่นยังคงพยักหน้า เพิ่มเติมคือตอบรับเสียงเบาว่า “อืม”
ฉินซีทนเห็นเขาเย็นชาแบบนี้ต่อไปไม่ไหว จึงพูดออกไปตรงๆว่า “แผนกโฆษณาส่งอีเมลแจ้งให้ฉันไปคุยเรื่องพล็อต คุณรู้เรื่องไหม?”
ลู่เซิ่นเงยหน้าไปมองเธอ “ผมต้องรู้อยู่แล้วสิ”
“แล้วจะทำเป็นไม่สนใจเลยหรือไง” ฉินซีบ่นอุบอิบเสียงเบา “เพราะงั้นต่อไปนี้ฉันคงต้องขอติดรถคุณไปที่บริษัทลู่ซื่อบ่อยๆแล้วล่ะ”
ลู่เซิ่นไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา ยังคงพยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่ารับรู้เหมือนเคย
ฉินซีฮึดฮัด ขี้เกียจจะพูดกับเขาต่อ
ความจริงแล้วลู่เซิ่นหงุดหงิดตัวเอง มากกว่าที่หงุดหงิดฉินซีซะอีก
ที่เขาถามพนักงานไปแบบนั้น ก็เพราะอยากรู้ว่าทำไมวันนั้นฉินซีถึงได้โกรธเขานักหนา ถึงขนาดให้ตายยังไงก็ไม่ยอมโอนอ่อน
และคำตอบของพนักงานคนนั้น ก็ทำให้เขาเข้าใจเหตุผล
เพียงแต่ว่าในใจของเขายังมีความรู้สึกขัดใจอยู่หน่อยๆ คงต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะจัดการตัวเองได้
เมื่อฉินซีกินข้าวเสร็จ ในตอนที่ลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกจากโต๊ะอาหาร ลู่เซิ่นก็ปริปากพูดขึ้นว่า “ยินดีด้วย ฉินซี คุณวางพล็อตเรื่องได้ดีมาก”
น้ำเสียงของเขานิ่งๆ ไม่เหมือนกำลังชื่นชมอยู่สักนิด แต่การได้ยินคำชมจากปากของคนที่จู้จี้จุกจิกอย่างลู่เซิ่น ก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว
“ขอบคุณ” ฉินซีผงกหัว ไม่รอให้ลู่เซิ่นกินเสร็จ ก็เดินไปจากโต๊ะอาหาร
……
วันต่อมา ฉินซีไม่ได้ไปบริษัทลู่ซื่อพร้อมลู่เซิ่น
ที่เธอพูดบนโต๊ะอาหารเมื่อวานก็แค่อยากเรียกร้องความสนใจจากลู่เซิ่นอย่างเดียว เพราะว่าแผนกโฆษณานัดเธอไปคุยงานตอนบ่าย แต่ลู่เซิ่นต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้า
ฉินซีขับรถมาที่บริษัทลู่ซื่อเอง พอเดินเข้ามา ก็เพิ่งนึกได้ว่านี่เป็นครั้งที่สองที่ตัวเองมาที่นี่
คนในแผนกโฆษณามายืนรอรับเธออยู่ข้างล่าง ซึ่งก็คือพนักงานที่พูดชมเชยเธอไม่หยุดคนนั้น
ดูท่าทางแล้วเขาน่าจะเพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ ความกระตือรือร้นในการทำงานมีอยู่เต็มเปี่ยม พอได้คุยกับฉินซีเขาก็พูดน้ำไหลไฟดับ “ตอนผมเห็นพล็อตของคุณ ก็รู้สึกทัชใจมาก มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวของตัวเองเลย……”
พนักงานในแผนโฆษณาส่วนใหญ่แล้วมีแต่วัยรุ่น อายุห่างกับฉินซีไม่กี่ปี ดังนั้นพอได้พูดคุยกันจึงเป็นไปไปอย่างลื่นไหล
พวกเขาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพึงพอใจกับผลงานของฉินซีมาก แต่ในเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยยังมีจุดต้องปรับแก้อีกเยอะ
ไอเดียของเหล่าพนักงานบรรเจิดมาก ไอเดียใหม่ๆจึงถูกเสนอออกมาเรื่อยๆ พอฉินซีได้มานั่งอยู่ท่ามกลางพวกเขา ก็รู้สึกว่าตัวเองเด็กลงเยอะเลย
ไม่ทันรู้ตัว ก็วนมาถึงส่วนสุดท้ายของพล็อตนั่นก็คือส่วนของหซู่เป่ย
“คุณบอกว่า คุณมีรูปภาพของหซู่เป่ย ใช่ไหมคะ?” หญิงสาวที่อยู่ตรงมุมค่อนข้างจะดูตื่นเต้น ดูเหมือนว่าจะเป็นแฟนคลับของหซู่เป่ย
ฉินซีส่ายหน้า “ฉันต้องถามเขาก่อน ว่าเอามาใช้ได้ไหม”
“คุณมีช่องทางติดต่อเขาด้วยเหรอคะ!” สาวน้อยคนนั้นอุทานออกมา แต่ก็รู้จักแยกแยะ ไม่ได้ขอเบอร์หซู่เป่ยกับเธอแต่อย่างใด เพียงแค่พูดเร่งเร้าว่า “งั้นคุณถามตอนนี้ได้ไหมคะ?”
เมื่อฉินซีเห็นแววตาเป็นประกายของเธอ ก็ใจร้ายปฏิเสธไม่ลง เอื้อมมือไปล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วส่งข้อความไปหาหซู่เป่ยว่า “รูปที่ฉันเคยถ่ายให้คุณครั้งก่อน ถ้านำไปใช้ในทางธุรกิจ ต้องคุยกับผู้จัดการของคุณไหม?”
เดิมทีเธอก็ไม่คิดว่าหซู่เป่ยจะตอบกลับมาเร็ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่าผ่านไปไม่กี่วิ โทรศัพท์ของเธอจะส่งเสียงดังขึ้นมา
และคนที่โทรมา ก็คือหซู่เป่ย
ฉินซีโบกมือเชิงขอโทษคนอื่น จากนั้นก็ลุกขึ้นไปรับโทรศัพท์ข้างนอก
ทันทีที่กดรับ เสียงเป็นเอกลักษณ์ของหซู่เป่ยก็ดังขึ้นมา “ทำไมจู่ๆพูดว่าอย่างงั้น?”
ฉินซีพูดออกไปตามตรง “เพราะบริษัทลู่ซื่อกำลังจะทำสื่อโฆษณาชวนเชื่อ และฉันก็คิดว่ารูปที่ถ่ายให้คุณมันใช้ได้ ก็เลยมาถามคุณนี่แหละ”
หซู่เป่ยเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็พูดว่า “ช่างเถอะ ตอนแรกผมว่าจะคิดราคาเองสักหน่อย แต่ผมคิดว่าคุณไม่น่าจะตกลง คุณไปติดต่อกับผู้จัดการของผมเองดีกว่า”
ความรู้สึกของฉินซีมันบอกว่าคำว่า “คิดราคา”ที่เขาพูดมาต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ จึงระวังตัวไม่ถามต่อ ทำแค่พูดตอบกลับไปว่า “ได้ ฉันจะให้คนของบริษัทลู่ซื่อติดต่อไป”
“จะมีการถ่ายทำใช่ไหม?” จู่ๆหซู่เป่ยก็ถามขึ้นมา
ฉินซีคิดอยู่สักพัก ก็พยักหน้าพร้อมพูดว่า “มี”
“เอาสิ” หซู่เป่ยหัวเราะออกมาเบาๆ “ถ้าคุณถ่ายให้ผมล่ะก็ ผมจะบอกให้ผู้จัดการลดราคาให้”