Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 269 ผมมีเรื่องเล่า คุณมีเบียร์ไหมล่ะ
- Home
- Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
- ตอนที่ 269 ผมมีเรื่องเล่า คุณมีเบียร์ไหมล่ะ
ตอนที่ 269 ผมมีเรื่องเล่า คุณมีเบียร์ไหมล่ะ
ในตอนนี้ ฮ็อตเสิร์ชอันดับหนึ่งบนปู้ลั่วก็คือ #เฟ่ยหยางอันดับสองซ้ำสอง
เมื่อได้รับอานิสงค์จากฮ็อตเสิร์ช จำนวนแฟนคลับที่ติดตามในวันนี้จึงเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย คอมเมนต์ก็เพิ่มขึ้นอย่างเหลือเชื่อ เพียงแต่ว่า…
เฟ่ยหยางเลื่อนอ่านคอมเมนต์บนปู้ลั่วด้วยความปวดใจ มุมปากกระตุกเล็กน้อย
‘คารวะรุ่นที่สอง!’
‘จู่ๆ ก็มีผู้สานต่อปณิธานอันดับสอง!’
‘เฉินจื้ออวี่: พี่ชาย ข้าขอฝากเรื่องนี้ให้เจ้าสานต่อ’
‘เซี่ยนอวี๋: รีบร้อนไปไย นี่เพิ่งครั้งที่สอง’
‘ราชาเพลงเฟ่ยจะเป็นลูกคนรองตลอดกาลคนใหม่เหรอเนี่ย’
‘เอาสิ เฉินจื้ออวี่ร้ายนะเนี่ย! ครั้งก่อนได้อันดับหนึ่ง ถึงกับแอบมอบสายสะพายอันดับสองให้ราชาเพลงเฟ่ยซะได้!’
‘บริษัทผลิตเบ็ดตกปลา: ราชาเพลงเฟ่ย เฉินจื้ออวี่หมดสัญญาในฐานะพรีเซนเตอร์แล้ว เราลองพิจารณากันแล้ว คิดว่าคุณเหมาะสมกับการเป็นพรีเซนเตอร์เบ็ดตกปลาคนใหม่ของเรามากที่สุด!’
‘…’
เฟ่ยหยางอยากจะบอกว่า ฮ็อตเสิร์ชแบบนี้ เขายอมไม่ติดอันดับหนึ่งก็ได้นะ
ขณะเดียวกันนั้นเอง
เฉินจื้ออวี่ก็กำลังแอบส่องพื้นที่แสดงความคิดเห็นของเฟ่ยหยางอยู่ที่บ้านเช่นเดียวกัน ในใจย่อมรู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาขึ้นมา
แต่ถ้าหากไม่ใช่เพราะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่ สีหน้าของเขาคงสมจริงยิ่งกว่านี้
ทว่าความรู้สึกของเขานั้นเป็นเรื่องจริง เพราะบนโลกนี้ มีเพียงเฉินจื้ออวี่ที่เข้าใจความรู้สึกในตอนนี้ของเฟ่ยหยางได้ดีที่สุด
เฉินจื้ออวี่ส่ายหน้า
เฉินจื้ออวี่เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “กลายเป็นประเด็นร้อนบนอินเทอร์เน็ตน่ากลัวจริงๆ…ยังดีที่ฉันเป็นแค่ต้นเหตุ”
อืม…
เขาเปิดแอคหลุม พิมพ์เลข 2 ส่งให้เฟ่ยหยาง
หลิวโหมวผู้จัดการมองไปยังเฉินจื้ออวี่ “มีเรื่องอะไรแบบนี้จริงหรือ”
“อะไรครับ”
“ปณิธานของอันดับสอง”
เฉินจื้ออวี่ถลึงตาใส่ “สองอะไรกันล่ะครับ ผมน่ะไม่ใช่ลูกคนรองตลอดกาลอีกแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผม!”
หลิวโหมวลอบหัวเราะ จากนั้นก็เอ่ยเตือนอย่างเสียไม่ได้ “นายก็อย่าเผลอมือลั่นไปกดไลก์ซะล่ะ”
“ถึงผมจะอยากทำแบบนั้นก็เถอะ…”
เฉินจื้ออวี่พูด “เรื่องแบบนั้นก็มีไม่ใช่เหรอครับ บัญชีถูกแฮ็กอะไรทำนองนี้…”
ใช้แอคหลุมกดไลก์คงไม่นับว่ากดไลก์ใช่ไหม
ผู้จัดการกลอกตา
เฉินจื้ออวี่ฮัมเพลง ให้อาหารปลาของตนต่อไป
หลิวโหมวกล่าวด้วยความสงสัย “นายบอกฉันมา ว่าได้ซื้อหรือเปล่า”
เฉินจื้ออวี่เหลือบมองซ้ายขวา ก่อนจะลอบยกนิ้วหนึ่งขึ้นมาอย่างมีลับลมคมใน
หลิวโหมวชะงักไป “แค่พันเดียวเองเหรอ น้อยกว่าฉันอีก ฉันซื้อไปตั้งแปดพัน!”
เฉินจื้ออวี่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ครับ เงินในบัตรใบนั้น 34,580 หยวน ผมใช้ไปหมดเลย”
หลิวโหมวมองเฉินจื้ออวี่ราวกับกำลังมองไอ้งั่งสักคน “งั้นทำไมนายยกหนึ่งนิ้วล่ะ”
หลิวโหมวถอนหายใจ
ก่อนจะกล่าวต่อไป ในน้ำเสียงแฝงความหดหู่ “งั้นนายก็เสียมากกว่าฉันน่ะสิ เฮ้อ ต่อไปพวกเราก็อย่าเล่นอะไรแบบนี้อีกเลยจะดีกว่า เอาแน่เอานอนไม่ได้ เรามีแต่จะต้องควักเนื้ออีก”
“หืม?”
เฉินจื้ออวี่เอ่ยอย่างแปลกใจ “อย่านับรวมผมได้ไหมล่ะ ผมยกหนึ่งนิ้วก็เพราะอยากบอกว่า ผมซื้อเซี่ยนอวี๋อันดับหนึ่ง”
หลิวโหมว “…”
เฉินจื้ออวี่หัวเราะชอบใจ พลางเอ่ย “ตอนนั้นผมอยากซื้อเฟ่ยหยาง แต่จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ขึ้นมา รู้สึกว่าหนาววาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมเลยซื้ออาจารย์เซี่ยนอวี๋ซะเลย”
หลิวโหมวไม่อยากคุยกับเฉินจื้ออวี่อีก
ผ่านไปสักพัก ผู้จัดการก็เหลือบมองไปยังปลาในตู้ปลา ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ปลาตัวนี้ถูกปรนนิบัติพัดวีดีจริงๆ เลยนะ ฉันเองก็อยากเลี้ยงบ้าง มีไอเดียอะไรไหม”
“จัดไปสิครับ รออะไร”
เฉินจื้ออวี่พูดอย่างช่ำชอง “ก่อนอื่นต้องรักษาคุณภาพน้ำ ถ้าคุณภาพน้ำไม่ดี ปลาก็จะป่วยได้ ดังนั้นจะต้องเปลี่ยนน้ำตามเวลาที่กำหนด ทางที่ดีเปลี่ยนน้ำทุกสัปดาห์ แต่ละครั้งเปลี่ยนน้ำแค่หนึ่งในสี่ น้ำที่ดีที่สุดเวลาเปลี่ยนคือน้ำที่รองทิ้งไว้ ถ้ารองทิ้งไว้ไม่ได้ก็ใส่ออกซิเจนไว้สองชั่วโมง หรือไม่ก็เอาไปใส่เครื่องกรองน้ำ อย่างปลาตะพัดของผม ถ้าจะให้มีสีต้องขึ้นอยู่กับอาหารที่ให้ด้วย อีกอย่างคืออุณหภูมิของตู้ปลาควบคุมไว้ที่ 24-28 องศาจะดีที่สุด ปลาจะเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิประมาณนี้…”
หลิวโหมวมองไปอย่างเฉินจื้ออวี่ซึ่งกำลังพูดเจื้อยแจ้วด้วยสายตาแปลกชอบกล
ถ้าไม่บอก ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าเฉินจื้ออวี่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงปลา ไม่ใช่นักร้องแถวหน้าในวงการอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยถามขึ้น “จื้ออวี่ นายรู้เรื่องปลาดีขนาดนี้ได้ยังไง”
“…”
เฉินจื้ออวี่เงียบลงทันใด
ผมมีเรื่องเล่า คุณมีเบียร์ไหมล่ะ
……
คงจะเป็นกึ่งการเฉลิมฉลอง ที่เพลงตะวันฉายคว้าอันดับหนึ่งในฤดูกาลเพลงนี้ได้ ตกเย็นหลินเยวียนจึงพาผู้จัดการจินมู่ ไปยังร้านหม้อไฟของซุนเย่าหั่ว
ร้านเยี่ยนเยี่ยนหม้อไฟ
ซุนเย่าหั่วยืนรออยู่ที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เห็นหลินเยวียนลงจากรถ ก็วิ่งเหยาะมาแต่ไกล “รุ่นน้อง เตรียมห้องส่วนไว้แล้ว อีกอย่างฉันยังให้พนักงานเตรียมวัตถุดิบสดใหม่ไว้ให้ด้วย นายลองดู!”
“ขอบคุณครับรุ่นพี่”
หลินเยวียนก็แนะนำจินมู่ให้ซุนเย่าหั่วรู้จัก “อาจินเป็นผู้จัดการของผม รู้จักกันไว้ครับ”
“อาจินสวัสดีครับ!”
ซุนเย่าหั่วเอ่ยทักทายอย่างยิ้มแย้ม “ในเมื่อเป็นคนสนิทของรุ่นน้อง ผมจะให้บัตรสมาชิกกับอาจินไว้นะครับ ต่อไปมากินลดไปเลยห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
“ขอบคุณครับ!”
อาจินประหลาดใจระคนเก้อเขิน
ไม่นานพวกเขาก็เดินเข้าไปในร้านหม้อไฟ เมื่อเดินเข้าไป จินมู่ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย “ร้านหม้อไฟของเถ้าแก่ซุนขายดีจังเลยนะครับ!”
นี่ไม่ใช่คำพูดตามมารยาท
เห็นว่าในร้านเยี่ยนเยี่ยนหม้อไฟ ร้านซึ่งเดิมทีกว้างขวางก็แลดูแน่นขนัดขึ้นถนัดตา พนักงานทุกคนต่างวิ่งวุ่นตัวเป็นเกลียว เห็นได้ชัดว่าในร้านนั้นยุ่งเหลือเกิน กิจการกำลังเฟื่องฟู!
นอกจากนั้น
หน้าประตูร้าน ก็ยังมีแถวอีกยาวเหยียด ม้านั่งสำหรับรอคิวหน้าร้านมีคนนั่งจนเต็ม ผู้คนเหล่านี้ต่างมารับบัตรคิว และกำลังรอโต๊ะว่าง
กินหม้อไฟมาก็ไม่น้อย
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จินมู่ได้เห็นร้านหม้อไฟที่คึกคักถึงขนาดนี้ ร้านหม้อไฟเช่นนี้จะต้องโกยรายได้เป็นกอบเป็นกำทุกวันอย่างแน่นอน
“เพราะวันนี้ที่ร้านลด 70% น่ะครับ!”
ซุนเย่าหั่วกล่าวกลั้วหัวเราะ “แน่นอนว่าปกติกิจการก็ไม่ได้แย่ ก่อนหน้านี้ผมเขียนในปู้ลั่วแล้ว ว่าถ้าเพลงรุ่นน้องได้อันดับหนึ่ง ร้านหม้อไฟของผมจะลด 70% ปรากฏว่ามีหลายคนเข้ามาถามที่อยู่ร้าน แขกเยอะจนผมรองรับไม่ไหว คืนนี้ร้านหม้อไฟของผมเลยต้องเปิดทั้งคืนจนถึงพรุ่งนี้”
จะว่าไป
ไม่ใช่เพราะหัวการค้าอะไร เดิมทีซุนเย่าหั่วแค่คิดอยากเอาใจหลินเยวียน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ร้องเพลงของรุ่นน้อง แต่เขามีความรู้สึกที่ดีต่อรุ่นน้อง จึงคอยสนับสนุนจากใจจริง
ทว่าสิ่งที่ซุนเย่าหั่วนึกไม่ถึงเลยก็คือ…
ทันทีที่ปล่อยกลยุทธ์นี้ออกมา ร้านหม้อไฟของตนก็ดังเป็นพลุแตก ถึงขั้นที่คนเมืองอื่นต้องอุตส่าห์เดินทางมากินถึงเมืองซู!
นอกจากนี้
ยังมีนักธุรกิจอีกหลายคนมาหาซุนเย่าหั่วถึงที่เพื่อขอร่วมถือหุ้น และทำให้แบรนด์เยี่ยนเยี่ยนหม้อไฟแข็งแกร่งขึ้น ทว่าซุนเย่าหั่วก็ปฏิเสธไป
ตนเปิดร้านหม้อไฟเพื่อรุ่นน้อง
ถ้าร้านหม้อไฟมีผู้ถือหุ้นเพิ่มเข้ามา ต่อไปรุ่นน้องกินแล้วไม่ชอบ หรือผู้ถือหุ้นปฏิบัติกับรุ่นน้องไม่ดีขึ้นมา ก็แย่น่ะสิ
ตนยังไม่ลืมเจตจำนงแรกหรอก!
แต่เมื่อเห็นว่ากิจการดีวันดีคืน ลูกค้าหลายคนก็ติดใจในรสชาติ ซุนเย่าหั่วเองก็เริ่มมีแผนการหลังจากนี้แล้ว
เขาเอ่ยว่า
“เดี๋ยวผมจะไปซื้อร้านหม้อไฟตรงถนนทางไปบริษัท เปลี่ยนให้เป็นรสชาติของเยี่ยนเยี่ยนหม้อไฟเรา นอกจากนั้น ทางนั้นยังมีหลายห้องที่ผมคิดว่าจะทำอย่างอื่น จะให้กินหม้อไฟบ่อยๆ ก็คงเบื่อแย่เลยใช่ไหมล่ะครับ แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังเกี่ยวกับที่ช่วงนี้ผมได้เงินมาอีกนิดหน่อย แหะๆ ไม่มีใครมือหนักเท่าผมแล้ว! พ่อเพลงก็พ่อเพลงเถอะ! พวกเขาจะไปรู้อะไร!”
จินมู่ “…”
เมื่อเห็นรอยยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยของซุนเย่าหั่ว จินมู่ก็เย็นวาบ รู้สึกว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน!
เขาวางเดิมพันไปเท่าไหร่กัน
แต่ร้านหม้อไฟนี้จัดการได้ดีมาก ทำให้จินมู่อดเอ่ยชมไม่ได้ และหลังจากนั้นก็เอ่ยถามอย่างห้ามไม่อยู่ “เถ้าแก่ซุนทำร้านอาหารมากี่ปีแล้วล่ะครับ ดูเป็นมือฉมังด้านร้านอาหารที่มีพรสวรรค์มากเลยนะครับเนี่ย!”
“อ๋า?”
ซุนเย่าหั่วมองจินมู่ ก่อนจะมองไปทางหลินเยวียนด้วยแววตายิ้มแย้ม จู่ๆ ก็มีสีหน้าเศร้าสลดขึ้นมา “ที่จริง ผมเป็นนักร้องน่ะครับ”
……………………………………………….