Flash Marriage แต่งงานกับคน(ไม่)ธรรมดา - บทที่131 ยินเสี้ยวเสี้ยวผู้นอบน้อมลง
บทที่131 ยินเสี้ยวเสี้ยวผู้นอบน้อมลง
คุณแม่เสิ่นพาคุณย่าเดินเข้ามา มีคนตั้งแถวยืนอยู่นิ่งๆ ยินเสี้ยวเสี้ยวจึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า: “คุณย่า”
คุณย่าจิ๋นเงยหน้าขึ้นมามองเธอ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ โดยที่ไม่มีท่าทีจะพูดอะไรเลย
จิ๋นลี่ยวนจับมือของเธอพลางออกแรงนิดหน่อย ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่ได้สนใจอะไร ก่อนจะทักทายจิ๋นลี่โป๋กับจิ๋นลี่หยาวเบาๆ คนแถวหนึ่งจึงเตรียมตัวจะหันกลับเข้าไปที่คฤหาสน์จิ๋น ในตอนนั้นเอง คุณย่ากลับพูดออกมาคำหนึ่ง: “พวกคุณใครก็ได้สักคนโทรหาเยียนหรานหน่อยเถอะ ให้เธอมาร่วมกินข้าวด้วยในวันนี้”
เพียงคำพูดเดียว ก็ทำให้บรรยากาศนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สายตาของทุกๆ คนมองไปที่ ยินเสี้ยวเสี้ยวอย่างไม่ได้นัดหมาย เฉินผูลี่นั้นกลืนน้ำลายอึกๆ ก่อนจะกลั้นลมหายใจ
ใครจะไปรู้ ยินเสี้ยวเสี้ยวกลับพูดด้วยความยิ้มแย้ม: “ลี่ยวน คุณโทรไปหาหน่อยเถอะ”
เพียงประโยคเดียวก็ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้น ยินเสี้ยวเสี้ยวในกว้างขนาดนั้นเลยเหรอ?หรือว่าในรอยยิ้มนั้นมันมีความร้ายซ่อนอยู่?
คุณย่าจิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองเธอสักครู่ ถามเบาๆ ว่า: “คุณรู้ว่าใครไหม?”
ยินเสี้ยวเสี้ยวยังคงมีรอยยิ้มเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ก่อนจะหันหัวไปมองจอแก้วในโถงรับรองของสนามบิน บนจอนั้นกำลังเผยข่าวที่จิ๋นลี่ยวนอยู่กับมู่เยียนหรานที่เมืองโบราณเมื่อวาน ข่าวนั้นประโคมเข้ามาอย่างหนัก
ในรูปนั้น ใต้แสงอาทิตย์ที่กำลังจะตกในเมืองโบราณนั้น และถนนเส้นเก่า อีกทั้งตึกรามบ้านช่องที่มีมานาน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหมือนตะกอนของเศษเสี้ยวความทรงจำที่ล่วงเลยไป จิ๋นลี่ยวนกับผู้หญิงคนหนึ่งเลยกลางเป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยที่สุดของภาพ……
เขาให้เธอขี่หลัง ก่อนจะเงยหน้ามองเธอด้วยรอยยิ้มราวกับดอกไม้แรกแย้ม ไม่รู้ว่าทั้งสองคนกำลังพูดอะไรกันอยู่ ภาพนั้นดูๆ ไปแล้วสวยงามอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก มันให้ความรู้สึกอ่อนโยนภายในใจ
“คุณย่า คุณหมายถึงเธอเหรอ?” ยินเสี้ยวเสี้ยวถามกลับเบาๆ ด้วยท่าทีนอบน้อมใจกว้าง
คิ้วยกขึ้นเล็กน้อย คุณย่าจิ๋นมองดู ยินเสี้ยวเสี้ยวอย่างพิถีพิถัน
หรือว่าคำพูดที่ว่าเมื่อคนเรามีการพัฒนาก็จะใช้สายตาแบบใหม่ในการมองขึ้นไป มันจะเป็นจริงนะ?
คนที่อยู่ที่นั่นก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วใส่ ยินเสี้ยวเสี้ยว มีเพียงจิ๋นลี่ยวนกลับคนเดียวที่มองเธอพลางหยุดหายใจ
ภรรยาของตัวเองไม่สนใจแบบนี้ เขาควรจะดีใจ?หรือว่าไม่ดีใจดีนะ?
คุณย่าจิ๋นไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเป็นจิ๋นลี่หยาวที่เกิดปากพูด: “คุณย่า คุณมู่เองก็กลับประเทศมาเป็นวันแรก ก็ต้องอยู่กินข้าวกับครอบครัว ของพ่อแม่เธอ จะไปเรียกเธอมากินข้าวด้วยในตอนนี้ได้อย่างไรกันล่ะ”
คุณย่าจิ๋นคิดอยู่สักพักก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เลยไม่ได้พูดเรื่องที่จะให้มู่เยียนหรานมาอีกต่อไป คนตรงนั้นเลยทยอยเดินออกไปจากสนามบิน ก่อนที่จะเดินออกจากสนามบิน ยินเสี้ยวเสี้ยวหันกลับมามองจอแก้วอีกครั้งก่อนจะยิ้มให้กับผู้หญิงของเยียนหราน โดยที่ไม่ได้พูดอะไร……
เยียนหราน เยียนหราน เหมือน’กวีทำนองระลึกนู่เฉียว’ของเจียงขุยที่ว่า: “ดอกเยียนหราน ยิ้มแย้ม สั่นไหวไปมา,กลิ่นหอมอบอวล ลอยไปสู่คำชื่นชมบทกวี” หรือเปล่า?
ชื่อนั้นเพราะเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าคนนั้น ไม่ค่อยน่ากล่าวถึงแล้ว……
ก่อนหน้านี้วันหนึ่งเธอพูดต่อหน้าคนดูทั้งประเทศว่าเธอนั้นไม่รู้จักมู่เยียนหราน วันที่สองมู่เยียนหรานก็ถูกตีพิมพ์ขึ้นพาดหัวข่าวของสื่อด้วยความบังเอิญงั้นเหรอ เธอน่ะ ต่อให้ยินเสี้ยวเสี้ยวตีให้ตายก็ไม่เชื่อ!
ระหว่างทางกลับคฤหาสน์บ้านจิ๋นนั้น จิ๋นลี่ยวนกับ ยินเสี้ยวเสี้ยวนั่อยู่แถวด้านหลัง เก๋อเฉิงเฟยกับเฉินผูลี่นั่งอยู่ทางด้านหน้า ยังไม่ทันจะออกจากสนามบินไปไกล โทรศัพท์ของจิ๋นลี่ยวนก็ดังขึ้น พลางรับโดยที่ไม่ได้ลังเลก่อนเลยแม้แต่น้อย
“ฮัลโหล เยียนหราน” ประโยคนี้ ทำให้คนในรถแทบทั้งคันแทบหยุดหายใจ
มือของเฉินผูลี่ที่จับพวงมาลัยอยู่เกือบจะลื่น จากนั้นจึงมองผ่านกระจกหลังเพื่อดูยินเสี้ยวเสี้ยว
เขาโง่หรือเปล่าเนี่ย?กล้ามากขนาดนี้เลยเหรอ?
“คุณยังอยู่ที่สนามบินเหรอ?คนขับรถบ้านมู่ล่ะ?” จิ๋นลี่ยวนถามไถ่อย่างเบาเสียง ก่อนจะหันกลับไปมองยินเสี้ยวเสี้ยวสักพัก
ยินเสี้ยวเสี้ยวใช้เวลาตอนที่เขาถามนั้นหันมาเหมือนกัน ก่อนจะยื่นมือออกมาพูดกับจิ๋นลี่ยวน: “เธอยังติดอยู่ที่สนามบินเหรอ?ฉันจะไปพูดกับเธอ ผู้หญิงมักจะไม่กล้าพูด”
ในตอนนั้นเอง ขนาดเก๋อเฉิงเฟยยังอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะมองยินเสี้ยวเสี้ยวผ่านกระจกหลัง
หลังจากที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วนแล้วนั้น ยินเสี้ยวเสี้ยวก็ดูเหมือนจะดูโตขึ้นมากขึ้นแล้ว
จิ๋นลี่ยวนหรี่ตามองเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือเพื่อส่งโทรศัพท์ให้เธอ มุมปากกลับมีรอยยิ้มเผยขึ้นเล็กน้อย
“ฮัลโหล สวัสดี ฉันคือยินเสี้ยวเสี้ยวนะ” ยินเสี้ยวเสี้ยวรับโทรศัพท์ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ด้วยความมีมารยาทมาก โดยที่ไม่ได้พูดออกมาว่า ‘ฉันคือภรรยาของจิ๋นลี่ยวน’ คำพูดพวกนี้ มันทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา
มู่เยียนหรานได้ยินเสียงนั้นมีตั้งนานแล้ว ในตอนนั้นเองที่ยินเสี้ยวเสี้ยวรับโทรศัพท์ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเท่านั้นเอง ก่อนจะยิ้มมุมปากขึ้นพลางพูดว่า: “สวัสดี ฉันคือมู่เยียนหราน”
เมื่อได้ยินเสียงของมู่เยียนหราน มุมปากของยินเสี้ยวเสี้ยวก็ยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นจึงพูดออกมาเบาๆ ว่า: “ตอนนี้คุณมู่อยู่ที่ไหนเหรอ?อยากให้พวกเราส่งคนขับรถไปรับคุณไหม?คุณย่าจะให้คุณมาเป็นแขกของบ้านจิ๋นน่ะ พวกเราเองก็ไม่อาจจะเสียมารยาทได้”
เมื่อพูดไป เก๋อเฉิงเฟยกับเฉินผูลี่อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองจิ๋นลี่ยวน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าปากของจิ๋นลี่ยวนที่นั่งอยู่อีกฝั่งกำลังยิ้ม!
เขาคิดจริงๆ ว่า ยินเสี้ยวเสี้ยวไม่ได้สนใจเกี่ยวกับพาดหัวข่าวที่เขาไปมีข่าวกับผู้หญิงคนอื่นน่ะ!
ดูๆ ไปแล้ว ตอนนี้ท่าทีที่ดูใจกว้างนั้นมันเปลือกปลอมมากเลยล่ะ!
มาเป็นแขกงั้นเหรอ?
เมื่อคิดถึงสามคำนี้ จิ๋นลี่ยวนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้น
คำพูดง่ายๆ สามคำนี้กลับมาแทนที่ของคนหลายคน เธอ ยินเสี้ยวเสี้ยวเป็นสะใภ้ของบ้านจิ๋น เป็นภรรยาของจิ๋นลี่ยวน แต่ถึงมู่เยียนหรานจะสนิทสนมกับบ้านจิ๋นมากขนาดไหน ก็ยังเป็นแค่คนนอกอยู่ดี!เมื่อเข้าไปในบ้านจิ๋นก็ถือว่าเป็นแขก!ยังไงก็ไม่สามารถเป็นเจ้าของได้!
มู่เยียนหรานอีกฝั่งก็กำโทรศัพท์เอาไว้ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ ว่า: “ขอโทษด้วย คุณนายน้อยสาม ทางบ้านของฉันมีเรื่องนิดหน่อยคนขับรถของที่บ้านเลยมารับไม่ได้ ดังนั้นฉันเลยคิดว่าจะให้ลี่ยวนมารับฉันได้หรือไม่ ถ้าเกิดว่าคุณไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ข่าวนั้น……”
“คืออย่างนี้นะ คำขอโทษมันช่วยอะไรไม่ได้หรอก ฉันเชื่อว่าสามีของฉันทำแบบนั้นไปก็เพราะสถานการณ์มันบังคับ ดังนั้นคุณมู่ไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาใส่ใจหรอก” ยินเสี้ยวเสี้ยวตัดสินใจจะตัดบทของเธอ เธอไม่อยากจะโกรธจนตาย เลยเปลี่ยนเรื่องพูด: “ถึงอย่างไรคนขับรถบ้านมู่ก็มาไม่ได้แล้ว งั้นคุณมู่มารอที่นี่ก่อนสิ เดี๋ยวจะไปรับ”
จะว่าไป ยินเสี้ยวเสี้ยวบอกลาแล้ว แต่ปลายสายมู่เยียนหรานนั้นก็พูดตัดบทไป ก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้จิ๋นลี่ยวน ยินเสี้ยวเสี้ยวให้เฉินผูลี่จอดรถตรงข้างทาง ก่อนจะพูดขึ้นว่า: “ตอนนี้คุณมู่อยู่ที่สนามบินคนเดียว”
ไม่ได้ถามว่าจะทำอย่างไร หรือไม่ได้ถามอะไรใคร พูดเพียงแค่ประโยคเดียวจากนั้นก็มองจิ๋นลี่ยวนอยู่ตลอด
ทำเรื่องวุ่นวายออกมาขนาดนั้น จะให้ไม่โกรธได้เหรอ?จะเป็นไปได้อย่างไร!
เธอ ยินเสี้ยวเสี้ยเป็นคนตอแหล ดัจริตอย่างกับหม่าลี่ซูน่ะสิ!เมื่อเช้าตอนที่เธอดื่มนมแล้วเห็นข่าวนี้ ก็เกือบจะดื่มนมไม่ลงแล้ว!ตอนนี้ยังกล้าโทรศัทพ์มาทำให้เธอรังเกียจ!มู่เยียนหรานคนนี้เหมือนจะมาอย่างมีเป้าหมายอะไรแน่นอนเลยล่ะ!
ตอนนี้ เธออยากจะเห็น ว่าจิ๋นลี่ยวนจะทำอย่างไร!
จิ๋นลี่ยวนมองยินเสี้ยวเสี้ยวที่มีไฟลุกโชนอยู่ในแววตา ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย หลังจากนั้นก่อนที่ยินเสี้ยวเสี้ยวจะระเบิดอารมณ์ออกมาเลยพูดกับเก๋อเฉิงเฟยว่า: “เฉิงเฟย คุณไปรับคุณมู่ จากนั้นพาเธอไปส่งที่ตระกูลมู่”
เมื่อได้ยินคำตอบของจิ๋นลี่ยวน ใจของยินเสี้ยวเสี้ยวก็รู้สึกรับได้ขึ้นมาบ้าง ก่อนจะหันออกไปมองทางด้านนอกกระจกโดยที่ไม่ได้สนใจเขา
หลังจากที่เก๋อเฉิงเฟยลงจากรถ จุดศูนย์รวมของจิ๋นลี่ยวนที่อยู่รอบๆ นั้นก็รีบหารถคันหนึ่งเพื่อไปรับมู่เยียนหราน ทางเฉินผูลี่พาทั้งสองคนไปที่คฤหาสน์จิ๋นต่อไป
ระหว่างทาง จิ๋นลี่ยวนแอบมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา พลางมองยินเสี้ยวเสี้ยวที่นั่งอยู่ข้างๆ บ้างเป็นระยะๆ ด้วยความอบอุ่น
วันนี้เธอแต่งตัวแบบเรียบง่าย ขนแกะถักสีส้มอ่อน และกางเกงยีนสีอ่อน รองเท้าผ้าใบ ดูเรียบง่ายแต่สง่างาม เมื่อกระทบสายตาเขาแล้วดูสวยงามมาก ฝ่ามือใหญ่นั้นเอื้อมเข้าไปใกล้อย่างเงียบๆ จนในที่สุดก็กุมมือเล็กๆ ของเธอเอาไว้ได้ เมื่อเธอขัดขืนไม่ได้ มุมปากของเขากลับเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
ภรรยาของเขา ไม่มีทางรู้ได้เลย ว่าลึกๆแล้ว เขาเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน แล้วคิดถึงเธอมากเพียงใด……
ในตอนแรกยินเสี้ยวเสี้ยวยังคงโกรธอยู่ แต่ว่าตอนนี้กลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวานจับใจมุมปากก็ยิ้มขึ้นมาบ้าง
พวกเขาทำแบบนี้ จู่ๆ ก็เหมือนกับคู่รักข้าวใหม่ปลามันขึ้นมา จนทำให้คนอื่นรู้สึกแปลกใจขึ้นมา……
คฤหาสน์จิ๋น
เห็นได้ชัดว่าห่างกันเพียงแค่สองวัน คนในบ้านจิ๋นกลับรู้สึกว่าพวกเขาห่างหายไปนานเหลือเกิน มันเป็นเวลาช่วงบ่ายพอดี มีเพื่อนบ้านไม่น้อยเลยท่เข้ามาหา ตอนที่เห็นยินเสี้ยวเสี้ยวก็อดไม่ได้ที่จะมองชื่นชมให้มากเสียหน่อยจากนั้นก็ออกปากชมเล็กน้อย
คุณนายน้อยสามตระกูลจิ่น แต่งเข้ามาในบ้านจิ๋นได้ไม่นาน ก็มีความเป็นบ้านจิ๋นมากแล้ว
คุณย่าจิ๋นยิ้มอย่างถ่อมตนให้กับเพื่อนบ้าน ก่อนจะให้คุณแม่เสิ่นหยิบจดหมายออกมาทั้งหมดเพื่อให้พวกเขาเก็บกลับไปด้วย หลังจากที่ทุกคนกลับไปหมดแล้ว คุณย่าจิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะมองยินเสี้ยวเสี้ยวด้วยความสงสัย
ผู้หญิงคนนี้ มีหนทางที่จะเติบโตอีกมาก เพียงแต่ว่าเรื่องวุ่นวายมันมีมากเหลือเกิน!
บนโต๊ะอาหาร ก่อนที่คุณย่าจิ๋นจะหยิบตะเกียบก็ไม่มีใครกล้าทำก่อน จนคุณย่าจิ๋นเริ่มจับตะเกียบขึ้นมาถึงจะเริ่มมีคนจับตะเกียบขึ้นมาเรื่อยๆ จิ๋นลี่ยวนนั่งอยู่ข้างๆ ยินเสี้ยวเสี้ยว เลยตักน้ำแกงให้เธอก่อน ท่าทีนั้นทำให้คนทั้งโตะอดยิ้มไม่ได้
จิ๋นลี่ยวนกลับไม่รู้สึกอะไรเลย หลังจากที่ตักน้ำแกงเสร็จก็กำชับเบาๆ : “ช่วงหลายวันมานี้ กินอะไรไม่ถูกปาก อย่ากินอะไรไม่ดีเลย อาหารที่เย็นๆ น่ะกินให้น้อยลงหน่อย รอคุณดีขึ้นก่อนค่อยว่ากันใหม่”
จิ๋นลี่หยาวแค่ได้ฟังก็รีบถามเบาๆ ว่า: “เสี้ยวเสี้ยว ร่างกายของคุณดีขึ้นหรือยัง?อีกสักพักจะให้ลี่ยวนมาช่วยดูให้นะ ถึงตอนนั้นอย่าป่วยไปมากกว่าเดิมล่ะ”
“อือ ร่างกายฉันดขึ้นมากแล้ว ไม่เป็นอะไรมากหรอก” ยินเสี้ยวเสี้ยวตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ แก้มแดงเล็กน้อย ตอนนี้จิ๋นลี่ยวนทำให้เธอรู้สึกเขินอาย จากนั้นจึงหันไป ยินเสี้ยวเสี้ยวกลับถามคุณย่าว่า: “คุณย่า ร่างกายของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?ตอนนั้นฉันไปไหนไม่ได้จริงๆ คุณไม่โกรธใช่ไหม?”
เสียงคำพูดที่ดูฉลาดนั้น ยินเสี้ยวเสี้ยวตัดสินใจที่จะไม่พูดเรื่องที่คุณย่าไม่ให้เธอไป และเรื่องที่ไม่อยากเจอเธอ ในคำพูดนั้นเหมือนกับว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเธอเอง ที่ทำเรื่องวุ่นวายให้เกิดขึ้น จนไม่สามารถออกมาได้
คำพูดแบบนี้ทำให้คุณย่าตกใจไปเล็กน้อย ก่อนจะกระแอมเบาๆ พลางพูดว่า: “อืม คุณยังใส่ใจ เพียงแค่ฉันไม่ได้เจอเรื่องอะไรที่รุนแรงก็ไม่เป็นอะไรหรอก”
เมื่อได้รับคำตอบจากคุณย่า ยินเสี้ยวเสี้ยวก็ดีใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะยื่นมือไปเพื่อเอาถ้วยน้ำแกงที่จิ๋นลี่ยวนตักให้เธอส่งไปให้คุณย่า พลางพูดด้วยความเชื่อฟังว่า: “ถ้าอย่างนั้นคุณย่าดื่มเยอะๆ หน่อย หลังจากนี้ฉันจะไม่ทำให้คุณย่าโกรธแล้ว คุณย่าอย่าโกรธหรือเคืองอะไรเสี้ยวเสี้ยวเลยนะ มันเป็นเพราะเสี้ยวเสี้ยวไม่รู้เรื่องรู้ราวเอง”