Flash Marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน - บทที่ 1577 เจรจา
แต่จ้านเซินลืมไปแล้วว่า ฉินซีเป็นหนึ่งในไม่กี่คนในโลกใบนี้ที่รู้จักเขาจริงๆ
ตราบใดที่เขาไม่ได้พูดถึงความตาย และปฏิเสธไป ณ ตรงนั้น ก็ถือว่ายังมีความหวังอยู่
อันที่จริงจ้านเซินก็ไม่เคยเหลือทางหนีทีไล่เอาไว้ให้อยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ชอบไดอารี่เล่มนี้ขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะไม่พูดมากขนาดนี้หรอก
เมื่อมีความคิดแบบนี้แล้ว ก็เท่ากับการที่ได้ถือไพ่ตายของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ตอนที่อยู่บนโต๊ะเจรจา โดยรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถละทิ้งข้อตกลงนี้ได้ ฉินซีได้กินยาคลายเครียดไปแล้วหนึ่งเม็ด ก็เลยพูดด้วยคำพูดและน้ำเสียงที่ราบเรียบไม่น้อยออกไปว่า “อันที่จริงไดอารี่เล่มนั้นไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับฉันเท่าไหร่ ในงานศพของเธอในตอนนั้น ฉันก็เคยคิดว่าจะเผามันไปพร้อมๆกับเธอให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยดีหรือเปล่า อันที่จริงในโลกใบนี้ คนที่แม่ของคุณยังคิดถึงและเป็นห่วงก็แทบจะไม่มีแล้ว การที่ปล่อยให้สิ่งของเหล่านี้ไว้เปล่าๆ มันก็เป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกันนะ”
ฉินซีพูดไปด้วย จับจ้องไปที่การแสดงออกของจ้านเซินอย่างใกล้ชิดไปด้วย เธอต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าที่แสดงออกมาจากบนใบหน้าของเขา
เธอจำได้อย่างชัดเจนว่า ตอนที่แม่ของเขาเสียชีวิตไป เธอก็ไม่เคยเห็นตอนที่จ้านเซินมีท่าทางที่ยั้งสติไม่อยู่มากเท่าไหร่นัก
นั่นก็หมายความว่า แม่ของเขา ไม่ได้มีน้ำหนักในหัวใจของเขาเพียงเล็กน้อยอย่างที่เขาแสดงออกมาเลย
ขอเพียงเท่านี้ ก็เพียงพอแล้ว
แต่ฉินซีก็ลืมไปแล้วว่า จ้านเซินอยู่ตรงนี้ เรื่องอะไรจะสามารถใช้หลักธรรมนองคลองธรรมทั่วๆไปมาอนุมานได้
แม้ว่าเขาจะให้ความสนใจแม่ของเขาอีกครั้ง แต่ทว่า…น้ำหนักของฉินซีที่อยู่ในใจของเขา กลับมีไม่น้อยเลยเช่นเดียวกัน
ดังนั้นฉินซีจึงเฝ้ารออย่างสงบเสงี่ยม แต่กลับรอไปจนถึงตอนที่จ้านซินหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่คุณพูดมาก็ถูกนะ ไดอารี่ของแม่ผม มันไม่มีประโยชน์จริงๆเมื่ออยู่กับคุณ แต่ถ้าอยู่กับผม……มันจะมีประโยชน์จริงๆน่ะเหรอ?”
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าจ้านเซินกลับคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาว่า “ผมอยากได้ไดอารี่เล่มนั้นจริงๆ สำหรับผมแล้วเงื่อนไขนี้ของคุณเรียกได้ว่าดึงดูดใจมากเลย แต่ว่า…ความจริงเธอก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่คุณยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้าผม คุณคิดว่า ผมจะปล่อยคุณไปเพราะความคิดถึงที่มีต่อเธอ แล้วไปเลือกคนตายอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของฉินซีค่อยๆขรึมลงตามคำพูดของเขาอย่างช้าๆ
เธอกำลังพนันว่าความรู้สึกที่จ้านเซินมีต่อแม่ยังคงอยู่ จึงได้โยนข้อเสนอนี้ออกมา แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ความสนใจที่เขามีต่อแม่ของเขา กลับไม่ได้มีความน้ำหนักเหมือนที่ฉินซีจินตนาการเอาไว้เลย
…….แล้วตอนนี้ควรทำอย่างไรดี?
ฉินซีไม่รีบร้อนพูดออกไป แต่ครุ่นคิดอย่างเงียบๆสักครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆเอ่ยปากพูดว่า “ถ้าคุณต้องการฉัน ฉันก็จะกลายเป็นคนตายได้เหมือนกัน ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหนเลย”
เธอพูดคำพูดนี้อย่างเฉียบขาดมาก แต่จ้านเซินกลับดูเหมือนว่าจะมองความลำบากใจของเธอออกแล้ว และดูเหมือนเขาจะรู้ว่าเธอไม่ได้เจตนาจะพูดแบบนี้ รอยยิ้มของเขาจึงชัดเจนยิ่งขึ้น แล้วก็พูดด้วยคำพูดที่ชั่วร้ายขึ้นมาอีกเล็กน้อยว่า “พูดอย่างนี้ ดูเหมือนว่าพวกเราจะตกอยู่ในภาวะชะงักงันกันหมดแล้ว แต่ฉินซี ข้อตกลงนี้ของเราไม่สามารถเจรจาได้ คุณเคยคิดไหม ว่าสาเหตุหลักๆมาจากคุณ คุณออกไปจากองค์กร ก็ได้ประโยชน์ตั้งสองอย่าง คุณได้รับสิ่งที่คุณเรียกว่าอิสรภาพ และได้อยู่ด้วยกันกับลู่เซิ่นสมใจ แต่ผมล่ะ ผมได้รับแค่ไดอารี่เล่มเดียว ข้อตกลงที่เสียเปรียบหนึ่งแบบต่อสองแบบนี้ ผมจะทำได้ยังไง?”
ฉินซีฟังความหมายที่ซ้อนอยู่ในคำพูดนั้นของจ้านเซินออกแล้ว จึงค่อยๆลืมตาขึ้นไปมองเขา “งั้นคุณ……ยังต้องการอะไรอีก?”
จ้านเซินไม่พูดอะไรมากมายและวกวนขนาดนี้โดยไม่มีเหตุผลหรอก เขาแค่อยากได้ไดอารี่ และไม่อยากปล่อยฉินซีไป ดังนั้นจึงต้องยกเงื่อนไขขึ้นมาพูดอีกครั้ง
แม่ว่าเธอจะรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าจ้านเซินจะไม่พูดอะไรดีๆอย่างแน่นอน แต่ฉินซีก็ยังคงถามออกมา
……ตราบใดที่มีความเป็นไปได้อยู่บ้าง เธอก็อยากทำมัน
จ้านเซินกลับยิ้มเบาๆแล้วพูดว่า “ผมเดาว่า……คุณไม่สามารถให้ของอย่างอื่นกับผมได้แล้ว งั้นก็เอาอย่างนี้ ในเมื่อผมได้รับแค่ไดอารี่เล่มเดียว งั้นคุณก็ทำความปรารถนาของคุณให้สำเร็จได้เพียงข้อเดียวเท่านั้นเช่นกัน แบบนี้เป็นอย่างไร?”
ฉินซีไม่ได้ตอบรับอะไร แล้วลางสังหรณ์ไม่ดีที่อยู่ภายในใจก็ชัดเจนขึ้นมา
แต่จ้านเซินกลับถือเอาความเงียบของเธอเป็นการยอมรับข้อตกลงไปโดยปริยาย แล้วพูดเองเออเองว่า “ผมปล่อยคุณไปได้ และให้คุณออกไปจากองค์กรได้ แต่….คุณก็เพียงแค่ทำความปรารถนาของคุณเป็นจริงได้แล้วข้อเดียวเท่านั้น”
รูม่านตาของฉินซีหดตัวลงทันที และทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วพูดว่า “คุณหมายความว่ายังไง?”
จ้านเซินทำปากเสียงดัง “จึ้ด” นิดนึงด้วยความรำคาญใจ แล้วจึงยกมือชี้ไปที่ลู่เซิ่น “ถ้าจะเอาคำพูดของผมมาพูดให้เข้าใจมากกว่านี้ งั้นผมก็จะพูดตรงๆเลยแล้วกันว่า คุณสามารถเอาไดอารี่มาแลกกับอิสรภาพของคุณได้ แต่คุณไม่สามารถอยู่ด้วยกันกับลู่เซิ่นได้”
ฉินซีเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว
“จ้านเซิน ในเมื่อฉันเป็นอิสระแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันจะอยู่กับใคร คุณจะมายุ่งกับฉันได้อย่างไร?”
แต่ทว่ายิ่งความโกรธของเธอชัดเจนมากขึ้น รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของจ้านเซินก็ยิ่งลึกขึ้นมากเท่านั้น
เขารู้ดีว่า การเจรจาในครั้งนี้ ในตอนแรกฉินซีได้ถือเบี้ยต่อรองที่คาดไม่ถึงออกมาแล้ว ซึ่งมันทำให้เขาโกลาหลไปเองอยู่บ้างจริงๆ แต่ทว่า……เขาไม่สามารถยืนอยู่ในตำแหน่งที่อ่อนแอง่ายๆอย่างเด็ดขาด
นี่ไม่ใช่ว่า….เปลี่ยนกลับไปที่สนามของเขาอีกแล้วเหรอ?
บนโต๊ะเจรจา ยิ่งเสียงดังเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกประหม่า
คนที่สงบเงียบ จึงมักจะเป็นคนที่มีความมั่นใจจริงๆ
“ที่คุณพูดนี้มันก็ไม่ถูก” จ้าเซินจับแขนทั้งสองข้าง และการดูถูกเหยียดหยามที่ฉินซีคุ้นเคยนั้นก็ปรากฏขึ้นมาในสายตาของเขา ” อิสรภาพของ คุณผมเป็นคนให้ ดังนั้นคุณจะทำอะไร ผมจึงมีสิทธิ์ยุ่งอย่างแน่นอน”
อิสระแบบนี้คืออะไรกัน?
ฉินซีหลับตาและหายใจเข้าลึกๆ บังคับตัวเองให้กดความโกรธที่พุ่งสูงไปจนถึงหน้าผากลงไป
มันไม่มีประโยชน์เลยที่จะเถียงกับจ้านเซิน เธอจะต้องใจเย็นๆ ยิ่งรู้สึกโกรธแค้น และยิ่งถูกจ้านเซินมาส่งผลกระทบต่อจิตใจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเดินตามทางของเขามากเท่านั้น
แต่เธอยังคิดวิธีต่อรองไม่ออกว่าจะต้องต่อรองกับจ้านเซินอีกได้อย่างไร ทันใดนั้นเสียงของลู่เซิ่นก็ดังขึ้นมา
นับตั้งแต่ฉินซีห้ามปรามจ้านเซิน ความสนใจของจ้านเซินก็ไม่ได้มุ่งไปที่ตัวเขาอีกต่อไป ลู่เซิ่นจึงถอยออกไปไม่สองสามก้าว แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆฉินซีอย่างช้าๆ
ทั้งสองคนคุยกันนานมากแล้ว และไม่มีใครสนใจเขาเลย พอมองดูเขาอีกครั้งในตอนนี้ ก็พบว่าเขาเดินไปอยู่ข้างๆฉินซีแล้ว
ท่าทางของเขายังคงดูกระเซอะกระเซิงมาก ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวเพราะว่าเสียเลือดมากเกินไป ดูเหมือนว่าจะสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อ
แต่ทว่าดวงตาของเขากลับสว่างมาก และน้ำเสียงก็สงบมากเช่นกัน “ถ้าผมจำไม่ผิดล่ะก็ จ้านเซิน นักฆ่าในองค์กรของพวกคุณจะออกจากองค์กรไป อันที่จริงตัดมือตัวเองออกไปข้างหนึ่ง ก็ได้แล้วนี่”
สีหน้าที่ภาคภูมิใจที่อยู่บนใบหน้าของจ้านเซินจางลงไปเล็กน้อยแล้ว
นี่เป็นกฎเกณฑ์ขององค์กรจริงๆ
คนในองค์กรส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็นสองจำพวก จำพวกหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่พลเรือน อีกจำพวกหนึ่งคือเจ้าหน้าที่ที่ออกไปปฏิบัติภารกิจ เจ้าหน้าที่พลเรือนลาออก ก็แค่ต้องผ่านการถอดสะกดจิตเพื่อไม่ให้ความหลับรั่วไหลก็ได้แล้ว แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจจะไป กลับต้องตัดมือข้างหนึ่งของตัวเอง
เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ไปภักดีต่อองค์กรอื่นอีกต่อไปในอนาคต
อันที่จริงถ้าขาดมือข้างที่ตัวเองถนัดที่สุดไปแล้ว ต่อให้มีฝีมือยอดเยี่ยมแค่ไหน ก็ไม่สามารถรักษาระดับเดิมของตัวเองเอาไว้ได้อีกต่อไป
แต่ทว่า……แม้ว่าผู้คนเหล่านี้จะไม่ได้ผิดอะไร แต่ถึงอย่างไรเสียนี่ก็เป็นความลับขององค์กร แม้แต่ฉินซีเองก็ไม่รู้เลยว่า ลู่เซิ่นรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
จ้านเซินเก็บงำความสงสัยหนึ่งเอาไว้ในใจ และสายตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นมาเรื่อยๆ
เขาไม่ได้ตอบคำพูดของลู่เซิ่น เพียงแต่มองไปที่เขา เพราะอยากรู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไรกันแน่ถึงได้จงใจพูดเรื่องนี้ขึ้นมา