Flash Marriage แต่งงานกับคน(ไม่)ธรรมดา - บทที่165 ลมหายใจกระหายเลือด
บทที่165 ลมหายใจกระหายเลือด
บ้านของเหอเผิงก็คือเมืองQ ที่นี่ยังมีคุณปู่ของเขาอีกคน ครั้งนี้เขากลับมาเพื่อฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเพื่อนคุณตา
ตอนที่จิ๋นลี่ยวนบุกไปหาเขานั้น แต่ละคนต่างก็ชะงักไปเลย
จิ๋นลี่ยวนนั่งอยู่บนโซฟา ทั้งๆที่เป็นสถานที่ธรรมดา แต่พอมีจิ๋นลี่ยวนนั่งอยู่ตรงนั้นสถานที่นั้นก็ให้ความรู้สึกเหมือนโรงแรมใหญ่เจ็ดดาวไปเลย ทำเอาเหอเผิงเริ่มเกรงใจขึ้นมา และตั้งใจเว้นระยะห่างให้ทั้งสองคนก่อนจะตามอะจวิ้นไปแล้วพาคุณปู่ไปด้วย
เฉินหยูนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจิ๋นลี่ยวน ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาคู่นั้นที่ยังไม่ได้ผ่านโลกมากนักมองไม่ยากเลยว่าเขาทั้งรู้สึกไม่ชอบและกันท่าขนาดไหน !
“นายชื่อเฉินหยู ?” ขณะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จิ๋นลี่ยวนกลับไม่ได้สนใจสิ่งนั้น และถามอีกประโยคหนึ่งว่า “ซูเหนียงเป็นอะไรกับนาย ?”
คิ้วของเขายิ่งขมวดก็ยิ่งแน่น เขารู้สึกไม่ชอบผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ
ในเมื่อเป็นแฟนของยินเสี้ยวเสี้ยว ก็ควรรักษาระยะห่างกับผู้หญิงคนอื่นไม่ใช่หรือ ผู้หญิงครั้งก่อนนั้นมันอะไรกัน เขายังไม่ได้ไปพูดต่อหน้ายินเสี้ยวเสี้ยวเลยสักครั้ง แต่เขากลับมาถึงหน้าบ้านเลย
“เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย” น้ำเสียงแฝงแววไม่เป็นมิตร เฉินหยูพูดออกไปตรงๆว่า “คุณมาห่วงเรื่องของผม ผมว่าคุณเอาเวลาไปห่วงเรื่องของตัวเองดีกว่า เหยียบเรือสองแคมระวังเรือจะล่มไม่รู้ตัวนะ !”
เขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อย จิ๋นลี่ยวนมองดูเขาแล้วพูดต่อว่า “ซูเหนียงเป็นแม่ของนายใช่ไหม ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ?”
ตั้งแต่ต้นจนจบสิ่งที่จิ๋นลี่ยวนอยากรู้ก็มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้น
ซูเหนียง
คนที่ไม่ว่าชีวิตนี้จะต้องลำบากแค่ไหนก็ต้องหาให้เจอ !
“คุณตรวจสอบผมเหรอ ?” เฉินหยูเองก็ได้สติกลับมา แววตาเต็มไปด้วยความระแวดระวัง “คุณอยากจะทำอะไร ?”
ซูเหนียง คนที่เขาใช้ชีวิตเพื่อปกป้อง หลายปีที่ผ่านมาลับหลังมีผู้คนมากมายที่ตามหาเขา ส่วนเขาช่วยเธอปิดบังและหลบซ่อนอยู่อย่างยากลำบากมานานหลายปี จะให้หาเจอง่ายๆแบบนี้ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจิ๋นลี่ยวนจะตรวจสอบเขาก็ตาม
ดวงตารูปหงส์หรี่ลง จิ๋นลี่ยวนที่เดิมทีท่าทางสบายๆก็เริ่มฉายแววอันตรายขึ้น บรรยากาศภายในบ้านเริ่มกดดัน เฉินหยูพยายามมองเขาตรงๆ แต่เมื่อผ่านไปห้าวินาทีเขาก็ต้องยอมแพ้
ยื่นมือไปคว้าแก้วน้ำขึ้นมาดื่มคำหนึ่ง จากนั้นเฉินหยูก็พูดว่า “ผมไม่รู้จักเธอ แม่ของผมไม่ได้ชื่อซูเหนียง”
เขาพูดอย่างแข็งกร้าว แต่จิ๋นลี่ยวนบุกมาถึงที่ขนาดนี้แล้ว จะไม่รู้ได้อย่างไร
เพี้ย !
แก้วน้ำแตกกระจาย จิ๋นลี่ยวนยื่นมือไปปัดแก้วน้ำในมือของเฉินหยูทิ้ง แล้วดึงคอเสื้อของเขาด้วยมือข้างเดียว ขณะลุกขึ้นก็ดึงตัวเฉินหยูที่สูงร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรขึ้นมาด้วยท่าทางสบายๆ
ดวงตารูปหงส์เต็มไปด้วยความโกรธกระหายเลือดที่อดกลั้นเอาไว้
เฉินหยูอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวขึ้นมา
เขากับซูเหนียงมีความโกรธแค้นอะไรกันแน่
สายตาแบบนั้น ดูเหมือนอยากจะฆ่าซูเหนียงให้ตายอย่างไรอย่างนั้น……
“เฉินหยู กลับไปบอกแม่ของนายซะ ว่าฉันจิ๋นลี่ยวนจะต้องหาเธอเจอแน่ ให้เธอชดใช้สิ่งที่นายก่อไว้เมื่อตอนนั้น !”
พูดชัดทีละคำ จิ๋นลี่ยวนกัดฟันพูดออกมาอย่างช้าๆ ก่อนหน้านี้เฉินหยูเคยเจอจิ๋นลี่ยวนมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกตอนที่อยู่ข้างกายมู่เยียนหราน ถึงจะดูเหมือนกำลังรำคาญใจแต่ก็ยังรักษามาดคุณชายมีชาติตระกูลเอาไว้ อีกครั้งก็คือเมื่อวานตอนอยู่ข้างกายยินเสี้ยวเสี้ยว แทบจะดูไม่ออกเลยว่าเขาจะเป็นที่เก็บอาการไม่อยู่แบบนั้น และครั้งที่สามก็คือครั้งนี้
แต่ว่าก็คือครั้งนี้ ที่ทำให้ในใจของเฉินหยูเกิดความรู้สึกหวาดกลัวจิ๋นลี่ยวนขึ้นมา
ผู้ชายคนนี้ รู้สึกโกรธแค้นซูเหนียงจริงๆ……
โกรธแค้นจน เขาสามารถทำให้ซูเหนียงทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหมือนอย่างที่เขาพูดได้จริงๆ
เมื่อปล่อยเฉินหยู มองดูเขาก้าวถอยหลังไปสองก้าวด้วยสีหน้าซีดเผือด จิ๋นลี่ยวนก็ยิ้มอย่างเยาะเย้ย ยื่นมือปัดและจัดเสื้อตัวเองเตรียมจะออกไป เฉินหยูที่อยู่ด้านหลังกลับเหมือนลมหายใจหยุดนิ่งไปแล้ว
ทันใดนั้น จิ๋นลี่ยวนก็หยุดเท้าตัวเองลง แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ต่อไปอยู่ให้ห่างจากยินเสี้ยวเสี้ยวซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้นายได้เห็นเองว่าฉันเป็นคนยังไง”
จนตอนที่จิ๋นลี่ยวนออกไปครู่ใหญ่แล้ว เฉินหยูถึงได้โล่งอก แผ่นหลังเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
เขาเองก็โลดแล่นอยู่บนท้องถนนมานาน ชีวิตแบบใช้มีดไล่ฟันคนก็เคยผ่านมาแล้ว เขาคิดมาตลอดว่าเซลล์ของเขามีปัจจัยความกระหายเลือดอยู่ คิดว่าตัวเองจะไม่กลัวใคร แต่จนถึงเมื่อครู่นี้เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองคิดผิด!
จิ๋นลี่ยวนต่างหากที่มีปัจจัยกระหายเลือด จิ๋นลี่ยวนนั้นเป็นคนบ้าชัดๆ
ผู้ชายท่าทางสง่าผ่าเผยที่จู่ๆก็เปลี่ยนรูปแบบได้กะทันหันแบบนั้น จะเป็นคนที่รับมือได้ง่ายๆได้อย่างไร
โดยไม่ลังเล เฉินหยูล้วงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วกดโทรออกไปหาเบอร์ที่ไม่ได้โทรมานาน
เสี้ยววินาทีที่โทรติด เฉินหยูก็รีบขานเรียกอย่างรีบร้อนว่า “แม่ครับ……”
“หึ ซูเหนียง……” เฉินหยูยังไม่ทันได้พูดจบประโยค มือถือในมือก็ถูกคนแย่งไปก่อน เขาที่เตรียมจะระเบิดความโกรธนั้นพอหันไปก็เห็นว่าเป็นจิ๋นลี่ยวนที่ย้อนกลับมา ทำเอาตกใจจนอึ้งไปเลย
จิ๋นลี่ยวนยืนอยู่ในพื้นที่แคบๆ ดวงตารูปหงส์นั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายความอันตราย รอยยิ้มเยาะเย้ยมุมปากโค้งขึ้น
ผู้หญิงที่อยู่อีกฝั่งของโทรศัพท์อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“ซูเหนียง ผมคือจิ๋นลี่ยวน ลูกชายของรุ่ยซีกับจิ๋นหยวนเชิ่ง” จิ๋นลี่ยวนแนะนำตัวเอง อีกฝั่งของโทรศัพท์กำลังสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นความกลัวที่ระงับเอาไว้ก็ถูกถ่ายทอดออกมา “คุณยังจำผมได้ไหม ?”
เฉินหยูยืนอยู่อีกด้าน ยืนตัวแข็งมองดูจิ๋นลี่ยวน
จิ๋น จิ๋น บ้านจิ๋น ?
จิ๋นลี่ยวน……
เขาคือคุณชายสามบ้านจิ๋น เขาคือคุณชายสุดที่รักของบ้านจิ๋น
เสี้ยววินาทีนั้น ไม่เพียงซูเหนียง รวมทั้งเฉินหยูเองก็รู้สึกว่าจู่ๆโลกใบนี้ก็มืดมน
“นาย……” อ้ำอึ้งอยู่อย่างนั้น เห็นได้ชัดว่าซูเหนียงยังไม่ได้สติกลับมา “นาย……”
“ซูเหนียง ผมหาคุณเจอสักที คุณคิดว่าคุณยังจะหนีได้อีกเหรอ ?” จิ๋นลี่ยวนไม่ได้สนใจเลยสักนิด น้ำเสียงนุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความน่ากลัว “รออยู่ดีๆล่ะ เดี๋ยวผมจะไปหาคุณเอง”
พูดจบ จิ๋นลี่ยวนก็หัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่งแล้วโยนโทรศัพท์ไปที่โซฟา จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปทันที
เฉินหยูตกใจจนล้มลงกับพื้น
จบกัน……
บ้านจิ๋นหาซูเหนียงเจอแล้ว แถมคนๆนั้นยังเป็นจิ๋นลี่ยวนด้วย……
หากว่าเมื่อครู่เฉินหยูสังเกตดีๆล่ะก็ จะต้องพบว่าจิ๋นลี่ยวนนั้นตัวสั่นอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้ชัดเจน แต่ก็ไม่ถึงขั้นดูไม่ออก แต่ก็ยังดีเพราะไม่ได้ถูกเห็นเข้า ถ้าเห็นเข้าคิดว่าคงต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่
ที่จิ๋นลี่ยวนตัวสั่นนั้นเป็นเพราะกำลังตื่นเต้นดีใจ !
คนที่เขาตามหามาร่วมสิบปี ในที่สุดก็หาเจอแล้ว แถมยังได้ยินเสียงเธอกำลังลนลาน จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไร
ดวงตารูปหงส์นั้นหรี่ลง ทั่วทั้งร่างของจิ๋นลี่ยวนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความกระหายเลือด……
…….
จิ๋นลี่ยวนไม่ได้บอกข้อมูลอะไรกับยินเสี้ยวเสี้ยวมากไปกว่านั้น ในสายตาเขา เรื่องบางเรื่องมีแค่เขาที่รู้ก็พอแล้ว
จากเมืองQกลับไปที่เมืองT ยินเสี้ยวเสี้ยวกลับไปเริ่มต้นชีวิตนักศึกษาปริญญาโทและนักศึกษาฝึกงานต่อไป จิ๋นลี่ยวนเองก็กลับไปใช้ชีวิตเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ทุกอย่างดูแล้วกำลังไปได้สวย
ณ ตระกูลมู่
หลังจากที่มู่เยียนหรานเจอกับเซี่ยงเฉิงและยินรั่วอวิ๋นที่โรงพยาบาลแล้วก็เดาได้ว่าหัวใจของตัวเองมาจากใคร
ไม่มีทางเป็นเซี่ยงเฉิง และไม่มีทางเป็นยินรั่วอวิ๋น แต่เป็นเซี่ยงหลินคนที่ไปโรงพยาบาลด้วยกันเพื่อไปเยี่ยมมู่ซูวในวันนั้น
ในมือเต็มไปด้วยข้อมูลและรายงานต่างๆเกี่ยวกับเซี่ยงหลิน มู่เยียนหรานเกือบจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมาแล้ว กลั้นรอยยิ้มที่ไร้ความปรานีและป่าเถื่อนนั้นไว้ ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงและเจ็บปวดไปด้วย จนต้องดิ้นอยู่บนเตียง แต่เธอก็ยังคงหัวเราะ หัวเราะอย่างดุเดือดและเงียบเฉียบ……
เจ็บปวดสิ เจ็บปวดสิ……
เธอต้องเจ็บปวดต่อไปสิ……
รอให้ฉันเปลี่ยนหัวใจดวงใหม่ก่อนเถอะ ฉันจะรอดูสิว่าเธอจะเจ็บปวดแบบไหนอีก !
วันนี้ เธอจะต้องจดจำความเจ็บปวดแบบนี้เอาไว้ ความรู้สึกใกล้จะตายแบบนี้ สาบานเลยว่าถึงตายก็ต้องทำให้พวกคนที่ทำร้ายคนแบบเธอต้องชดใช้ ! เธอมู่เยียนหราน ไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่ายๆหรอกนะ !
ฮ่าฮ่าฮ่า……
ฮ่าฮ่าฮ่า……
มู่เยียนหรานหัวเราะแบบไร้เสียงอย่างบ้าคลั้ง ราวกับคนไปบ้าไปแล้วก็มิปาณ
เซี่ยงหลิน ไม่เลวจริงๆ……
ผ่านไปครู่ใหญ่ ท้ายที่สุดมู่เยียนหรานก็ทานยาไปเม็ดหนึ่งเพราะทนไม่ไหว จนตอนที่เธอฟื้นตัวกลับมาปกติแล้วถึงได้กดโทรศัพท์โทรออก แล้วพูดเพียงประโยคเดียวว่า “ภายในสามวัน ฉันจะต้องได้เห็นเซี่ยงหลินที่ลมหายใจรวยริน คุณหนูสองของบ้านเซี่ยง”
จากนั้น มู่เยียนหรานก็จัดการตัวเองอย่างอารมณ์ดีแล้วตรงไปที่บ้านตระกูลจิ๋น
จิ๋นลี่ยวนกลับมาจากเมืองQได้สองวันแล้ว เธอเองก็ควรไปดูได้แล้ว เรื่องบางเรื่องก็ควรไปบอกเขาได้แล้ว
เพิ่งจะเดินลงบันไดไป มู่เยียนหรานก็เห็นจื่อผู่หยางกับมู่หลงนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกเหมือนกำลังกังวลเรื่องอะไรบางอย่างอยู่
“คุณพ่อ คุณแม่ กำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอคะ ?” มู่เยียนหรานเดินเข้าไป รอยยิ้มที่มุมปากทำให้เธอมีเสน่ห์มากขึ้น
คนที่บอบบางมักจะมีอีกด้านที่ดูดึงดูดเป็นพิเศษเสมอ
และมู่เยียนหรานก็คือคนแบบนั้น
จื่อผู่หยางมองดูมู่เยียนหรานแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยอยากเปิดปาก เลยพูดอ้อมๆว่า “ไม่มีอะไร แค่เถียงกับพ่อลูกคำสองคำ ลูกจะออกไปเหรอ ?”
เธอพยักหน้า สายตาของมู่เยียนหรานกวาดไปที่พ่อแม่ทีหนึ่งจากนั้นก็ไม่สนใจอีก หันไปอีกทางและเตรียมจะออกไป แต่ก็พูดทิ้งท้ายประโยคหนึ่งว่า “ใช่แล้ว คุณแม่คะ รับน้องสาวกลับมาได้แล้วค่ะ คนอื่นจะได้ไม่หาว่าตระกูลมู่ของพวกเราแล้งน้ำใจ”
เพียงประโยคเดียว สีหน้าของจื่อผู่หยางกับมู่หลงก็แข็งทื่อไปทันที
มู่เยียนหรานกับมู่ซูวไม่ถูกกันตั้งแต่เด็กแล้ว ขนาดตอนที่เริ่มตั้งท้องก็เป็นที่รู้กันไปทั่วตระกูลมู่แล้ว ขนาดในเมืองTก็ยังมีหลายตระกูลและผู้คนอีกมากที่รู้เรื่องนี้ มู่ซูวใช้ความสามารถของตัวเองในการก้าวไปเป็นบัลเล่ต์เอลฟ์ ซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งที่มีความสามารถมาก แต่ใครให้มู่เยียนหรานเป็นหลานสุดที่รักของตระกูลมู่ ถึงแม้ว่ามู่ซูวจะดีกว่าเป็นพันเท่าอย่างไรก็เทียบไม่ได้ และครั้งนี้ หลังจากเกิดเรื่องกับมู่ซูว ก็ไม่มีคนของตระกูลมู่ออกมาพูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว……
ตอนแรกที่มู่เยียนหรานเจอเรื่องของเอ้อฮันที่บ้านจิ๋น เพียงแค่เข้าโรงพยาบาลไม่กี่วันเท่านั้น ยินเสี้ยวเสี้ยวก็ถูกจื่อผู่หยางกับมู่หลงบีบคั้นยกใหญ่ แต่พอถึงคราวมู่ซูว ถึงแม้ทั้งเมืองTจะบอกว่าเป็นเพราะยินเสี้ยวเสี้ยวอิจฉา แต่ตระกูลกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
ถ้าจะบอกว่าไม่อาย ก็คงไม่จริง
จื่อผู่หยางไม่ได้พูดอะไรต่อ มู่หลงขมวดคิ้วมองดูมู่เยียนหรานที่เดินออกไปอย่างอารมณ์ดี
จื่อผู่หยางหันกลับมาพุ่งเข้าสู่อ้อมอกของมู่หลง จะบอกว่าตอนแรกเป็นเพราะมู่ซูวทำลายการรักษาของมู่เยียนหราน ครั้งแล้ว ครั้งเล่าที่ปล่อยหัวใจของมู่เยียนหรานไป หลายปีมานี้ก็ไม่ได้เจอเธอเลย ปล่อยให้เธอต้องทนทุกข์ทรมาน แต่นั่นก็มีหลักการ เพราะว่าตัวมู่ซูวนั้นมีความสามารถ ด้วยความสามารถของเธอถึงแม้จะออกจากตระกูลมู่ไปแล้วเธอก็ยังสามารถมีชีวิตที่ดีได้
แต่ว่า ตอนที่ได้ยินว่ามู่ซูวจำเป็นต้องตัดขาเพื่อรักษาชีวิตนั้น จื่อผู่หยางก็อดไม่ได้ที่จะขอบตาแดงก่ำ อุ้มท้องสิบเดือน และเธอมีชีวิตอยู่มายี่สิบสามปี ในตอนที่มู่ซูวไม่มีอะไรเลยในที่สุดก็ถูกทำลายแล้ว
ท้ายที่สุด ก็เป็นเพราะมันทำร้ายคนแบบพวกเขา ไม่ได้เป็นเพราะคนตัวเล็กๆคนเดียวอย่างมู่ซูวที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“อาหลง ฉันเกลียดจริงๆ ฉันเกลียดที่ฉันมันโง่แต่แรก ฉันเกลียดผู้หญิงคนนั้น !” จื่อผู่หยางซุกหน้าอยู่กับอกของมู่หลง แล้วพูดอย่างดุเดือดว่า “ฉันเกลียดจนอยากจะหาตัวซูเหนียงออกมาหั่นเป็นหมื่นๆชิ้น เกลียดจนอยากจะเอาลูกสาวของหล่อนส่งไปขายในที่ชั้นต่ำ !”