Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 189 แล้วยังไงล่ะ
ตอนที่ 189 แล้วยังไงล่ะ
ชื่อเรื่องสุดแสนจะธรรมดา
ทว่านิยายสั้นไม่จำเป็นต้องตั้งชื่อที่อลังการเกินไป สิ่งที่เว่ยหลงสนใจก็คือเนื้อหา หลังจากผ่านความผิดหวังมาหลายต่อหลายครั้ง ตอนนี้เว่ยหลงหวังเพียงว่าต้นฉบับของฉู่ขวงจะรักษามาตรฐานเดิมดังที่ผ่านมา
ขอแค่รักษามาตรฐานเดิมดังที่ผ่านมา
ฉู่ขวงก็เป็นแม่ทัพใหญ่คนหนึ่ง!
ทางบล็อกแม้จะมีเฝิงหวามาร่วมทัพ แต่ถ้ามาตรฐานโดยภาพรวมของทางปู้ลั่วไม่เลว ก็ใช่ว่าจะไม่มีแรงสู้เลย เพราะถึงอย่างไรผู้ที่ชื่นชอบนิยายสั้นก็ไม่ได้อ่านกันแค่เรื่องเดียว นี่เป็นสิ่งเดียวที่เว่ยหลงสามารถใช้ปลอบใจตนเองได้
เขากดเปิดไฟล์
และเริ่มต้นอ่าน
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นจากมุมมองของหญิงสาวแสนสวยแต่มีฐานะยากจน และเพราะความยากจนนี้เอง เธอจึงแต่งงานกับเสมียนคนหนึ่งซึ่งฐานะไม่สู้ดีนักเช่นเดียวกัน สองสามีภรรยาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างอัตคัด
หญิงสาวนิยมในวัตถุ
เพราะบ้านของตนซอมซ่อ ฝาผนังผุพัง เครื่องเรือนเก่าคร่ำคร่า เสื้อผ้าเนื้อหยาบเรียบง่าย เธอมักรู้สึกเศร้าหมอง ใฝ่ฝันว่าตนได้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา มีคนใช้นับไม่ถ้วนคอยรับคำสั่งดังใจ มีอาหารเลิศรสให้ลิ้มลองไม่มีวันหมด…
เว่ยหลงจมอยู่ในห้วงความคิด
เขาพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าเป้าหมายของเรื่องนี้น่าจะวนเวียนอยู่กับสิ่งของอันเป็นที่มาของชื่อเรื่อง และนี่ก็สอดคล้องกับแนวทางเรื่องสั้นก่อนหน้านี้ของฉู่ขวง เขาชอบหยิบเรื่องสั้นมาใช้ในเชิงเสียดสี และนี่คือความโดดเด่นในสายตาของเว่ยหลง ความคาดหวังของเขาได้ถูกดึงให้สูงขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาอ่านต่อ
ในวันนี้
สามีหยิบบัตรเชิญมาอวดให้ภรรยาดูด้วยความภาคภูมิใจ ‘รัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เชิญนายหวังและคุณนายหวัง เข้าร่วมงานเลี้ยงซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 18 มกราคม ณ อาคารสำนักงานใหญ่’
นายหวังคิดว่าภรรยาจะต้องดีใจ นี่เป็นบัตรเชิญที่ทุ่มเทพยายามไปมากกว่าจะได้มา
เพื่อนร่วมงานในกระทรวงศึกษาธิการมีตั้งมาก แต่กลับไม่มีใครได้รับบัตรเชิญจากรัฐมนตรีเลยสักคน
แต่กระนั้น ภรรยากลับเดือดดาลขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
อย่างน้อยเสมียนซึ่งทำงานในกระทรวงศึกษาธิการเช่นเขาก็ไม่เข้าใจว่าภรรยาโกรธเคืองเรื่องอะไร
ในความจริงแล้ว คุณนายหวังรู้สึกว่า ตนไม่มีเสื้อผ้าที่ดีพอจะสวมใส่ไปร่วมงานเลี้ยงหรูในครั้งนี้
‘สิ่งที่หน้าอับอายที่สุดบนโลกนี้ ก็คือการแลดูยากจนท่ามกลางสตรีผู้มีฐานะ’
นี่เป็นคำอธิบายของคุณนายหวัง
นายหวังจนปัญญา ทำได้เพียงต่อรองปันเงินก้อนหนึ่งออกมา เพื่อให้ภรรยาซื้อเสื้อผ้าที่เหมาะสมสักตัว
ภรรยากล่าว ‘สี่ร้อยหยวนก็พอให้ฉันมีเสื้อผ้าดีๆ สักชุดแล้ว’
สีหน้าของนายหวังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เพราะเขากำลังเก็บเงินจำนวนดังกล่าวเตรียมไว้สำหรับซื้อปืน เพื่อที่ตนจะได้ไปล่านกในที่ราบกับเพื่อนๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ของฤดูร้อนปีนี้
“สี่ร้อยหยวน?”
เว่ยหลงลองคำนวณคร่าวๆ ในใจ จากนั้นก็พอจะประเมินค่าของเงินทองซึ่งสอดคล้องกับมูลค่าสินค้าในยุคนั้นได้
นิยายของฉู่ขวง ถึงแม้จะไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นยุคใดสมัยใด แต่เมื่ออ่านจากรายละเอียดของเรื่อง ก็จะพอคาดคะเนได้เสมอ
เพียงแต่ว่า…
คุณนายหวังออกแนววัตถุนิยมเกินไปหรือเปล่านะ?
คุณนายหวังเริ่มเข้าขั้นยึดติดกับคุณค่าทางวัตถุ เพราะนั่นคือสิ่งที่เหมาะสมในสายตาของคุณนายหวัง หลังจากที่เธอสั่งตัดชุดมาแล้ว ก็ถึงขั้นไปหาเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีฐานะมั่งคั่ง เพื่อขอยืมสร้อยคอมาเส้นหนึ่ง——
นี่เป็นสร้อยคอเส้นหนึ่งซึ่งร้อยขึ้นจากเพชร
ในสายตาของคุณนายหวัง สายสร้อยเส้นนี้งดงามเกินพรรณนา ที่แท้นี่ก็เป็นที่มาของชื่อเรื่อง
สร้อยคอ
เว่ยหลงอดนึกโยงไปถึงคำศัพท์ที่นิยมใช้กันทุกวันนี้ไม่ได้ คำนั้นคือ ‘ผู้หญิงหน้าเงิน’
จะว่าไปแล้ว
นายหวังเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่
ในตัวมีเงินอยู่แค่สี่ร้อยหยวนแท้ๆ แต่กลับคิดเพียงว่าจะไปซื้อปืนมาล่าสัตว์ ไม่ได้คิดจะเก็บเงินไว้เพื่อให้มีชีวิตที่สุขสบายขึ้นมาสักหน่อย…
กลับมาย้อนอ่านเนื้อเรื่องก่อนหน้า
สามีภรรยาคู่นี้ยังถึงขั้นจ้างคนใช้ไว้คนหนึ่งด้วย
พวกเขาใช้ชีวิตด้วยความขัดสน แต่ยังจ้างคนใช้อีก?
แสร้งทำเป็นหน้าใหญ่ใจโต
ไม่มีจะกินได้ แต่เสียหน้าไม่ได้
นี่เป็นความรู้สึกของเว่ยหลงในตอนนี้ และนั่นทำให้เขานึกถึงเรื่องของขวัญแห่งเมไจขึ้นมา
ตัวละครเป็นคู่สามีภรรยาเหมือนกัน
แต่สามีภรรยาคู่นั้น ทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างยินดีเสียสละวัตถุที่มีคุณค่ากับตน ซึ่งตรงข้ามกับสามีภรรยาสกุลหวังอย่างสิ้นเชิง!
ฉู่ขวงจะเสียดสีอย่างไรล่ะทีนี้
จะให้ฝ่ายหญิงไปพบกับรัฐมนตรีผู้เปี่ยมไปด้วยทรัพย์ศฤงคารที่งานเลี้ยง จากนั้นก็ทิ้งฝ่ายชาย?
หรืออาจมีการหักมุมอีก
รัฐมนตรีเบื่อหน่ายฝ่ายหญิง จึงทอดทิ้งเธอ และฝ่ายหญิงทำได้เพียงซมซานกลับมาอยู่กับเสมียน…
ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ก็ออกจะขาดความน่าสนใจไปหน่อย
เว่ยหลงรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
นี่เป็นความเคยชินที่ผู้อ่านนิยายหลายคนมี นั่นก็คือคิดเชื่อมโยงต่อไปถึงเรื่องราวหลังจากนั้นโดยไม่รู้ตัว
ในตอนนี้
งานเลี้ยงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
คุณนายหวังทำตามความปรารถนาได้สำเร็จ
เธองดงามกว่าแขกเหรื่อซึ่งเป็นหญิงสาวทุกคน ทั้งทันสมัยและดึงดูดสายตา เธอคลี่ยิ้มตลอดเวลา ในใจเต็มตื้นจนแทบคลั่ง
แขกซึ่งเป็นผู้ชายล้วนมองเธออย่างเคลิบเคลิ้ม ไต่ถามถึงชื่อเสียงเรียงนามของเธอ และพยายามปรี่เข้ามาแนะนำตัวต่อหน้าเธอ
เจ้าหน้าที่ของสำนักงานใหญ่ล้วนอยากเต้นรำกับเธอ รัฐมนตรีก็มองมาที่เธอเช่นกัน
เธอเต้นรำด้วยท่วงท่าชวนหลงใหล และเคลื่อนไหวด้วยท่าทางชวนตะลึง เธอเมามายอยู่ในความสุขสม ดื่มด่ำกับชัยชนะด้านรูปลักษณ์ ดื่มด่ำในผลสำเร็จอันรุ่งโรจน์ ยามนี้เธอถูกโอบล้อมไว้ด้วยความสุข
กระนั้น เมื่อม่านของงานเลี้ยงเต้นรำจบลง เธอก็จำต้องหวนคืนสู่ร่างเดิม
ชีวิตของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะเรื่องนี้ ความรุ่งโรจน์ของค่ำคืนนี้ก็คงจะอยู่เพียงในความทรงจำของเธอเท่านั้น
เธอกับสามีเรียกรถคันเก่าและแคบท่ามกลางลมหนาว กลับไปถึงบ้าน
เธอจำต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอีกครั้ง
แต่สิ่งที่โหดร้ายกว่าภาพตรงหน้านั้นได้เกิดขึ้นแล้ว
สร้อยคอเส้นนั้นหายไปแล้ว!
นี่เป็นจุดหักเหของเรื่องราวทั้งหมด
ในตอนนี้เว่ยหลงถึงค้นพบความหมายที่แท้จริงของชื่อเรื่องสร้อยคอ
“ชักน่าสนใจแล้วสิ…”
แววตาของเว่ยหลงเป็นประกาย!
ไม่ใช่พล็อตเรื่องขัดศีลธรรมของสถาบันครอบครัวอย่างการนอกใจหรือทรยศหักหลัง
สิ่งที่ฉู่ขวงเขียน เป็นไปได้มากว่าจะเป็นราคามหาศาลที่สองสามีภรรยาคู่นี้ต้องจ่ายสำหรับความฟุ้งเฟ้อเพียงชั่วข้ามคืน!
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น
ราคาที่ว่านี้ก็คือสร้อยคอราคาสี่หมื่นหยวน!
โดยเฉพาะหลังจากที่เว่ยหลงนึกโยงไปถึงมูลค่าของสินค้าในยุคสมัยนั้น ก็ยิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า สี่หมื่นหยวนสำหรับสองสามีภรรยาสกุลหวังแล้วเรียกได้ว่าเป็นจำนวนเงินมหาศาล!
ทำยังไงต่อล่ะ
เว่ยหลงนึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา
บางทีสองสามีภรรยาอาจไม่ยอมจ่ายหนี้…บางทีทั้งคู่อาจหาของปลอมมาคืน…บางทีอาจต้องขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะเรื่องนี้
ปรากฏว่าไม่ใช่เลยสักอย่าง
สองสามีภรรยาคู่นี้ ถึงกับซื้อสร้อยคอแบบเดียวกันสีเหมือนกันกลับไปคืน
ชั่วขณะนั้นเว่ยหลงรู้สึกนับถือสองสามีภรรยาสกุลหวังขึ้นมา
เขาถึงขั้นตระหนักได้ว่า
ต่อให้ยึดติดกับวัตถุนิยม ก็ไม่อาจตัดสินคุณธรรมของคนคนหนึ่งได้ เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา สองสามีภรรยาสกุลหวังเลือกที่จะเผชิญหน้า
แม้ว่าราคาที่ต้องจ่ายจะมากเกินแบกรับก็ตามแต่
เพื่อที่จะซื้อสร้อยคอเส้นนั้นกลับมาคืนเจ้าของ นายหวังไปหยิบยืมเงินมานับไม่ถ้วน แทบจะแลกไปด้วยครึ่งชีวิตของเขา หนำซ้ำเขาและภรรยายังต้องงัดเอาความกล้าหาญทั้งหมดที่มีออกมา
เขาตัดสินใจว่าจะใช้หนี้คืนให้หมดโดยไม่เหลือแม้แต่หยวนเดียว!
คุณนายหวังได้พบกับชีวิตที่ขัดสนอย่างแท้จริง
สองสามีภรรยาที่น่าสงสารคู่นี้ไล่สาวใช้ออก ย้ายบ้าน และเช่าห้องใต้หลังคาบนตึกที่ไหนสักแห่ง
เธอเริ่มทำงานบ้านทั้งหนักเบาหลายประเภท
เธอล้างชาม ใช้ปลายนิ้วเรียวสีกุหลาบเหล่านั้นถูก้นหม้อมันเยิ้ม
ชุดชั้นในและผ้าขี้ริ้วเธอก็ล้วนใช้สบู่ซัก และแขวนตากบนราวเชือก
ทุกวันจะตื่นแต่เช้า หิ้วขยะลงมาชั้นล่าง แล้วยกน้ำขึ้นชั้นบน ทุกครั้งที่เธอเดินเสร็จหนึ่งรอบ ก็ต้องนั่งลงที่บันไดเพื่อหายใจ นอกจากนั้นแล้วยังสวมชุดที่แลดูเหมือนชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป
เธอเดินเข้าไปในร้านขายผัก ร้านขายของชำ หรือร้านขายเนื้อพร้อมกับตะกร้า บากหน้าต่อราคาจนโดนดุด่ากลับมา ทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเศษเงินอันน้อยนิดจนน่าเวทนาเหล่านั้น
แต่ละเดือนต้องจ่ายหนี้ตามสัญญา อีกด้านหนึ่งก็เปิดสัญญากู้ฉบับใหม่เพื่อนำไปทบกับของเดิมเพื่อยืดเวลา
สามีของเธอจะคัดลอกบัญชีให้พ่อค้าคนหนึ่งทุกเย็น และมักล่วงเลยจนมืดค่ำ เขายังต้องคัดลอกหนังสือซึ่งราคาเพียงหน้าละห้าเจี่ยว
ชีวิตแบบนี้ดำเนินไปเป็นเวลานานสิบปี
ใช่แล้ว
ค่ำคืนนั้นของคุณนายหวังสว่างไสวโชติช่วง แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็คือภาวะกดดันทางการเงินอันหนักอึ้งดั่งตกนรกทั้งเป็น!
คุณนายหวังคล้ายกับทรุดโทรมและแก่ลง
ยามนั้น เธอกลายเป็นแม่บ้านซึ่งจำต้องอดทนต่อความยากลำบาก เพราะฐานะทางครอบครัวยากจน
ผมเผ้าของเธอยุ่งเหยิง กระโปรงของเธอผูกไว้อย่างบิดเบี้ยว เผยให้เห็นมือเรียวแดงก่ำ ตะโกนเสียงดัง ขัดพื้นอยู่ข้างอ่างน้ำใบใหญ่
แต่บางครั้งสามีของเธอไปทำงาน เธอยืนอยู่ที่หน้าต่างเพียงลำพัง หวนนึกถึงงานเลี้ยงในวันนั้น
งานเลี้ยงเต้นรำนั้น ณ ที่แห่งนั้น รูปลักษณ์อันงดงามและความสุขของเธอในช่วงเวลานั้น
ถ้าหากตอนนั้นเธอไม่ได้ทำเครื่องประดับหายไป ตอนนี้ชีวิตของเธอคงเดินไปไกลแค่ไหนแล้วก็ไม่อาจรู้ได้
ใครจะรู้ล่ะ
จนถึงตอนนี้เรื่องราวยังคงไม่จบลง เว่ยหลงกับรู้สึกหวนระลึกไม่สิ้นสุด เขารู้สึกว่านี่เป็นนิยายสั้นที่เยี่ยมยอดมากเรื่องหนึ่ง
ฉู่ขวงยังคงเป็นฉู่ขวง
เขาใช้สร้อยคอเส้นเดียว งานเลี้ยงงานเดียว ขีดร่างเป็นความทุกข์ตรมครึ่งชีวิตของคู่รักอายุน้อยคู่หนึ่ง
“วัตถุนิยมและความฟุ้งเฟ้อเกินตัว มีราคาที่ต้องจ่ายมากมายเหลือเกิน”
เว่ยหลงรู้สึกสะท้อนใจอยู่หลายครั้ง
และขณะที่กำลังทอดถอนใจ เว่ยหลงก็กวาดตาอ่านเนื้อเรื่องที่เหลือ
เดิมทีเขาคิดว่า เรื่องราวหลังจากที่สองสามีภรรยาข้ามผ่านความยากลำบากมาตลอดสิบปี ก็นับเป็นอันจบบริบูรณ์
แต่ว่า…
เห็นทีจะไม่ใช่แบบนั้น
คุณนายหวังได้พบกับเพื่อนสนิทซึ่งเธอไปขอยืมสร้อยคอ อีกฝ่ายยังคงงามสะคราญเฉกเช่นเมื่อสิบปีก่อน
ทว่าในตอนนี้ คุณนายหวังได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเพราะความลำบากตรากตรำตลอดสิบปีที่ผ่านมา ถึงขั้นที่เพื่อนสนิทจำไม่ได้
ทั้งสองเอ่ยทักทายกัน
เพื่อนสนิทอดรู้สึกตะลึงงันไม่ได้ ในเวลาเพียงสิบปี เพราะเหตุใดคุณนายหวังถึงเปลี่ยนไปมากถึงขนาดนี้
คุณนายหวังจึงเล่าต้นสายปลายเหตุด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ใครจะรู้ว่านั่นทำให้เพื่อนสนิทยิ่งตกใจเข้าไปอีก เธอดึงมือของคุณนายหวังมา กล่าวว่า ‘อนิจจัง เพื่อนที่น่าสงสารของฉัน เธอคงไม่รู้ว่าสร้อยคอเพชรเส้นนั้นของฉันเป็นของปลอม ราคาอย่างมากก็แค่ห้าร้อยหยวน!’
เรื่องราวจบลงเพียงเท่านี้
ทว่าเว่ยหลงซึ่งนั่งตรวจต้นฉบับอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ กลับประหนึ่งถูกฟ้าผ่าแสกหน้า พานให้สมองมึนงงไปหมด!
ของปลอม…
สร้อยคอเป็นของปลอม!
ดังนั้นที่สามีภรรยาสกุลหวังทำงานหนักแทบขาดใจ พยายามอย่างหนักเพื่อชดใช้หนี้ แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงความเข้าใจผิด!
เมื่อกระจ่างในเรื่องนี้แล้ว เว่ยหลงก็พลันรู้สึกสมองชาวาบ!
เขาลุกพรวดขึ้นมา จนเก้าอี้ซึ่งอยู่ด้านหลังของเขาล้มหงายลงไปเพราะแรงกระแทก
“ตึง”
เก้าอี้กระเด็นไปไกลหนึ่งเมตร เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนในแผนกนับไม่ถ้วน หรือแม้แต่ฮั่นจี้เหม่ยที่อยู่ในห้องทำงานก็ยังอดไม่ได้ ต้องผลักประตูออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก
เมื่อมีคนกำลังจะเข้าไปถามเว่ยหลงด้วยความเป็นห่วง จู่ๆ เว่ยหลงก็ตะโกนออกมาเต็มเสียง เสียงนี้ดังก้องไปทั่วทั้งแผนก
“สามอาชาไนยแล้วยังไงล่ะ!”
…………………………………………………………