Flash Marriage แต่งงานกับคน(ไม่)ธรรมดา - บทที่ 154 เป็นเรื่องบังเอิญใช่ไหม
บทที่ 154 เป็นเรื่องบังเอิญใช่ไหม
ยินเสี้ยวเสี้ยวกับมู่เยียนหรานยืนเงียบๆอยู่ข้างทาง ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเงียบๆ
มู่เยียนหรานยิ้มอย่างอ่อนโยน ในดวงตายินเสี้ยวเสี้ยวมีการแจ้งเตือนบางอย่าง
หลังจากสักพัก มู่เยียนหรานพูดแค่ประโยคเดียว แต่ทำให้ยินเสี้ยวเสี้ยวจดจำมาตลอดหลายปี “ยินเสี้ยวเสี้ยว คุณเอาชนะฉันไม่ได้หรอก ตั้งแต่เริ่มแรกคุณก็ผิดทาง ผิดคนแล้ว”
ไม่ได้เดินผิดทาง หาผิดคน ณ ตอนนี้ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่รู้ เธอแค่ใช้ชีวิตตามความคิดของเธอเอง แต่ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ชีวิตของเธอไม่ได้มีความสุขเลย
ทันใดนั้น รอยยิ้มที่มุมปากของมู่เยียนหรานก็ยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น พูดตามหลังยินเสี้ยวเสี้ยว “คุณย่า”
หัวหน้ามาอย่างไม่รู้ตัว ยินเสี้ยวเสี้ยวคุณย่าบ้านจิ๋นยืนอยู่ด้านหลัง และยังพาหยูเจียห้วยที่ไม่ได้เจอมานานมาด้วย
ทั้งสองคนมองยินเสี้ยวเสี้ยวและไม่ได้พูดอะไร คุณย่าจิ๋นจับมือมู่เยียนหรานแล้วเดินเข้าไปในบริเวณมหาวิทยาลัย คำพูดเต็มไปด้วยความสงสาร “เธอก็เช่นกัน จะเรียนปริญญาโทให้ได้ ทำไมเธอถึงต้องพาตัวเองมาลำบากที่นี่ ตอนไปเรียนที่ต่างประเทศยังเรียนไม่พอเหรอ ทำไมต้องอยากได้ประกาศนียบัตรภายในประเทศด้วย…….”
ทุกคำพูดทุกประโยคคือคำตำหนิ แต่ทั้งหมดที่แสดงออกมาคือความห่วงใย
มู่เยียนหรานฟังอย่างตั้งใจ จนคุณย่าพูดจบแล้วค่อยพูด “คุณย่า ฉันในตอนนี้ก็ไม่สามารถไปช่วยอะไรที่‘บริษัทขนส่งทงต๋า’ของตระกูลมู่ได้เช่นกัน คุณแม่ต้องการให้ฉันมามหาวิทยาลัยเพื่อฝึกฝนตัวเอง พวกท่านจะได้หาหัวใจที่เหมาะสมกับฉันให้ฉันด้วย เมื่อถึงเวลานั้นถ้าจะมีการผ่าตัดจะได้ไม่ต้องแจ้งฉันที่อยู่แดนไกลในต่างประเทศ”
ได้ยินมู่เยียนหรานพูดเช่นนี้ คุณย่าทำได้เพียงกอดเธออย่างเอ็นดู
ได้ยินว่า โรคหัวใจของมู่เยียนหรานได้มาตั้งแต่เกิด สามารถมีชีวิตได้จนถึงทุกวันนี้ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลมู่ยังคงหวงเธอมากมาโดยตลอด จนเธออายุยี่สิบห้าแล้วก็ยังไม่ปล่อยให้เธอตามหาหัวใจของตัวเอง
หยูเจียห้วยเดินตามหลังคุณย่า ตั้งใจเดินช้าๆแล้วเดินไปข้างๆยินเสี้ยวเสี้ยว
หันไปมองเธอ สายตาของหยูเจียห้วยมองไปที่ท้องแบนๆของเธอ วินาทีนั้นยินเสี้ยวเสี้ยวตื่นเต้นเล็กน้อย เวลาที่บ้านให้ยังไม่ถึง แต่ความกดดันของเธอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“เสี้ยวเสี้ยว อาทิตย์นี้หลังจากเลิกเรียนแล้วคุณกลับไปเตรียมตัวด้วยนะ อาทิตย์หน้าฉันจะย้ายไปแล้ว” หยูเจียห้วยพูดเสียงเบา ไม่ลังเลเลยว่าคำพูดของตัวเองเช่นนี้จะทำให้ยินเสี้ยวเสี้ยวช็อกหรือไม่ “นี่เป็นสิ่งที่คุณย่าของคุณต้องการ พวกคุณทั้งสองยังเด็ก เพราะเกรงว่าพวกคุณสองคนจะห่วงเล่นจนลืมเรื่องหลักไป”
ไม่จำเป็นต้องพูด ยินเสี้ยวเสี้ยวก็รู้ดี ‘เรื่องหลัก’คือเรื่องอะไร
ในเวลานี้ เธอนอกจากพยักหน้า ก็ไม่สามารถพูดปฏิเสธอะไรได้
บ้านจิ๋นที่ไม่ยอมให้เธอออกไปทำงานนอกบ้าน คนที่ให้เธอมีลูกคือบ้านจิ๋น แต่คนที่ต่อต้านความต้องการของบ้านจิ๋นก็คือตัวเธอเอง บ้านจิ๋นให้เธอเข้าเรียนต่อ ดังนั้นเธอก็ต้องตอบแทนเช่นกัน ส่วนนี้ยินเสี้ยวเสี้ยวก็พอจะเดาออก แต่ไม่คิดว่าการตอบแทนในครั้งนี้จะยากขนาดนี้
หลังจากพูดจบ หยูเจียห้วยจ้องมองยินเสี้ยวเสี้ยวไม่ได้พูดอะไรแล้วเดินไปหาคุณย่า ถ้าใครที่ไม่รู้จักแล้วเห็นสีหน้าของสองคนนี้ คงจะคิดว่ามู่เยียนหรานแซ่จิ๋นแน่นอน
ยืนอยู่คนเดียวด้านหลังของพวกเขา ยินเสี้ยวเสี้ยวแค่รู้สึกว่าหดหู่และโกรธแต่ไม่สามารถแสดงออกได้
โรงพยาบาลหนันหยู
จิ๋นลี่ยวนเพิ่งจะออกจากห้องพักคนไข้ เห็นพี่หลิงขยิบตาให้เขา พยาบาลรอบๆก็แสดงสีหน้า ‘เราทุกคนเข้าใจ’จ้องมองเขา สีหน้าเหมือนแมวขโมย
“คุณหมอจิ๋น ชั้นล่างมีผู้หญิงหนึ่งคนกำลังรอคุณอยู่ รอคุณประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว” พี่หลิงพูดเสียงเบา แต่สายตามองไปที่ชั้นล่างประตูหลักของโรงพยาบาลหนันหยู
มองจิ๋นลี่ยวนสักครู่ พี่หลิงมีคำพูดบางอย่างที่ไม่ได้พูดออกมา
ตาเหยี่ยวมองตรงไป จิ๋นลี่ยวนพบว่าบุคคลดังกล่าวคือมู่เยียนหราน เปลี่ยนเสื้อ จิ๋นลี่ยวนลงไปอย่างรวดเร็ว
ให้คนที่มีโรคหัวใจมารอนานๆเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดี
“เยียนหราน” เรียกด้วยเสียงเบา จิ๋นลี่ยวนเดินไปพร้อมกับมือข้างหนึ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อย
มู่เยียนหรานเหมื่อเห็นเขาเดินออกมา ก็มีรอยยิ้มที่สวยงามและอ่อนโยนเหมือนชื่อ พูดเสียงเบาว่า “คุณอยากเลิกงานแล้วเหรอ ฉันคิดว่าจะต้องรออีกสักพักเสียอีก”
จิ๋นลี่ยวนไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เพียงแค่มองเธอ
ที่จริงแล้ว เขาไม่ชอบคนที่มาโดยไม่แจ้งล่วงหน้าเช่นนี้ มันทำให้แผนการของผู้อื่นต้องเปลี่ยนแปลงและไม่มีมารยาทมาก
มู่เยียนหรานเหมือนจะดูไม่ออก ก้มหน้าแล้วพูดเสียงเบา “ฉันมาในวันนี้เพื่ออยากจะถามคุณ ที่โรงพยาบาลของคุณเจอหัวใจที่เหมาะสมหรือยัง คุณก็รู้ ยิ่งฉันป่วยนานเท่าไหร่โอกาสในการฟื้นตัวก็จะยิ่งน้อยลง แม้ว่าจะได้รับการผ่าตัดในภายหลัง……..”
คำพูดมีเสียงเบามาก ความไม่พอใจของจิ๋นลี่ยวนที่อยู่ในใจก็หายไปทันที
ทุกคนล้วนกลัวตาย มู่เยียนหรานก็เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นเธอแข็งแกร่งจริงๆที่สู้กับโรคนี้มายี่สิบห้าปี ตอนนี้ต้องกลับมามุ่งไปที่เรื่องการตามหาหัวใจ
“ที่นี่ฉันจะช่วยคุณใส่ใจเอง แต่คุณก็รู้ โอกาสอย่างการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจไม่ใช่เรื่องง่าย” จิ๋นลี่ยวนพูดเสียงเบา เท้าเริ่มขยับค่อยๆเดินไปข้างหน้า มู่เยียนหรานเดินตามหลังอย่างเชื่อฟัง
การปลูกถ่ายหัวใจเป็นเรื่องยากและต้องอยู่ที่โชคด้วย การที่จะให้คนเป็นมาบริจาคหัวใจมันเป็นไปไม่ได้และเป็นเรื่องผิดกฎหมายด้วย ดังนั้นการเปลี่ยนถ่ายหัวใจในปัจจุบันส่วนใหญ่ในประเทศของเราจะเป็นกรณีที่มีผู้ที่เพิ่งล่วงลับไปอย่างรวดเร็วแล้วทำเรื่องบริจาคหัวใจของตนเองไว้ให้ผู้ป่วยคนอื่น แต่การรอให้คนอื่นเสียชีวิตเช่นนี้เป็นกระบวนการที่ยาวนานและเจ็บปวด……
ผู้ป่วยบางรายสามารถข้ามประตูผีและกลับมาได้ทันที ทำให้ผู้ป่วยอีกคนต้องผิดหวังในการเฝ้ารอ และยังเป็นไปได้ว่ามีผู้ป่วยบางรายสูญเสียการทำงานของหัวใจก่อนที่จะเปลี่ยนถ่ายหัวใจ ช่วงสี่สิบห้าปีที่ผ่านมาของมู่เยียนหรานไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จิ๋นลี่ยวนที่อบยู่ในโรงพยาบาลมาเป็นเวลานาน เข้าใจความรู้สึกนี้ดี
“คุณจะรู้สึกว่าฉันโหดเหี้ยมไหม” ทันใดนั้น มู่เยียนหรานก็ถามประโยคนี้ออกมา ในดวงตามีแสงสว่างความหวัง
จิ๋นลี่ยวนไม่ได้หันกลับมา แต่ตอบว่า “ไม่หรอก ทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป และมีสิทธิที่จะต่อสู้เพื่อการอยู่รอด คุณแค่รออย่างเงียบๆ ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีต่อใครไม่ใช่เหรอ”
มู่เยียนหรานยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้า สักครู่ถึงพูดว่า “เลี้ยงไอศกรีมฉันหน่อยได้ไหม”
ได้ยิน จิ๋นลี่ยวนหันไปมองเธออย่างประหลาดใจเล็กน้อย
ของกินย่างไอศกรีม หมอส่วนใหญ่จะต้องแนะนำให้คนไข้โรคหัวใจว่าแตะต้องสิ ยิ่งในฤดูนี้ แต่สู้หน้ากับมู่เยียนหรานแก้มที่เปล่งประกายด้วยความสดใสนี้ ทันใดนั้นจิ๋นลี่ยวนก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรดี
“ฉันไม่เคยทานไอศกรีมเลย คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ยอมให้ฉันแตะต้องเลย ถึงแม้บางครั้งคุณหมอบอกว่าได้ แต่ที่บ้านก็ไม่ยอม ก็เพราะกลัว” มู่เยียนหรานพูดเสียงเบา ดูเป็นธรรมชาติ “ตั้งแต่เล็กจนโตได้ยินหลายคนพูดว่าของสิ่งนั้นอร่อยมากแค่ไหน แต่แม้แต่ชิมฉันก็ยังไม่มีโอกาสเลย”
——ถ้ามีวันหนึ่ง พวกเราพบเจอกัน ฉันจะต้องให้คุณซื้อไอศกรีมให้ฉัน
ทันใดนั้น คำพูดนี้แว๊บเข้าไปในหัวของจิ๋นลี่ยวน
ลำคอขยับเล็กน้อย จิ๋นลี่ยวนมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างตั้งใจ ผ่านไปสักครู่จึงพยักหน้า แล้วก็เห็นรอยยิ้มที่สดใสของมู่เยียนหราน
เธอกับมู่เยียนหรานเหมือนกัน ไมม่เคยทานไอศกรีม แล้วจะเป็นคนคนเดียวกันไหม
ความคิดนี้แว๊บเข้ามาในหัว จิ๋นลี่ยวนรู้สึกว่าอากาศเหมือนจะบางลงมาก
ในห้างสรรพสินค้า จิ๋นลี่ยวนเห็นโลโก้ของฮาเก้น – ดาส จึงพามู่เยียนหรานเดินเข้าไปแล้วซื้อให้เธออันเล็กๆหนึ่งอัน ไอศกรีมเล็กๆถูกมู่เยียนหรานถือไว้ในมือด้วยความตื่นเต้น
“มันเย็นมาก มิน่าหล่ะตอนฤดูร้อนทุกคนถึงชอบมัน” ความตื่นเต้นของมู่เยียนหรานดึงดูดสายตาของคนรอบข้างมาก มีหลายคนไม่อยากจะเชื่อ ถึงแม้ฮาเก้น – ดาสจะแพง แต่ก็ไม่ใช่ของหรูหราอะไรที่จะไม่มีเงินซื้อกินได้ เป็นเพียงผู้หญิงคนนี้แสดงเกินจริง
แต่จิ๋นลี่ยวนรู้ดี ความตื่นเต้นของมู่เยียนหรานเป็นเรื่องจริง แม้แต่เสียงตื่นเต้นก็เป็นจริง
ตอนนี้มู่เยียนหรานเหมือนเด็กที่อายุไม่กี่ขวบ บริสุทธิ์และไร้เดียงสา เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งนี้
ถึงแม้จะพามู่เยียนหรานออกมา เพื่อซื้อไอศกรีมหนึ่งอัน แต่จิ๋นลี่ยวนก็รู้ เธอทานไปแค่คำเดียว ไอศกรีมก็ถูกนำออกไป
ในฤดูนี้ สุขภาพเช่นนี้ไม่เหมาะสมกับของกินเช่นนี้
มู่เยียนหรานไม่โกรธ ใบหน้าน้อยๆเต็มไปด้วยความพอใจ ลิ้มรสกลิ่นนมที่เข้มข้นในปาก
สายตาเหยี่ยวมองเธอ จิ๋นลี่ยวนขยิบตาเล็กน้อย
ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องบังเอิญใช่ไหม
ทั้งสองคนไม่ได้สังเกตเห็น การเคลื่อนไหวของพวกเขาล้วนอยู่ภายใต้สายตาของคนอื่น…….
เมืองไห่เมียว
ยินเสี้ยวเสี้ยวกลับไปบ้านไม่เจอจิ๋นลี่ยวน จึงเข้าไปเตรียมอาหารในครัวก่อน คิดถึงพรุ่งนี้เธอจะเป็นนักศึกษาคนหนึ่งที่ไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัย ช่วงว่างๆก็จะไปทำงานที่ ‘บริษัทจื่อยิน’ ก็รู้สึกเกรงใจจิ๋นลี่ยวน
ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนเพิ่งจะเริ่ม ถ้าจากไปในช่วงนี้จะไม่ดีหรือเปล่า
เตรียมทำอาหารไปด้วย ก็คิดไปด้วย เธอลืมเรื่องที่หยูเจียห้วยจะย้ายเข้ามาในอาทิตย์นี้
ตอนสองทุ่มครึ่ง ตอนที่จิ๋นลี่ยวนกลับมา ห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม ยินเสี้ยวเสี้ยวหลับไปบนโซฟาแล้ว
ได้ยินเสียงจิ๋นลี่ยวนกลับมา ยินเสี้ยวเสี้ยวดิ้นรนลุกขึ้นมา ขยี้ตาเพื่อจะไปเตรียมอุ่นอาหารแต่ได้ยินมาว่าเขาทานมาแล้ว ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่สนใจยักไหล่แล้วฝืนทานอาหารที่เย็นแล้วจนหมด
กลางคืน ยินเสี้ยวเสี้ยวอาบน้ำเสร็จออกมา จิ๋นลี่ยวนนอนอ่านหนังสือที่ข้างเตียง สีหน้านั้นดูสบาย ค่อยๆเดินผ่านไป ทันใดนั้นยินเสี้ยวเสี้ยวได้ยินจิ๋นลี่ยวนพูดออกมาว่า “ต่อไปอย่ากินอาหารที่เย็นแล้ว ถ้าฉันยังไม่กลับคุณก็ทานก่อนเลย ไม่ต้องรอฉัน อย่าทำให้กระเพาะมีปัญหาได้”
แค่ประโยคเดียว ยินเสี้ยวเสี้ยวยิ้มเหมือนดอกไม้
เธอไม่เคยขออะไรมาก แต่มักจะมีคนคิดว่าเธอโลภมาก……
เพียงแค่ เธอเหมือนจะลืมแล้ว คำพูดบางคำพูดง่ายแต่ทำได้ไม่ง่ายเลย รอจนกว่าเธอจะได้ลิ้มรสนั้น ก็ทำให้เธอเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ทางนี้จัดการได้ลงตัวดี แต่ที่ตระกูลมู่บรรยากาศเหมือนจะไม่ได้เป็นเช่นนี้……..
ตกดึก ตระกูลมู่
เวลานี้ตระกูลมู่ไม่ได้เข้านอนเพราะดึกแล้ว ตรงกันข้ามคนของตระกูลมู่ตื่นกันทั้งหมดในเวลานี้ เป็นเพราะผู้ปกครองของตระกูลมู่ได้ใช้กฎของบ้านอีกครั้ง
มู่ซูวคุกเข่าบนแผ่นน้ำแข็ง มู่หลงยืนอยู่ข้างหลังเธอถือแส้หนังเส้นใหญ่อยู่ ตีลงหลังของเธอทีละแส้ ไม่รู้ว่าตีอย่างไร เสื้อไม่ขาดเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่เสื้อด้านในมีเลือดซึมออกมา มู่ซูวเหงื่อเย็นทั่วร่างกายราวกับเธอถูกดึงขึ้นมาจากน้ำ