Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - ตอนที่ 998
บทที่ 998 ไม่เคยไม่เสียดาย
หลินหยังปิดประตูลง อาการขี้เล่นหยอกล้อบนใบหน้าหลินยี่หายไปสิ้น เขายัดเก็บปืนในมือเข้ากระเป๋า เอื้อมมือรับแก้วไวน์จากลู่เซิ่น : “ฉันไม่เคยเห็นผู้ช่วยคนนี้ของแกมาก่อน”
ลู่เซิ่นเอ่ยเสียงเรียบ : “เขาไว้ใจได้ ฉันถึงกล้าปล่อยเขาให้มาเจอแก”
หลินยี่จิบไวน์ในมือ ก่อนเอ่ยอย่างเชื่องช้า : “รู้แล้ว”
ลู่เซิ่นยักไหล่ พร้อมเอ่ยในใจ รู้แล้วยังจะเอายืนขึ้นมาหลอกให้เขาตกใจกลัว
แต่ยังไงก็สหายของตน เขาไม่เอ่ยประโยคออกมา เพียงเปลี่ยนประเด็น : “ทำไมถึงไปเมืองหนานกะทันหัน?”
หลินยี่จ้องมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ด้วยใบหน้าไร้กะจิตกะใจ : “มีธุระ ไม่ไปไม่ได้”
ลู่เซิ่นไม่เอ่ยถามไปมากกว่านี้
เขาและหลินยี่รู้จักกันตั้งแต่เขาเริ่มจำความได้ ทั้งคู่เคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อครั้งก่อนฉินซีแอบสะกดรอยตามคนอื่นที่โรงแรม หลินยี่พบเข้าโดยบังเอิญ จึงช่วยเธอเอาไว้ได้ทัน
การเดินทางของลู่เซิ่นในครั้งนี้ ครึ่งหนึ่งเพราะฉินซี อีกครึ่งหนึ่งเพราะหลินยี่
หากไม่ใช่เพราะหลินยี่ที่ส่งข้อความหาเขา ถามเขาว่ามีวิธีช่วยให้เขาได้ไปเมืองหนานโดยด่วนไหม เขาก็คงไม่รีบเร่งเช่นนี้
เมื่อนึกถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเที่ยง ลู่เซิ่นกลับวุ่นวายขึ้นมา
เมื่อทั้งคู่ดื่มไวน์ในมือจนหมด หลินยี่จับจ้องลู่เซิ่น ก่อนเอ่ย : “เป็นอะไร มีเรื่องอะไรกวนใจ?”
ลู่เซิ่นหันมองเขา : “ชัดเจนขนาดนั้นเชียว?”
หลินยี่เอ่ยตอบ : “เหลือแต่เขียนคำว่า’ฉันลังเล’ลงบนหน้า”
ลู่เซิ่นหัวเราะเบาๆ พร้อมรินไวน์ลงแก้ว กลืนรสเผ็ดร้อนลงท้อง เขาถึงได้เอ่ยปาก : “เมียฉัน”
หลินยี่ยกคิ้วขึ้น : “เมีย? ทำไมฉันถึงได้ข่าวว่า…..อดีตภรรยา?”
ใบหน้าขบขันของลู่เซิ่นหายไป : “แกรู้ได้ไง?”
หลินยี่เอื้อมมือหยิบแก้วไวน์ : “พ่อบ้านบอกฉัน”
“พ่อบ้าน?” ลู่เซิ่นขมวดคิ้ว
หลินยี่โบกไม้โบกมือ : “ไม่ใช่ที่รีสอร์ทชิงหยวน ที่คฤหัสถ์ลู่ เรื่องที่แกหย่ากับเมียแก ถึงแกไม่ได้บอกใคร แต่แม่แกต้องการประกาศให้ประชาชนได้รับรู้จะแย่ คนใช้ในบ้านก็ต้องทำตามความประสงค์ของแม่แก”
ลู่เซิ่นพยักหน้า ไม่ไล่ถามต่อ
หลินยี่นิ่งอยู่พักหนึ่ง เมื่อเขาไม่เอ่ยใดๆ เขาจึงไล่ต้อน : “แล้ว แกกับเมียแกเป็นอะไร?”
ลู่เซิ่นกระดกไวน์ลงคอ พร้อมหัวเราะเยาะตน : “ฉันนี่มัน…..”
ไม่เสียแรงที่เป็นสหายของเขานานหลายปี เห็นเขามีอาการเช่นนี้ เขาเผยสีหน้าเริงรื่น : “ทำไม? จะหย่าแล้ว? เสียดาย?”
ลู่เซิ่นส่ายหน้า เอ่ยเสียงแผ่ว : “ไม่ใช่ว่าหย่าแล้วเสียดาย ไม่เคยไม่เสียดายเลยต่างหาก”
หลินยี่ขมวดคิ้ว : “ว้าว หมดสภาพแล้วหรือ!”
ลู่เซิ่นถลึงตาโตใส่เขา แต่กลับไม่ตอบรับ
หลินยี่วางแก้วไวน์ในมือ ก่อนเดินเข้าไปด้วยทีท่าเข้มแข็ง : “เกิดอะไรขึ้น? หวั่นไหวแล้ว เธอเป็นของนายแล้ว ทำไมถึงหย่า?”
ลู่เซิ่นเม้มริมฝีปากแน่น เพียงรู้สึกว่าระหว่างเขาและฉินซีเกิดเรื่องมากมายวกไปวนมา อธิบายยากในเวลาอันสั้น จึงเลือกเอ่ยประเด็นหลัก : “ฉันชอบเธอ แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเธอเองยังไม่รู้ตัวว่าชอบฉัน เลยหย่า”
หลินยี่ได้ยินเช่นนี้ เขากัดฟันกรอด : “นายท่องสุนทรพจน์อะไร รักๆใคร่ๆอะไรกัน สร้างปัญหาไม่น้อย”
ความในใจลู่เซิ่นถูกเขามัดรวมเช่นนี้ เขาไม่สามารถเสียใจได้อีกต่อไป พลางเอื้อมมือผลักเขา : “อะไรของแก ถ้าแกอยากรู้มากนัก ฉันไปรับลู่โยวโยวของแกมานี่ได้นะ พวกแกนัดเจอกันที่สนามบินเมืองหนาน แกจะได้รู้รสชาติรักๆใคร่ๆ”
หลินยี่จินตนาการทีท่าห้าวหาญของลู่โยวโยว เขาลูบไล้พวงแก้มราวปวดฟัน : “อย่า สหาย เห็นแก่ที่ฉันเคยช่วยชีวิตนายและเมียของนายเอาไว้ ปล่อยฉันไปเถอะ”
ลู่เซิ่นระเบิดหัวเราะออกมา พร้อมเอื้อมมือแตะแก้วไวน์ : “พอได้แล้ว ดื่มหมดนี่ไปพักผ่อนเถอะ ถึงแล้ว ฉันเรียกแกเอง”
หลินยี่แหงนหน้าขึ้นกระดกไวน์จนหมดในรวดเดียว ก่อนสะบัดไม้สะบัดมือใส่ลู่เซิ่น พร้อมเดินหายไปอีกห้อง
เครื่องบินลำนี้ไม่ถือว่าใหญ่มากนัก ห้องรับแขกไม่ใหญ่ แต่หลังหลินยี่และหลินหยังกลับเข้าห้องตัวเองไป ลู่เซิ่นเหล่มองไปทั่วกลับรู้สึกโล่งหวิว
เขาดื่มไวน์ในแก้วจนหมด นั่งริมหน้าต่างคนเดียว
ความมืดมนราวหมึกดำข้างนอก ห้อมล้อมเขาเอาไว้
หลินยี่พูดไม่ผิดหลอก รักๆใคร่ๆ สร้างปัญหาไม่น้อย
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ลังเลเช่นนี้
เขาไม่ต้องการมีสัญญากระดาษใดๆกับฉินซี เพียงแค่อยากเป็นเหมือนคู่รักทั่วไป แต่กลับหวั่นเกรงอย่างควบคุมไม่ได้ หากไร้สัญญานัดหมายใดๆต่อกัน ฉินซีอาจไม่ได้เคียงข้างเขา
กลัวว่าความรักที่ฉินซีมีต่อตนจะไม่มากพอ กลัวตนจะดีไม่มากพอ
ไม่มีใครคาดคิด คนอย่างลู่เซิ่นเอง มีช่วงเวลาที่เขาจะเสียความมั่นใจ
ทุกคนเมื่อเผชิญกับความรัก ไม่ว่าตนจรัสแสงเพียงใด ก็ต้องกังวลอย่างเสียการควบคุมทั้งนั้น ตนคู่ควรกับฝ่ายตรงข้ามหรือไม่
เพียงแค่ต่างจากคนรอบข้าง ลู่เซิ่นไม่ถูกการเสียความมั่นใจควบคุม
เขาสามารถทำให้ฉินซีอยู่เคียงข้างตนได้ และสามารถทำให้ฉินซีรักตนขึ้นมาได้
ปีกว่าแล้ว เขามั่นใจว่าตนเห็นสายตาที่เปี่ยมด้วยความพร่างพราว เพียงแต่เขารู้สึกว่า ตัวฉินซีเองอาจยังไม่รู้ตัว
สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ คือการบีบบังคับให้ฉินซีรู้ใจตนเอง
ขณะที่ตนเตรียมออกจากรีสอร์ทชิงหยวน ประโยคที่ฉินซีเอ่ยนั้น เพียงพอแล้วที่จะทำให้ลู่เซิ่นตระหนก
แต่นั่นยังไม่พอ
นิ้วมือเรียวของลู่เซิ่นจรดลงบนที่พับเก้าอี้ซ้ำไปมา
เขาต้องการมากกว่านี้
ทำให้ฉินซีชอบตน เหมือนกับที่ตนชอบฉินซี
ต้องการให้เธอรักตน จนมิอาจจากไปไหนได้อีก
ลู่เซิ่นก้มหน้าลง ขบขันในความโลภของตน แต่เขาหุบรอยยิ้มนั้นลงอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ฉินซี…..ทำอะไรอยู่กันนะ?
เพิ่งจากมาเพียงครู่เดียวแท้ๆ ตนกลับรู้สึก…..คิดถึง
…..
ในท้องฟ้าใบเดียวกัน ห่างไกลหมื่นแสน ฉินซีที่นอนเล่นอยู่บนเตียง ยังไม่ได้หลับพักผ่อน
เมื่อก่อนลู่เซิ่นยุ่งมากแท้ๆ เหมือนใช้ชีวิตบนเครื่องบิน เธอเองก็อยู่คนเดียวบ่อยครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหน ที่เหมือนกับวันนี้ ทำให้เธอรู้สึกว่าห้องนอนกว้างใหญ่เหลือเกิน เตียงก็ด้วย
ไม่เช่นนั้น ทำไมเธอถึงรู้สึกหนาวเหน็บเช่นนี้ล่ะ?
ลู่เซิ่นไม่อยู่แท้ๆแต่การมีอยู่ของเขากลับถูกขยายใหญ่ขึ้น
หมอนใบที่เขาใช้หนุน มีกลิ่นน้ำหอมที่เขาชอบใช้ติดอยู่ ผ้าที่เขาใช้ห่มกายหลงเหลืออุณหภูมิของเขา
ฉินซีหลับตาลง เคลื่อนกายไปยังเตียงอีกด้านที่เป็นของลู่เซิ่น
ซุกหัวเข้ากับหมอนใบที่ลู่เซิ่นใช้หนุน กลิ่นน้ำหอมของเขาห้อมล้อมรอบตัวเธอ ฉินซีพบว่า ตนกลับสบายใจขึ้นมา
ก่อนที่เธอ จะเข้าสู่ห้วงนิทรา