Flash Marriage แต่งงานกับคน(ไม่)ธรรมดา - บทที่ 89 การสังเกตุของเฉิงชื่อชิง
บทที่ 89 การสังเกตุของเฉิงชื่อชิง
ท้ายที่สุด ฉีเคอหานยังคงจำเป็นต้องหมั้นหมายกับกู่ชูเหยา และทั้งสองครอบครัวปรึกษาเรียบร้อยแล้วหลังจากหนึ่งปี่ผ่านไปให้ทั้งสองคนแต่งงานกัน
ระหว่างทางกลับบ้าน ยินเสี้ยวเสี้ยวให้จิ๋นลี่ยวนขับกลับไปอีกรอบนึง ห้างสรรพสินค้า‘งานแสดงที่มีทั้งอาหารแมนจูและชาวฮั่น’ ข้าวของภายในบ้านเหมือนว่าจะซื้อครบแล้ว แต่ว่าผู้หญิงมักจะรู้สึกว่ายังคงขาดของอย่างสองอย่างอยู่ตลอด ตรงเข้าไปดู ช่างประจวบเหมาะประเดี๋ยวเดียวก็ได้ไปซื้อวัตถุดิบอาหารที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตข้างๆสำหรับกลับไปทำอาหารที่บ้าน
สิ่งที่คิดไว้ในใจของยินเสี้ยวเสี้ยวเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่สนใจจิ๋นลี่ยวนที่อยู่ข้างกายใดๆทั้งสิ้น
มองเธออย่างจำใจ จิ๋นลี่ยวนทันใดนั้นก็รู้สึกว่าทำไมเด็กผู้หญิงคนนี้ถึงไม่มีความอยากรู้อยากเห็นแม้แต่น้อยล่ะ? เวลานี้ไม่ใช่ควรที่จะเข้ามาถามเขาเกี่ยวกับเรื่องของจิ๋นลี่หยาวหรอกเหรอ ? แต่ว่ายินเสี้ยวเสี้ยวไม่ได้ถามเลย เขาก็ไม่กระตือรือร้นที่จะไปพูด
เดินวนไปวนมาใน ‘งานแสดงที่มีทั้งอาหารแมนจูและชาวฮั่น’อย่างตามสบาย ยินเสี้ยวเสี้ยวซื้อหมีแพนด้าตัวโตหนึ่งตัวพร้อมเดินตามจิ๋นลี่ยวนไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เดินไปในตลาดผักสด ยินเสี้ยวเสี้ยวทั้งคุยกับจิ๋นลี่ยวนทั้งเลือกวัตถุดิบ ท่าทางแบบนั้นก็ได้เข้าสู่ในบทบาทของภรรยาน้อยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดูแล้วมุมปากจิ๋นลี่ยวนอดไม่ได้ที่จะขยับขึ้น
“เสี้ยวเสี้ยว?” เสียงเรียกที่ผ่านเข้ามา ดึงอารมณ์ของทั้งสองคนกลับไปอย่างรวดเร็ว
หันหน้ากลับ ทันใดนั้นยินเสี้ยวเสี้ยวก็เห็นเฉิงชื่อชิงยืนอยู่ตรงหน้าของตัวเอง ถึงกับมึนงงอยู่ในตรงนั้นแล้ว
ไม่ใช่บอกว่าอยู่ต่อไม่ได้หรอกเหรอ ? ตอนนี้คิดไม่ถึงว่ายังจะอยู่เมืองT ?
“พี่ชื่อชิงพี่ยังอยู่เมืองTทำไมถึงไม่ติดต่อฉันเลยล่ะ?” ยินเสี้ยวเสี้ยวหยิบผักกาดขาวขึ้นมาหนึ่งมัดพร้อมพูดกับเฉิงชื่อชิง ใบหน้าน้อยๆเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น เกี่ยวกับเฉิงชื่อชิงเธอนั้นชอบมากเสียจริงๆ “กินข้าวหรือยัง ? ไปกินข้าวที่บ้านฉันกันน่ะ ”
ตอนที่ยินเสี้ยวเสี้ยวพูดประโยคแรกออกไปนั้น สีหน้าของจิ๋นลี่ยวนขี้เหร่ออกมาแวบนึงโดยไม่รู้ตัว ตอนที่ประโยคที่สองออกมานั้น สายตาเหล่มองไปอย่างมาก แต่รอจนถึงตอนที่ประโยคสุดท้ายออกมานั้นจิ๋นลี่ยวนก็ยิ้มออกมาทันที ท่าทางแบบนั้นทำไมมองแล้วช่างมีเสน่ห์ อยู่ในสายตาของป้าๆที่ยืนซื้อผักอยู่รอบข้าง เพียงครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าจิ๋นลี่ยวนดูดีมากเลยทีเดียวเชียว
——จุ๊ๆ นี้เป็นลูกเขยของบ้านใครกัน ทำไมถึงหล่อขนาดนี้?
——ก็เป็น หญิงสาวผู้นี้ก็สวย ทั้งสองคนช่างเหมาะสมกันจริงๆ
——ส่วนอีกคนก็หน้าตาไม่เลวเลย ผู้หญิงคนนี้เลือกใครก็ไม่เสียเปรียบ……
ป้าๆที่อยู่รอบๆนั้นพูดซ้ายทีขวาที ยินเสี้ยวเสี้ยวรู้สึกเขินอายจนหน้าแดงออกมาเบาๆ จิ๋นลี่ยวนใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก กลับเป็นเฉิงชื่อชิงที่ยิ้มออกมาอย่างสดใสหลังจากที่ได้หันมองจิ๋นลี่ยวนนั้นก็ตอบไปว่า : “โอเคเลย ตอนงานแต่งของเธอฉันไม่ได้ไป ตอนนี้ฉันไปดูสถานที่การใช้ชีวิตของเธอก็ได้”
ยินเสี้ยวเสี้ยวเมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้วก็รีบเลือกวัตถุดิบอย่างรวดเร็วนำไปใส่ไว้ที่รถเข็นที่จิ๋นลี่ยวนเข็นมา แล้วก็วนไปที่โซนผลไม้ซื้อจำพวกผลไม้อีก ทั้งสามคนจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองไห่เมียว
ยินเสี้ยวเสี้ยวได้รับโทรศัพท์จากถาวหยีก็เดินไปข้างหน้าของทั้งสองคน สองคนที่อยู่ด้านหลังถือถุงคนละถุงพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงเบาๆ
“จิ่งซานช่าวคงจะไม่ถือสาที่ฉันไปกินข้าวบ้านคุณใช่ไหม?” เฉิงชื่อชิงยิ้มอย่างดูดีมาก ท่าทางที่พูดพลางหัวเราะแบบนั้น
จิ๋นลี่ยวนมองเขาครู่หนึ่ง พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มที่สุภาพ : “จะทำอย่างนั้นได้ที่ไหนกันล่ะ เสี้ยวเสี้ยวปฏิบัติต่อคุณเหมือนพี่ชายของตัวเองเสมอมา ก็เหมือนเป็นคนในครอบครัวผมด้วย จะถือสาที่จะไปกินข้าวที่บ้านฉันได้อย่างไรกันล่ะ ?”
มุมปากของเฉิงชื่อชิงไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงสายตาคู่นั้นที่อ่อนโยนเหมือนน้ำชำเลืองมองเบาๆครู่หนึ่ง “ตอนที่เสี้ยวเสี้ยว ห้าขวบในช่วงฤดูร้อนของทุกปีก็จะไปที่ชนบท ในตอนนั้นแม่ของฉันก็รักษาอยู่ที่นั้นพอดี คิดๆดูแล้วฉันก็รู้จักกับเสี้ยวเสี้ยวได้สิบแปดปีแล้ว……” เฉิงชื่อชิงพูดบางอย่างออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ถามจิ๋นลี่ยวนด้วยน้ำเสียงเบาๆ : “.ใช่แล้ว พวกคุณรู้จักกันได้อย่างไร ? ทำไมถึงได้ตัดสินใจที่จะแต่งงานกันล่ะ ?”
สายตาชำเลืองมองอย่างเบาๆครู่หนึ่ง ริมฝีปากบางโค้งขึ้น จิ๋นลี่ยวนตอบกลับเพียงประโยคเดียว : “บางครั้ง วาสนาก็นำพามา เวลาก็ไม่สามารถหยุดเอาไว้ได้”
ทันใดนั้นมุมปากที่ยิ้มของเฉิงชื่อชิงก็แข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง
“พวกคุณกำลังพูดอะไรกันอยู่?” ยินเสี้ยวเสี้ยวคุยโทรศัพท์เสร็จก็วิ่งกลับมา ยื่นมือจับจิ๋นลี่ยวนแล้วเงยหน้าถามเฉิงชื่อชิง ท่าทางน่ารักอย่างมาก “ทำไมฉันถึงไม่รู้ คิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ของพวกคุณทั้งสองดีกันขนาดนั้นเลยเหรอ ?”
เฉิงชื่อชิงและจิ๋นลี่ยวนเพียงแค่ยิ้มๆ แต่กลับไม่พูดจาอะไร
ณ เมืองไห่เมียว
วันนี้ยินเสี้ยวเสี้ยวกับจิ๋นลี่ยวนก็เป็นครั้งแรกที่มาถึงบ้านหลังใหม่นี้ ดีที่ก่อนหน้านี้ก็ตกแต่งเกือบจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนเช้าของวันนี้จิ๋นลี่ยวนก็ได้ให้เฉินผูลี่เอาเสื้อผ้าข้าวของต่างๆย้ายเข้ามาทั้งหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้จะพูดว่ากลับบ้านก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินจริง ยินเสี้ยวเสี้ยวถือวัตถุดิบเดินเข้าในห้องครัว ปล่อยให้สองหนุ่มนั่งคุยกันที่ห้องรับแขก
ผักที่เพิ่งจะนำมาเมื่อตะกี้จัดวางตกแต่งบนจานเรียบร้อย ยินเสี้ยวเสี้ยวหันหลังกลับไปเตรียมเนื้อวัวและเนื้อหมูสันในที่ซื้อมา ก็เห็นเฉิงชื่อชิงเดินเข้ามา : “เสี้ยวเสี้ยว มีอะไรให้ช่วยไหม ? ”
หันหน้ามายิ้มๆ ยินเสี้ยวเสี้ยวในมือที่กำลังยุ่งพร้อมทั้งพูดปฏิเสธ : “พี่เป็นแขก จะต้องการความช่วยเหลือจากพี่ได้ที่ไหนกัน เดี๋ยวพี่ช่วยกินให้เยอะๆก็พอแล้ว พี่ไปนั่งคุยกับจิ๋นลี่ยวนดีกว่าน่ะ”
เฉิงชื่อชิงก็ไม่สนใจอะไร หันหลังพร้อมเดินออกไป จิ๋นลี่ยวนเพิ่งจะเดินลงมาจากชั้นบนก็เห็นเฉิงชื่อชิงท่าทางยืนพิงประตูห้องครัวถามยินเสี้ยวเสี้ยว สายตาชำเลืองเบาๆ
ห้องครัวที่ยินเสี้ยวเสี้ยวออกแบบเป็นสไตล์เปิดออก สามารถมองเห็นห้องอาหารได้โดยตรง และห้องนอน ห้องหนังสือ ห้องนอนแขกจะอยู่ชั้นบน เดินลงมาจากชั้นบนจำเป็นจะต้องผ่านห้องอาหาร หลังจากนั้นถึงจะถึงห้องรับแขก เมื่อมาเป็นอย่างนี้ ระดับเส้นสายตาก็ไม่อาจจะถูกปิดกั้นได้ ในขณะเดียวกันยังแยกตัวจากห้องรับแขก จึงไม่ได้รับผลกระทบอะไร
“กินเหล้าสักหน่อยไหมล่ะ?” จิ๋นลี่ยวนยืนอยู่ข้างๆ พร้อมยื่นมือไปหยิบไวน์แดงออกมาจากตู้เหล้ายกมือขึ้นให้กับเฉิงชื่อชิง แต่กลับว่าไม่ให้โอกาสเขาได้ปฏิเสธก็เปิดไวน์เลย ยินเสี้ยวเสี้ยวหยิบแก้วไวน์สามแก้วส่งให้เขา
จิ๋นลี่ยวนมองไปที่แก้วไวน์สามแก้วในมือของยินเสี้ยวเสี้ยวแล้วเงยหน้าขึ้นมองยินเสี้ยวเสี้ยวเล็กน้อย ยินเสี้ยวเสี้ยวมองที่เขาพร้อมยิ้มด้วยความเอาอกเอาใจ เธอก็ไม่ใช่ผู้เยาว์แล้ว หรือยังพูดได้อีกว่าเธอก็อยู่ในบ้านของตัวเอง ทำไมถึงจะดื่มไม่ได้ล่ะ ? พูดอีกครั้ง เธอเพียงแค่ต้องการอยากจะลองนิดๆหน่อยก็เท่านั้นเอง
เฉิงชื่อชิงเดินยื่นมือมารับไวน์แดงที่จิ๋นลี่ยวนรินให้ ทั้งสองคนดื่มไวน์ไปด้วยพร้อมเดินไปทางห้องรับแขก วางทิ้งแก้วไวน์เปล่าเอาไว้บนโต๊ะ ยินเสี้ยวเสี้ยวทำหน้ามุ่ยแล้วเก็บกลับมา
คนพวกนี้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ไม่เป็นมิตรเลยสักนิด !
ไม่ได้ทำให้จิ๋นลี่ยวนและเฉิงชื่อชิงรอนาน ประเดี๋ยวเดียวยินเสี้ยวเสี้ยวก็ให้พวกเขาไปกินข้าว ความแปลกประหลาด เมื่อเห็นอาหารที่ส่งกลิ่นหอมและหน้าตาน่าทานวางอยู่บนโต๊ะ จิ๋นลี่ยวนเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างคาดไม่ถึง
ยินเสี้ยวเสี้ยวกลับว่าไม่ได้ทำอาหารที่ซับซ้อนวุ่นวายอะไรมากมาย เมนูอาหารห้าอย่างกับหนึ่งซุปอย่างง่ายๆ ก็กลัวว่ากระเพาะของทั้งสองหนุ่มจะใหญ่จนกินไม่พอ สันในหมูผัดเปรี้ยวหวาน เนื้อวัวโรยผงพริกหอมยี่หร่า ผัดผักตามฤดูกาล ยำแมงกะพรุนและซุปยาพุทราจีน ตั้งเต็มทั่วโต๊ะ สีสันที่มองดูแล้วนั้นก็สดใหม่เป็นธรรมชาติ ยิ่งไปกว่านั้นรสชาติก็ส่งกลิ่นหอม……
สองหนุ่มนั่งประจำตำแหน่ง มองดูยินเสี้ยวเสี้ยวเสิร์ฟซุป ตักข้าวให้พวกเขา คิดไม่ถึงว่าจะมีความรู้สึกที่อบอุ่นอย่างไม่สามารถอธิบายได้
เฉิงชื่อชิงมองดูยินเสี้ยวเสี้ยวหัวเราะ ตานั้นแทบจะละลายเป็นน้ำออกมา เขาอายุมากกว่ายินเสี้ยวเสี้ยวเจ็ดปี อายุพอๆกับยินจื่อเจิ้น ตั้งแต่ที่เธออายุห้าขวบเขาก็มองดูการเติบโตทีละนิดทีละน้อยของเธอ ตอนเด็กๆยินเสี้ยวเสี้ยวชอบกินอย่างมาก ท่าทางแบบนั้นราวกับว่ากินที่บ้านยินไม่เคยอิ่มอยู่เรื่อยไป แต่ว่าตอนนี้มองดูยินเสี้ยวเสี้ยวแค่พริบตาเดียวก็สามารถทำอาหารด้วยตัวเองได้เต็มโต๊ะขนาดนั้น เขาก็รู้สึกอีกว่าเขาพลาดอะไรไปเยอะมาก……
จิ๋นลี่ยวนกลับเป็นว่าไม่ได้มีความรู้สึกมากมายขนาดนั้นเท่ากับเฉิงชื่อชิง เขาเพียงแค่ค้นพบความซื่อสัตย์ ตั้งแต่ที่เขาแต่งงานกับยินเสี้ยวเสี้ยวเขาก็จะชอบกลับมากินข้าวที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นที่ ‘โรงแรมหซือซัน’ยินเสี้ยวเสี้ยวก็จะยืมใช้ห้องครัวทำอาหารออกมาแบบง่ายๆ และยังจะเป็นมื้อของวันนี้ ในสายตาของเขาเธอทำให้ในฐานะที่เป็นภรรยาตัวเอง แน่นอนว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความภาคภูมิใจ
ทั้งสามคนนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร คุยกันพลางพูดพลางหัวเราะ ในช่วงนั้นราวกับว่าความสัมพันธ์ที่เป็นอุปสรรคอย่างอธิบายไม่ได้ระหว่างจิ๋นลี่ยวนและเฉิงชื่อชิงต่างก็หายไปโดยปริยาย ยินเสี้ยวเสี้ยวแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกในใจ
จริงๆแล้ว เธอคิดว่าจิ๋นลี่ยวนยังคงโกรธอยู่ แท้จริงเฉิงชื่อชิงนั้นชอบเธอ นี้เป็นเรื่องที่ทั้งสามคนต่างก็รู้ดี แต่แม้ว่าเฉิงชื่อชิงจะพูดแบบนั้นออกมาเมื่อครั้งที่แล้ว หลังจากที่เจอกันวันนี้ก็ยังคงปกติไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเช่นเคย นี้ทำให้เธอดีใจอย่างมาก แถมดูเหมือนว่าตอนนี้นั้นจิ๋นลี่ยวนก็ไม่ถือสาเรื่องนี้แล้ว เธอเองก็ยิ่งจะดีใจมาก
กินข้าวเสร็จ ยินเสี้ยวเสี้ยวหยิบจานผลไม้ที่ทำออกมา สองหนุ่มนั้นไม่รู้ว่ากำลังพูดคุยอะไร ฉวยโอกาสพิเศษที่ไม่ทันคาดคิด รอจนถึงตอนที่ฟ้ามืดจนเฉิงชื่อชิงจะกลับบ้านนั้น ยินเสี้ยวเสี้ยวไปรับโทรศัพท์บริษัทจึงไม่ได้ออกไปส่ง ดังนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจิ๋นลี่ยวนพูดอะไรกับเฉิงชื่อชิง
หน้าประตูบ้าน จิ๋นลี่ยวนยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมพูดถามเฉิงชื่อชิงด้วยน้ำเสียงเบา : “งานเลี้ยงหมั้นหมายของตระกูลฉีและตระกูลกู่คุณจะไปไหม”
เฉิงชื่อชิงมองไปทางในบ้าน ราวกับว่าทำให้แน่ชัดว่ายินเสี้ยวเสี้ยวได้ยินหรือเปล่า
“วันนั้นฉันจะต้องบินไปฝรั่งเศสพอดี” เฉิงชื่อชิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาๆ หันหลังกลับเดินมาถึงนอกประตู “ดังนั้นจึงไปไม่ได้”
จิ๋นลี่ยวนมองที่เขาอยู่ตลอด ไม่พูดจาอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เฉิงชื่อชิงกลับเป็นว่าไม่ได้เร่งรีบอะไรเพียงแค่ยืนรออย่างเงียบๆอยู่ตรงนั้น
“เฉิงชื่อชิง บางคนพลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว อย่าเอาตัวเองไปทำให้ขายหน้ากับคนอื่น” พูดแล้ว จิ๋นลี่ยวนจึงพูดกับเขาว่าลาก่อน คำพูดเหล่านี้เขาได้พูดมันออกไปแล้ว ก็ดูที่ว่าเฉิงชื่อชิงจะฟังไม่ฟัง
ถูกประตูปิดกั้นจากด้านนอก เฉิงชื่อชิงยกมุมปากขึ้นยิ้ม ดวงตาที่ลึกซึ้ง
แน่ชัดแล้วว่าตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่สามารถทำอะไรได้
เขาเป็นตำรวจอาชญากรรม สิ่งที่ชำนาญที่สุดคือการสังเกตเห็นได้ชัดว่าบ้านหลังนี้ยังหลงเหลือสภาพที่โดนรื้อถอนด้วยความรุนแรงหลังจากที่เพิ่งจะตกแต่งปรับปรุงใหม่ สิ่งของในบ้านเกือบจะใหม่ทั้งหมด แม้แต่สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันก็ดูแล้วว่าน่าจะเพิ่งนำมาใช้ ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นของใหม่ และก็แตกหักอย่างง่ายดาย
ทันใดนั้น เฉิงชื่อชิงก็อยากที่ถามสักคำ——
จิ๋นลี่ยวน เธอเดาสิว่า เสี้ยวเสี้ยวจะอยู่ข้างกายเธอตลอดไปไหม ?
กลางคืน ยินเสี้ยวเสี้ยวและจิ๋นลี่ยวนนอนที่บ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก
ยื่นมือไปโอบกอดเอวของยินเสี้ยวเสี้ยวดึงเอาเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด จู่ๆเขาก็พบว่าท่านอนกลางคืนในตอนนี้นั้นก็ยังคงเป็นท่านอนแบบนี้ เริ่มที่จะค่อยๆชินแล้ว
“เสี้ยวเสี้ยว คุณไม่อยากรู้เหรอว่าคนนั้นที่อยู่ในใจของพี่สาวคือใคร?” ทันใดนั้น เขาก็อยากที่จะบอกเธออย่างมาก
ยินเสี้ยวเสี้ยวกลับว่าไม่สนใจสักเท่าไหร่ วันนี้เธอคงจะเหนื่อยแล้วจริงๆ ทำให้เธอเมื่อถึงเตียงก็ง่วงนอนขึ้นทันทีม้วนตัวเข้ามาแล้ว จะสังเกตุเห็นถึงสิ่งที่จิ๋นลี่ยวนกำลังพูดอะไรอยู่ได้ยังไง……
รอไม่ได้คำตอบอยู่นาน จิ๋นลี่ยวนมองไปที่ยินเสี้ยวเสี้ยวได้หลับไปเรียบร้อยแล้ว อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆจิ๋นลี่ยวนก้มลงจูบที่หน้าผากของเธอ เสียงที่อ่อนโยน “ราตรีสวัสดิ์” ในครอบครัวเล็กๆที่เพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้นนี้……