Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - บทที่ 1559 ไม่มีอะไรแตกต่าง
อย่างไรก็ตามซิวหน่ายซิงเป็นลูกศิษย์ที่ถังย่ารับมาเอง แม่ว่าจะไม่มีความรักความเสน่หาแบบชายหญิง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความรู้สึกใดๆต่อเขาเลย
มองไปที่สายตาอันแข็งกร้าวของเขา ถังย่ารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เธอไม่เคยมีประสบการณ์ในการจัดการกับความรู้สึกแบบนี้ และก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากว่าอย่างไร คิดไปแล้วมีแค่สองวิธีเท่านั้น คือเธอจะแบกหน้าเตือนซิวหน่ายซิงเรื่องกฎขององค์กร ให้เขาถอนตัวเองให้ได้ หรือไม่……ก็ทำเช่นเดียวกันกับจ้านเซิน นิ่งๆเนียนๆเปลี่ยนหัวข้อเรื่องไป เสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ ความรู้สึกที่ไม่เหมาะสม เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เดี๋ยวก็จะค่อยๆจางหายไปเอง
เธอมองไปที่ซิวหน่ายซิง วิธีการแรกที่จะยับยั้งอย่างเด็ดขาด ยิ่งตอนนี้เขากำลังยึดอารมณ์เป็นใหญ่ จะบังคับบีบคั้นก็เหมือนเป็นการทำลายความตั้งใจของเขา อาจจะไม่ใช่เพียงแค่ไม่เห็นผล แต่อาจจะกลับกระตุ้นจิตวิทยาที่ดื้อรั้นของเขา ส่งผลทำให้ยากที่จะควบคุมอะไรมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นสิ่งถังย่าสามารถทำได้ ก็คือทำแบบจ้านเซิน
เมื่อคิดแบบนี้ ถังย่าก็รู้สึกตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
เป็นไปได้มั๊ยว่าจ้านเซินไม่ยอมที่จะกระตุ้นตัวเองอีก ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเรื่อง?
แต่เสียดายที่เขาเลือกหัวข้อผิด ไม่เพียงไม่ได้ทำให้ตนเองสงบลง แต่กลับทำให้เธอโกรธอย่างสุดขีด
พอนึกถึงสภาวะอารมณ์ตนเอง ก็นึกถึงจ้านเซินโดยที่ไม่รู้ตัว ถังย่ารีบกระแอมหนึ่งครั้ง เรียกสติของตนเองกลับคืนมา
เธอครุ่นคิดอยู่สักสองสามวินาที สุดท้ายแล้วเธอก็หลีกเลี่ยงปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของเธอ เพียงแต่ใช้น้ำเสียงที่เรียบนิ่งในการเปลี่ยนหัวข้อ
“ฉันรู้ ตอนที่จ้านเซินป่วย เธอไม่ได้เป็นคนแรกที่ส่งข่าวให้ฉัน ไม่เพียงแต่ไม่อยากให้ฉันมีส่วนร่วม แต่อยาก……รอให้เรื่องเกิดอะไรขึ้นกับเขา ถูกต้องมั๊ย ”
สีหน้าของซิวหน่ายซิงหลังจากที่ได้ยินชื่อของจ้านเซินแล้ว มีความเบี้ยวบูดชั่วขณะ รอยยิ้มประชดประชันที่มุมปากของเขาไม่ได้แสดงถึงความยับยั้งชั่งใจ :“ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่ได้โง่นัก ฉันประเมินเธอต่ำเกินไป ถังย่า”
เขาเงยหน้าพร้อมยิ้ม น้ำเสียงมีความกระท่อนกระแท่น: “เพราะถ้าเขาเป็นอะไรไป เธอกับฉัน……ถึงจะเป็นอิสระได้”
ถังย่าขมวดคิ้ว น้ำเสียงกดต่ำ: “อย่าไร้เดียงสาไปหน่อยเลย องค์กรที่ใหญ่อย่างนี้ จะล่มสลายเพราะว่าไม่มีเขาคนเดียว นอกจากนั้น……ฉันไม่เคยรู้สึกว่า ฉันไม่มีความเป็นอิสระ”
อากัปกิริยาของซิวหน่ายซิงมีความเหลือเชื่อเล็กน้อย : “เธอไม่เคยรู้สึก?ถังย่าเธอไม่เคยมีประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไป เธอถึงคิดแบบนี้ บางเวลาฉันรู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนแค่สุนัขตัวหนึ่งของจ้านเซิน เขากวักมือ หรือแม้แต่ไม่ได้กวักมือ แค่ใช้เพียงแค่สายตา เธอก็ไปอยู่ต่อหน้าเขา เธอไม่รู้สึกว่าดูถูกตัวเองเกินไปเหรอ?”
“ฉันไม่รู้สึก” อากัปกิริยาของถังย่านั้นสงบนิ่ง เมื่อเทียบกับซิวหน่ายซิงที่ใกล้จะระเบิดความโกรธอีกครั้ง สีหน้าของเธอช่างเฉยเมยราวกับพูดถึงเรื่องคนอื่น “ฉันทำอะไร ล้วนแต่เป็นการเลือกโดยความสมัครใจของตนเอง ไม่มีอะไรที่จะต้องไปต่อว่า”
“เธอ!”ซิวหน่ายซิงเกลียดที่เธอไม่เอาไหน เมื่อเขาจะเอ่ยปากพูดอะไรอีก ถังย่าก็ขึ้นเสียงสูงตัดบทเขา
“พอเถอะ”
ที่จริงแล้วเสียงของเธอไม่ดัง แต่ซิวหน่ายซิงสัมผัสได้จากสายตาของเธอ จึงไม่กล้าที่พูดอีกต่อไป ทำได้แต่ขมวดคิ้วและอยู่อย่างเงียบๆ มองดูเธอ
“ซิวหน่ายซิง เธอไม่ใช่ฉัน ไม่ต้องเอามุมมองความคิดเธอมาคาดเดาความคิดของฉัน ฉันเป็นอาจารย์ของเธอ ไม่ใช่เธอเป็นอาจารย์ของฉัน ดังนั้นเธอไม่ควรที่มายุ่งวุ่นวายกับชีวิตความรู้สึกของฉัน ”ความน่าเกรงขามของถังย่า ทำให้ซิวหน่ายซิงถึงกับอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งเล็กน้อย ดังนั้นถึงแม้ว่าในใจของเขาจะไม่ยินยอม แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยปากโต้แย้ง ได้แต่เพียงบีบกำปั้นอยู่เงียบๆ
“ส่วนเรื่องอื่น……”ถังย่าชะงักไปสักครู่ แล้วจึงพูดต่อว่า “พฤติกรรมของฉันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ฉันจะคิดว่าฉันไม่เคยได้ยินเรื่องที่เธอพูด ต่อจากนี้ไม่ต้องพูดถึงมันอีก”
พูดจบ เธอก็หันหลังกลับไป
แต่ซิวหน่ายซิงกลับคว้าข้อมือของเธอไว้อย่างรวดเร็ว
อันที่จริงตามฝีมือของสองคนนี้แล้ว ถ้าถังย่าตั้งใจที่จะหลบ ซิวหน่ายซิงก็จะจับไม่ได้ เธอคิดไม่ถึงว่าซิวหน่ายซิงจะกล้าถึงขั้นนี้ เธอพูดถึงขั้นนี้แล้ว เขายังกล้าเอื้อมมืออีก
ดังนั้นข้อมือของเธอจึงถูกซิวหน่ายซิงจับไว้ในมืออย่างแน่น
“อาจารย์” เขาเปลี่ยนน้ำเสียงอีกครั้ง เขาหยุดเรียกชื่อเธอด้วยแบบน้ำเสียงที่ยั่วยวน แล้วกลับมาเรียกน้ำเสียงนุ่มๆ ละมุนๆ อ่อนโยนแบบเดิมแทน แต่สิ่งที่เขาเอ่ยปากพูด กลับทำให้ถังย่ารู้สึกไม่คุ้นเคย “แม้ว่าเธอจะพูดแบบนี้แล้ว แต่ฉันก็จะไม่เลิกล้มความตั้งใจ”
ถังย่าหลับตา
เธออยู่องค์กรนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต เธอไม่ค่อยชำนาญในการจัดการความรู้สึกของปถุชนคนทั่วไปนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแก้ปัญหาเรื่องความรู้สึก
ซิวหน่ายซิงคือคนที่เธอเก็บมา เขากลายเป็นแบบนี้……ส่วนหนึ่ง ก็เป็นความรับผิดชอบของเธอ
——ดังนั้นจะละเลยไม่สนใจก็ไม่ได้
ความคิดมากมายผุดขึ้นในใจของเธอ เธอหลับตาลง อดทน หันหลังกลับ เผชิญหน้าต่อซิวหน่ายซิง ยกมือบอกให้เขาปล่อยมือ
ซิวหน่ายซิงยอมทำแต่โดยดี
ถังย่าถอยหลังเล็กน้อย เว้นระยะห่างระหว่างสองคนให้อยู่ในระยะที่เหมาะสม หลังจากนั้นจึงเอ่ยปากว่า
“ฉันไม่รู้ว่า ทำไมนายทำถึงเลือกที่จะยืนหยัดต่อไป ”เสียงของถังย่านุ่มนวลขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
สายตาของซิวหน่ายซิงค่อนข้างที่จะดื้อรั้น: “ในเมื่อเธอยังยืนหยัดได้ แล้วทำไมฉันถึงทำไม่ได้”
ยิ่งไปกว่านั้น……ไม่ว่าจะมองอย่างไร ความรู้สึกของเธอ ดูเหมือนว่าจะหมดหวังมากกว่าฉันอีกนะ
สุดท้ายแล้วซิวหน่ายซิงก็ไม่ได้พูดประโยคนี้ออกมา เขาแค่พูดเงียบๆในใจ
แต่ดูเหมือนถังย่าจะมองเห็นคำบรรยายที่ซ่อนอยู่ ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้: “เวลานานเกินไปแล้ว บางอย่างได้กลมกลืนเป็นส่วนหนึ่งของตัวฉันไปแล้ว ฉันไม่สามารถทิ้งมันไปได้ แต่นาย……ทำไมไม่รีบตั้งแต่ตอนนี้ตอนที่ยังไม่สาย รีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลมล่ะ?”
ใบหน้าของซิวหน่ายซิงไม่พอใจเล็กน้อย: “ทำไมเธอถึงคิดว่า บนโลกใบนี้มีเพียงแต่ความรู้สึกของเธอเท่านั้นที่มั่นคงล่ะ?”
ถังย่ามองไปที่อากิปกิริยาของซิวหน่ายซิง ราวกับว่าเขาเป็นเด็กที่ไม่รู้ประสา รู้แต่จะเล่นสนุกๆไปวันๆ : “ตอนฉันยังเป็นเด็ก ก็กลายเป็นสมาชิกขององค์กร ครั้งแรกที่ฉันได้เจอกับเขา มีอายุแต่เพียงไม่กี่ปี——”
“พูดอย่างกับว่าตอนที่ฉันเจอเธอ เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเหรอ?”ซิวหน่ายซิงทนไม่ได้จึงตัดบทเธอ “เธออย่าคิดว่าบนโลกใบนี้มีเพียงเธอที่มีความรู้สึกลึกซึ้งที่สุด ประสบการณ์ของเธอกับจ้านเซิน ก็คือประสบการณ์ของฉันกับเธอ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เธอใช้อะไรมาสงสัยว่าความรู้สึกของฉันไม่ลึกซึ้งเท่าเธอ”
น้อยมากที่ถังย่าจะโดนคนเถียงแบบถึงกับพูดไม่ออกอย่างนี้
……ซิวหน่ายซิงฝังใจกับเรื่องของเธอ และลึกซึ้งมากกว่าที่เธอคิดไว้
การรับรู้นี้ไม่ได้ทำให้ถังย่ารู้สึกดีใจ ตรงกันข้ามกลับทำให้เธอรู้สึกทุกข์ใจเพิ่มขึ้นไปอีก
เดิมทีเธอคิดว่าตนเองสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการเปลี่ยนจุดดึงดูด แต่คิดไม่ถึง……สุดท้ายก็ต้องเปิดอก คุยกับซิวหน่ายซิงให้เข้าใจ
เธอถอนหายใจในใจ ไม่ได้รับคำพูดต่อจากซิวหน่ายซิงอีก แต่กลับย้อนถามคำถามหนึ่งไปว่า
“เธอรู้ว่าทำไมองค์กรถึงไม่ให้พวกเรามีความรักมั๊ย”