Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 944
บทที่ 944 แล้วแต่โอกาส
หซู่เป่ยดึงเก้าอี้ออกมา แล้วลงไปนั่งข้างๆฉินซี “มาจริงๆด้วย กลัวว่าผมจะไม่ตั้งใจถ่ายจริงๆเหรอ?”
ฉินซีส่ายหน้า “แค่ผ่านมา ก็เลยแวะเข้ามาดูหน่อย”
หซู่เป่ยไม่ถามต่อ ทำเพียงเอามือเท้าคางมองมาที่เธอ “งั้นในเมื่อคุณมาแล้ว คุณลองถ่ายในส่วนที่กำลังจะถ่ายดูไหม?”
ฉินซีกวาดตามองทีมผู้กำกับ แล้วพูดออกมาอย่างกำกวม “คงต้องดูว่าผู้กำกับเขาจะว่ายังไง”
หซู่เป่ยเลิกคิ้ว “คุณไม่ใช่บอสใหญ่ของงานนี้หรอกเหรอ?”
ฉินซีหันไปมองเขา “ทำไมคุณคิดอย่างนั้น?”
หซู่เป่ยขยับเข้าไปใกล้ แล้วพูดกระซิบข้างหูเธอเสียงเบาว่า “ก็เพราะว่าคุณเป็นภรรยาของลู่เซิ่นไง”
พูดจบเขาก็ถอยออกมา แต่กลับไม่เห็นท่าทางแปลกๆอะไรจากสีหน้าของฉินซี
“คุณถามคนอื่นจนรู้ว่าฉันเป็นคนจัดการเรื่องของคุณ ถ้าจะถามจนรู้เรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับลู่เซิ่น ก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรถูกไหม?” ฉินซีจ้องตาหซู่เป่ยตรงๆ “ทำไม คิดว่าฉันจะตกใจเพราะคุณรู้เรื่องนี้เหรอ?”
รอยยิ้มบนหน้าของหซู่เป่ยกว้างยิ้มกว่าเดิม สายตาของเขามองฉินซีขึ้นๆลงๆ แล้วพูดเสียงเบาว่า “ฉินซี คุณเป็นคนน่าสนใจจริงๆด้วย”
ฉินซีไม่หลบสายตาของเขา พร้อมทั้งยักไหล่เบาๆ “คุณก็พูดเกินไป”
ต่อมาทางผู้กำกับก็เรียกให้หซู่เป่ยไปเตรียมตัว ผู้ช่วยของหซู่เป่ยวิ่งเหยาะๆมาเร่งเขา หซู่เป่ยจึงค่อยๆยืนขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน ยื่นมือออกไปบีบไหล่ของฉินซีไม่แรงไม่เบา “งั้นการถ่ายในอีกสักครู่ ฝากความหวังไว้ที่คุณนะ”
พูดจบ ก็เดินจากไป โดยไม่รอให้ฉินซีตอบกลับสักคำ
ฉินซีหัวเราะออกมาเบาๆ ในตอนที่กำลังจะลุกขึ้น ก็พบว่าแม่สาวแฟนคลับของหซู่เป่ยโผล่มาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ยืนมองเธอตาค้าง
“คุณ……” ฉินซีรู้สึกปวดหัวทันที ไม่รู้ว่าที่หซู่เป่ยพูดมาเมื่อกี้ เธอได้ยินไปมากแค่ไหน
“พี่ฉิน” แฟนคลับตัวน้อยกัดฟัน พร้อมกับเดินเข้ามาหา ราวกับจะทำการใหญ่อะไรสักอย่าง จากนั้นก็พูดกระซิบกับฉินซีเสียงเบาว่า “หซู่เป่ย…..ไม่ใช่คนดีอะไร พี่อย่าโดนหลอกง่ายๆนะ”
มาคราวนี้ฉินซีตกใจอย่างแรง “คุณพูดอะไร?”
แฟนคลับทำราวกับกลัวว่าฉินซีจะไม่เข้าใจความหมายของเธอ จึงพูดรวบรัดเร็วๆออกมา “พี่ฉิน เห็นหซู่เป่ยอย่างนี้ เขาเจ้าชู้มากๆเลยนะ ข้างกายมีผู้หญิงเข้าหาอยู่ตลอด พี่อย่าให้เขาหลอกนะ…….”
ฉินซียกมือขึ้นมา “หยุดๆ ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจะถูกหซู่เป่ยหลอก เมื่อกี้ฉันก็แค่คุยกับเขาไปเรื่อย”
แฟนคลับกัดริมฝีปาก ด้วยท่าทางลำบากใจ “ก็เมื่อกี้ตอนพวกพี่คุยกันดูสนิทสนมกันมาก คนอื่นเห็น ก็คงคิดแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ……..”
ฉินซีเอียงหัว นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ก็ไม่รู้สึกว่ามันจะดู “สนิทสนม” กันตรงไหน พนักงานคนนี้คงชื่นชอบหซู่เป่ยมาก พอเห็นใครเข้าใกล้หซู่เป่ยก็คงรู้สึกไม่สบายใจ ฉินซีจึงตบไหล่เธอเบาๆแล้วพูดว่า “สบายใจเถอะ ฉันกับหซู่เป่ยไม่มีอะไรหรอก”
พนักงานพยักหน้าหงึกหงัก แล้วพูดย้ำออกมาอีกว่า “แต่พี่ก็ห้ามถูกเขาหลอกเด็ดขาดเลยนะ”
ฉินซีรู้สึกขำ จากนั้นก็เดินไปหาทีมผู้กำกับ
เมื่อผู้กำกับเห็นเธอก็ตกใจ จากนั้นก็กล่าวทักทาย แล้วเป็นฝ่ายพูดออกมาเองว่า “ในเมื่อคุณก็มาแล้ว อีกสักครู่ คุณลองถ่ายดูดีไหม? เมื่อกี้เขาก็เอาแต่ถามว่าคุณจะมาหรือเปล่า”
เมื่อผู้กำกับพูดมาขนาดนี้ ฉินซีจึงไม่กล้าปฏิเสธ จำต้องพยักหน้าตอบรับไป
การจัดท่วงท่าของหซู่เป่ยดีมากจริงๆ เพราะเป็นดารา จึงไม่กลัวกล้องเหมือนผู้ให้สัมภาษณ์คนก่อนๆ ใบหน้าที่ฉายอยู่ในกล้อง ก็ไม่มีจุดไหนผิดพลาดเลยสักนิด
การถ่ายวิดีโอใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้น เมื่อหซู่เป่ยเดินออกมาจากเซ็ท แล้วเห็นฉินซีกำลังเลือกเลนส์กล้องอยู่อีกด้าน ชั่วขณะนัยน์ตาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาเธอ “ผู้กำกับให้คุณถ่ายแล้วสินะ คุณตากล้อง”
เมื่อฉินซีนึกไปถึงคำพูดของแฟนคลับสาวที่พูดมาเมื่อสักครู่ ก็แอบก้าวถอยหลังให้ห่างจากเขาเนียนๆ จากนั้นก็พยักหน้า “หวังว่าเราจะร่วมงานกันได้ด้วยดี”
หซู่เป่ยสังเกตเห็นการกระทำของเธอ เขาไม่ถอย แต่กลับขยับเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น “เช่นกัน”
ฉินซีขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นไปมองเขา กำลังจะพูดอะไรออกมา แต่ข้างหลังกลับมีเสียงตะโกนดังขึ้นมา “ถอยๆ! ทางนี้จะย้ายเซตติ้งแล้ว! อย่าขวางทาง!”
ไม่ทันไร ฉินซีก็รู้สึกว่าหลังของตัวเองกำลังถูกอะไรชนเข้า ร่างกายเสียการควบคุมจนร่างกายเอนล้มลงไปข้างหน้า
ยังดีที่หซู่เป่ยยืนอยู่ตรงข้าม จึงคว้าเธอเอาไว้ได้ทัน เธอเลยไม่ได้หกล้มคะเมนต่อหน้าทุกคน “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ฉินซีพยุงแขนของเขาเอาไว้เพื่อทรงตัว ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เป็นอะไร”
เธอหันหน้าไปมองฝ่ายขนย้ายคนนั้นที่หอบของสูงพะเนินจนบดบังการมองเห็นทางข้างหน้า และดูเหมือนจะไม่รู้ตัวด้วยว่าตัวเองชนคนเข้า ถึงได้เดินไปไกลอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“อะไรกัน ไม่ขอโทษกันสักคำเลยเหรอ” หซู่เป่ยเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเธอ “เดี๋ยวผมตามไปพูดกับเขาให้”
ฉินซีเม้มปากพร้อมกับส่ายหน้า ดึงชายเสื้อของเขาไว้เพื่อไม่ให้เขาตามไปเอาเรื่อง “ฉันเองก็ไม่ระวังเหมือนกัน ช่างเถอะ”
หซู่เป่ยก้มหน้ามองเธออย่างงงงวย “ดูไม่ออกเลยเหรอ คุณ….จิตใจดีขนาดนั้นเลย?”
ฉินซียิ้ม “ทำไม ฉันดูเหมือนคนไม่ดีเหรอ?”
หซู่เป่ยส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่คนที่ขวางทางเขา….ช่างเถอะ คิดซะว่าผมไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”
ฉินซีไม่ได้ถามต่อ เพราะทางนั้นตะโกนเรียกให้ไปเตรียมตัวแล้ว เธอจึงหยิบเอาเลนส์กล้องที่เลือกไว้ขึ้นมา แล้วดันหซู่เป่ยให้ไป “ไปเถอะ ทำงานได้แล้ว”
ครั้งนี้จริงๆแล้วเป็นครั้งที่สองที่ทั้งสองได้ร่วมงานกัน และก็เป็นการถ่ายรูปคนอย่างเป็นทางการครั้งที่สองของฉินซีเหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะความเป็นมืออาชีพของหซู่เป่ย หรือเพราะการร่วมงานของทั้งสองเป็นไปอย่างรู้ใจกัน เมื่อผลงานออกมา แม้แต่คนขี้จุกจิกอย่างผู้จัดการของหซู่เป่ยก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก
“หลังจากนี้ยังสามารถติดต่อคุณไปทำงานด้วยได้ไหม?” ดวงตาทั้งสองข้างของผู้จัดการเป็นประกาย
ฉินซีส่ายหัวยิ้มๆ “ขอโทษด้วยค่ะ ฉันไม่ใช่มืออาชีพขนาดนั้น หลังจากนี้จะได้ร่วมงานกันหรือเปล่า ก็คงขึ้นอยู่กับโอกาสแล้วล่ะค่ะ”
ผู้จัดการยังอยากพูดอะไรออกมา แต่ก็ทีมงานก็เดินมากระตุกแขนเธอแล้วพูดว่า “พี่ฉิน ไหนๆพี่ก็มาแล้ว งั้นก็อยู่ดูงานที่นี่เลยเป็นไง จะได้ไม่ต้องส่งไปให้พี่ดูอีก”
ฉินซีพยักหน้าตกลง จากนั้นก็หันไปผงกหัวบอกลากับหซู่เป่ยกับผู้จัดการ แล้วหมุนตัวเดินออกมา
เมื่อหางตาเหลือบไปมอง เธอก็เห็นพนักงานของบริษัทลู่ซื่อคนนั้นยังยืนอยู่ที่เดิม แววตาดูซับซ้อนกว่าที่เคยเป็น
ฉินซีอยากเข้าไปคุยกับเธอ แต่ทีมงานก็เร่งยิกๆ เธอจึงต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป แล้วเดินเข้าไปหาผู้กำกับ
หซู่เป่ยเข้ามาบอกลากับทุกคนกลางคัน เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้จัดการกับทีมงานทุกคน เขาจะแสดงออกอย่างสุภาพเรียบร้อย และมีมารยาท ไม่ได้มีท่าทางเหมือนที่คุยกันส่วนตัวกับฉินซีเมื่อสักครู่เลยสักนิด
เพียงแต่ในตอนที่เขาหันมา ก็ถือโอกาสตอนที่คนอื่นไม่สังเกตเห็น ขยิบตาให้ฉินซีในไปทีหนึ่ง
ฉินซีพยักหน้าให้เขานิ่งๆพอเป็นมารยาท
จริงๆแล้วเจตนาของหซู่เป่ยมันชัดเจนมาก แต่ฉินซีกลับไม่เข้าใจว่า ในเมื่อเขารู้เรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับลู่เซิ่น แล้วทำไมยังถึงคิดอะไรกับเธออยู่?
แต่พอคิดว่าหลังจากนี้คงไม่ได้ติดต่อกับหซู่เป่ยอีกแล้ว เธอจึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ