Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 130 ความฝันแรก
ตอนที่ 130 ความฝันแรก
บนเวที
บรรยากาศของการแข่งขันถูกผลักดันมาจนถึงจุดพีค จากคำชื่นชมที่คณะกรรมการมีต่อเพลงของถังเยวี่ย ผู้ชมแทบทั้งหมดตะโกนสุดเสียงกู่ร้องชื่อของผู้เข้าแข่งขัน ประหนึ่งถูกความร้อนแรงของการแข่งขันจุดไฟแห่งความบ้าคลั่ง
เวทีนี้ รับมือยากเหลือเกิน!
พิธีกรเองก็ยากที่จะข่มความตื่นเต้นเอาไว้ “นึกไม่ถึงเลยนะคะว่าผู้เข้าแข่งขันถังเยวี่ยจะร้องเพลงใหม่ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ให้กับพวกเรา เสียงของเธอในตอนนี้ยังคงก้องกังวานอยู่ในหูของฉันอยู่เลยค่ะ แต่ก็จะประมาทผู้เข้าแข่งขันท่านต่อไปไม่ได้นะคะ ขอต้อนรับซย่าฝานค่า!”
ท่ามกลางแสงสปอตไลต์
ซย่าฝานเดินขึ้นมาบนเวที
ชั่วขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับหรือเจ้าหน้าที่ หรือแม้แต่คณะกรรมการก็ล้วนตะลึงงัน เพราะชุดที่ซย่าฝานสวมอยู่นั้นเรียบง่ายมาก ตามหลักแล้วในการประกวดรอบตัดสินเช่นนี้จะต้องแต่งตัวให้งามสะพรั่งสักหน่อย
“เกิดอะไรขึ้น!”
ผู้กำกับด้านหลังเวทีเดือดดาล
เจ้าหน้าที่ด้านหลังเวทีอธิบายด้วยความจนปัญญา “พวกเราแต่งตัวให้จนสวย ต่างหูกับกระโปรงสั้นมีไข่มุกร้อยเป็นพวงประดับตั้งเยอะแยะ น่าจะถูกดึงออกไปแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันค่ะ”
“…”
ผู้กำกับจนปัญญา
นี่กำลังจะทำอะไรล่ะเนี่ย
ถังเยวี่ยเมื่อกี้ก็เหมือนกัน ซ้อมเพลงเดิมมาดีๆ ตอนจะขึ้นเวทีกลับมาเปลี่ยนเพลงกะทันหัน
โชคดีที่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นเหนือความคาดหมาย ผู้กำกับถึงไม่ได้โมโห แต่ถึงอย่างนั้นในใจก็ยังกระวนกระวาย ด้วยกลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น
“ผู้กำกับคะ แย่แล้ว!”
ขณะที่ผู้กำกับกำลังฝืนใจยอมรับเรื่องที่ซย่าฝานดึงเครื่องประดับออกไป ข้างหูก็มีเสียงของเจ้าหน้าที่ตะโกนมา
“จู่ๆ ผู้จัดการของซย่าฝานก็จะเปลี่ยนเพลงค่ะ จ้าวเจวี๋ยจากสตาร์ไลท์ไม่ควรผิดใจด้วย จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนดีคะ”
“เปลี่ยน เปลี่ยนไปเลย อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน! อยากใช้เพลงอะไรก็ใช้เลย!”
ผู้กำกับรู้สึกว่าเวทีนี้เละเทะไปหมดแล้ว!
ทว่าคำขอของถังเยวี่ยได้รับการอนุมัติ ตนจะเอาอะไรไปห้ามไม่ให้ซย่าฝานเปลี่ยนเพลงล่ะ
เพียงแต่ซย่าฝานจะเปลี่ยนเพลงในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ
และด้านล่างเวที
ฝูงชนล้วนกระซิบกระซาบ ต่างคนต่างถกเถียงกันเรื่องบทเพลงของถังเยวี่ย ยังคงดำดิ่งกันอยู่ในบรรยากาศก่อนหน้านี้
ผู้ชมซึ่งมาชมการถ่ายทอดสดในห้องส่งส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นกลางทีเดียว ไม่มีทางลำเอียงไปทางนักร้องคนไหนเป็นพิเศษ
พูดง่ายๆ ก็คือใครร้องดี ก็เป็นแฟนคลับคนนั้น
“ถังเยวี่ยอุบเงียบเชียวนะ!”
“ถึงกับร้องเพลงใหม่!”
“แถมยังเหมาะกับเสียงของเธอมากด้วย!”
“รู้สึกไม่ต่างกับจ้าวอิ๋งเก้อเมื่อปีที่แล้วเลย!”
“นั่นน่ะสิ ผู้ชนะอย่างจ้าวอิ๋งเก้อคุณภาพสูงมาก ที่จริงซย่าฝานเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย ฉันฟังมาหลายรอบ ภาพจำที่ฉันมีต่อเธอชัดเจนมาก เพียงแต่ว่าถึงยังไงนี่ก็เป็นรอบตัดสิน ไม้ตายของถังเยวี่ยสุดมาก”
“…”
ไม่เพียงแค่ผู้ชม
ในใจของกรรมการเองก็ลอบทอดถอนใจอยู่บ้าง
ซย่าฝานมีโอกาสน้อยแล้ว
ความผันผวนของการแข่งขันรอบตัดสินในครั้งนี้มีน้อยมาก โดยเฉพาะหลังจากที่ถังเยวี่ยทำคะแนนนำ และสร้างความตราตรึงให้กับผู้ชมได้อย่างล้นหลาม!
ในตอนนั้นเอง
แสงไฟก็ส่องสว่างขึ้นมา
เสียงบรรเลงเปียโนนุ่มละมุนดังขึ้น ตามมาด้วยท่วงทำนองของกลองและเครื่องดนตรีอีกหลายชิ้นสอดประสาน ค่อยๆ นำเข้าสู่อารมณ์อันแปลกใหม่
ความรู้สึกเช่นนี้ได้ขับไล่อิทธิพลที่เพลงก่อนหน้านี้มีต่อผู้คน
ซย่าฝานยืนอยู่บนเวทีในชุดอันเรียบง่าย เริ่มขับขานบทเพลง เสียงของเธอนั้นเรียบง่ายเฉกเช่นชุดของเธอ
“ถ้าความจริงนั้นไม่ทำเธอหวาดหวั่นหวาดกลัวอยู่แสนนาน
เธอจะรู้บ้างไหม พากเพียรแค่ไหน กว่าจะเดินไปสุดทาง
ถ้าความฝันเราไม่มีวันร่วงหล่นสู่ผาอันเวิ้งว้าง
แล้วเธอจะรู้ไหม วาดปีกกว้างไว้ โบยบินมุ่งสู่ฟ้าคราม
……”
ฝูงชนซึ่งก่อนหน้านี้ยังคงก้มหน้าก้มตาถกเถียงกันก็พลันเงยหน้าขึ้น หยุดสนทนากันระหว่างที่ซย่าฝานกำลังขับขานบทเพลง
เพลงนี้ไม่คุ้นหูเอาซะเลย
คล้ายกับว่า…น่าฟังแปลกๆ?
คณะกรรมการทั้งสี่คนสบตากัน ก่อนจะปรับท่านั่งเหยียดหลังตรง สับสนไปชั่วขณะ
เพลงใหม่?
มีเพลงใหม่มาอีกแล้ว?
เมื่อได้ฟังท่อนแรกแล้วไม่น่าจะใช่ผลงานที่สุ่มหยิบมาใช้ ซย่าฝานใช้เพลงใหม่มาสู้กับเพลงใหม่ของถังเยวี่ย
น่าสนุกแล้วสิ
หลังจากคณะกรรมการงงงันกันไปชั่วขณะ ถึงขั้นที่รู้สึกใจชื้นขึ้นมา เพลงใหม่ชนเพลงใหม่ การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศน่าตื่นเต้นกว่าที่คิดไว้ซะอีก!
บนเวที
ซย่าฝานงับคำได้ชัดเจนมาก บทเพลงกังวานขับขาน
ในบทเพลงราวกับแฝงไปด้วยความรู้สึกดื้อดึง กระเสือกกระสน ไม่ยอมจำนน…
และประหนึ่งว่ามีบางอย่างกำลังจะทะลวงโผล่พ้นพื้นดิน เอิบอาบแสงตะวัน เพียงแต่ในชั่วขณะนั้นยังคงกระเสือกกระสนดึงดัน รู้สึกว่ายังขาดอะไรอีกเล็กน้อย และสิ่งเล็กน้อยนั้นเองก็ทำให้ฝูงชนฟังแล้วพลอยเค้นพลังเอาใจช่วยโดยไม่รู้ตัว
“หยาดน้ำตาปลูกไว้ในใจผลิดอกออกเป็นความกล้าหาญ
ยามเธอเหนื่อยล้า หลับตาลงหนา หอมกรุ่นกลิ่นแสนหวาน
ปล่อยให้เธอดำลงสู่ห้วงนิทราจวบจนยามฟ้าสาง
แล้วจงเดินต่อไป ขับขานเพลงไป
สู่เส้นทางที่เธอฟันฝ่า
……”
ราวกับมวลแสงส่องทะลุความมืดมิด ราวกับสายลมปัดเป่าม่านหมอก และราวกับฝ่ามืออันอ่อนโยนคอยเยียวยาความปวดร้าว
เพียงแต่ในชั่วขณะนั้น
สายตาของผู้ชมล้วนจับจ้องไปบนเวที
สีหน้าของคณะกรรมการค่อยๆ เปลี่ยนไป
ทั้งที่ชุดที่ซย่าฝานสวมอยู่นั้นแสนเรียบง่าย ไม่ได้หรูหราเท่าเครื่องแต่งกายของถังเยวี่ย แต่ตัวของเธอกลับแลดูประหนึ่งค่อยๆ ส่องประกาย เสียงเพลงสอดประสานกับเสียงดนตรีอย่างแยบยล และโผทะยานขึ้นสูงอย่างแช่มช้า
“ความเดียวดายที่เธอแบกไว้หวนกลับมายามเธอท้อใจ
ปรารถนาไหล่อุ่นอิงซบ มีใครคนไหนเข้าใจฉันบ้าง
แสนโชคดี บนเส้นทางสองเรานั้นไม่เคยครั่นคร้าม
ก้าวข้ามผ่านขวากหนามลมฝน หัวใจยังคงหยัดยืนไปอีกเนิ่นนาน
……”
ยามที่จุดไคลแม็กซ์กำลังจะมาถึง ฝูงชนต่างรู้สึกว่าชิ้นส่วนในใจซึ่งขาดหายไปกำลังถูกเติมเต็มด้วยเสียงที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
คล้ายกับว่าค่อยๆ ปีนขึ้นบันไดทีละขั้น!
เสียงของซย่าฝานยังคงดังก้อง เมื่ออารมณ์แตะถึงจุดสูงสุดครั้งที่สอง ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงความหนักหน่วงที่เอ่อท้นและการปลดปล่อยอย่างเต็มที่
“โอบกอดความฝันแรกเอาไว้สุดกำลัง
จะไม่ยอมแพ้อยู่กลางทาง
จะออกไปขวนขวายไขว่คว้าจนได้มา…”
ดนตรีในท่อนสุดท้ายลากยาวอ้อยอิ่ง ประดุจกำลังหยุดลงเพียงเล็กน้อยเพื่อขึ้นท่อนต่อไป ซย่าฝานใช้สองมือจับไมโครโฟน
ในตอนนั้นกล้องทุกตัวพลันสั่นสะเทือน!
บนฟ้าประกายแสง ไล่ตามร่างบนเวที สุดท้ายแล้วก็ไปหยุดอยู่ที่ข้อนิ้วซีดเผือดของซย่าฝานซึ่งกำไมโครโฟนไว้แน่น
ร่างของเธอซึ่งโน้มไปด้านหลังเล็กน้อย
เสียงเพลงแจ่มชัดและเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตราวกับพังทลายทุกสิ่ง เสียงเพลงประดังถั่งโถมเฉกเช่นเกลียวคืนซัดสาด ดังก้องกังวานเวียนวนอยู่ในห้องส่ง จนทุกคนรู้สึกราวกับว่าตนกำลังอาบแสงตะวันอุ่น ร่างกายเริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ!
ดึงดันมุ่งมั่น!
ชัดเจนละเอียดลออ!
ท้ายที่สุดสายตาของซย่าฝานก็ไปหยุดที่กลางอากาศ จากนั้นเสียงสูงเกินคาดฝันก็สะเทือนทั้งห้องส่ง นี่ก็คือจุดที่สูงสุดของอารมณ์ในเพลงนี้ “โอบกอดความฝันแรกอย่างไรต้องไปหา เป็นจริงดั่งใจปรารถรถนา สยายปีกโบยบินสู่ท้องนภา~~~~~”
แปะๆๆๆ!
แทบจะทันทีที่บทเพลงจบลง
คณะกรรมการก็พลันลุกขึ้นยืน!
ผู้ชมนับไม่ถ้วนด้านล่างเวทีก็ปรบมือส่งเสียงกู่ก้อง ราวกับการตอบสนองของเสียงสะท้อน ชั่วขณะแสงไฟเคลื่อนไป ผู้ชมบางคนก็ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน!
“กล้องเบอร์สาม!”
ผู้กำกับด้านหลังเวทีก็เสียสติไปแล้วเช่นกัน เขาไม่ได้สนใจว่าเวทีนี้จะเละหรือไม่ แทบจะตะโกนไปตามสัญชาตญาณพร้อมกับซย่าฝาน โบกไม้โบกมือชี้นิ้วสั่งงานเจ้าหน้าที่ทุกคน
“ด้านซ้ายเปิดตามนักร้องไปเลย!”
“ไฟทุกดวงตามไป!”
“ตามปฏิกิริยาของผู้ชมด้วย!”
“โคลสอัปคณะกรรมการสี่คน!”
“ฉันอยากให้เห็นสีหน้าของพวกเขา! สีหน้า!”
“…”
กล้องแพนไป
คณะกรรมการท่าทางพิลึก
แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ตื่นเต้นเหมือนกัน!
ยามที่คณะกรรมการทั้งสี่ท่านเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน สีหน้าก็เกินจริงเหมือนกัน พวกเขาลืมรักษาภาพลักษณ์ไปเสียสนิท ถึงขั้นที่ชวนให้นึกโยงไปถึงทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด อารมณ์ของฝูงชนแทบระเบิดไปพร้อมกัน
“แม่เจ้าโว้ย!”
“นี่มันอะไรกันเนี่ย!”
“บ้าไปแล้ว!”
“อ๊ากกกกกก!”
ชั่วขณะนั้นสมองของทุกคนว่างเปล่า ราวกับหลงลืมทุกอย่างแล้วว่ายวนอยู่ในห้วงมหรรณพของบทเพลงนี้ ผู้ชม
ด้านล่างเวทีแทบกู่ร้องออกมาตามกันอย่างบ้าคลั่ง ท่าทางประหนึ่งว่าต่อให้มีหน้าผาอยู่ตรงหน้า ฉันก็กล้ากระโดดอย่างไรอย่างนั้น!
บ้างก็โบกกำปั้นสุดแรงเกิด!
บ้างก็ปรบมือพลางส่งเสียงเชียร์!
ถังเยวี่ยซึ่งอยู่ด้านหลังเวทีถลึงตาโต แทบลืมหายใจไปแล้ว และด้านข้างของเธอ สีเหม่ยถอยหลับไปก้าวหนึ่งอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ก่อนจะร้องออกมา รองเท้าส้นสูงของเธอ ส้นหักเสียแล้ว
มีเพียงคนเดียว
ซึ่งยังนับว่าสุขุมเยือกเย็น
คนคนนั้นก็คือจ้าวเจวี๋ย
จ้าวเจวี๋ยถึงกับผุดรอยยิ้มพราย จู่ๆ บทสนทนาของตนกับซย่าฝานก็วนซ้ำในสมองของเธอ และในความจริงแล้วบทสนทนานี้แสนเรียบง่าย
‘ทำไมจะเปลี่ยนเพลงล่ะ’
‘เพราะเป็นเพลงของเซี่ยนอวี๋ค่ะ’
……………………………………………….