Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 306 เอฟเฟ็กต์อาจารย์เวอร์ชันอัปเกรด
- Home
- Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
- ตอนที่ 306 เอฟเฟ็กต์อาจารย์เวอร์ชันอัปเกรด
ตอนที่ 306 เอฟเฟ็กต์อาจารย์เวอร์ชันอัปเกรด
ไม่เพียงหลี่ลี่จื้อที่รู้สึกว่าหลินเยวียนเปลี่ยนไป หลินเยวียนเองก็พบว่าตนคล้ายกับมีบางอย่างเปลี่ยนไป
การเปลี่ยนแปลงโดยละเอียดนั้นเผยโฉมให้เห็นตั้งแต่เมื่อเขาเริ่มบรรยาย ในห้วงสำนึกของเขาปรากฏแนวทางในการสอนซึ่งออกแบบมาเพื่อหลี่ลี่จื้อโดยเฉพาะ
ก่อนหน้านี้ตอนที่หลินเยวียนสอนเซวียเหลียงและเฟิงซั่ว ตนค้นหาแนวทางในการสอนด้วยตนเอง จากนั้นค่อยใช้เอฟเฟ็กต์อาจารย์เสริมประสิทธิภาพ
ไม่มีแนวทางในการสอนอย่างชัดเจนหรอก
ทว่าในยามนี้ เอฟเฟ็กต์อาจารย์ของหลินเยวียนกลับปรากฏหมายเหตุเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งบรรทัด
[สอนตามความถนัดของผู้เรียน! แต่ละคนนั้นแตกต่างกัน! สำหรับนักเรียนแต่ละคน ควรใช้วิธีการสอนที่แตกต่างกัน]
ที่แท้นี่ก็เป็นวิธีใช้เอฟเฟ็กต์อาจารย์ที่ถูกต้องสินะ
ก่อนหน้านี้การใช้งานเอฟเฟ็กต์อาจารย์ออกจะลึกลับอยู่สักหน่อย นั่นก็คือการเพิ่มประสิทธิผลโดยประมาณและเรียบง่าย
ในตอนนี้เอฟเฟ็กต์อาจารย์กลับเพิ่มเทคนิคซึ่งปรับใช้ได้จริงบนพื้นฐานของความลึกลับซับซ้อนนี้
ต้องบอกก่อนว่า บางคนไม่ได้มีเอฟเฟ็กต์อาจารย์ ก็สามารถกลายเป็นอาจารย์ผู้เป็นที่นับหน้าถือตาได้ ก็เพราะพวกเขามีวิธีการสอนที่ดีมากพอ
และในตอนนี้ หลินเยวียนไม่ได้มีเพียงเอฟเฟ็กต์อาจารย์อันลึกล้ำ แต่ยังมีวิธีการสอนที่ระบบมอบให้อีกด้วย
แล้ววิธีการสอนซึ่งเหมาะสมกับหลี่ลี่จื้อคืออะไรน่ะหรือ?
สั้นๆ ง่ายๆ
เข้มงวด ร้ายกาจ!
ต้องมีท่าทีดุดันกว่าปกติ
ตอนที่หลินเยวียนสอนเซวียเหลียงก่อนหน้านี้ ท่าทีของเขาค่อนข้างอ่อนโยน เข้มงวดดุดันอะไรนั่น ไม่ใช่สไตล์ของหลินเยวียนเอาซะเลย
แต่เมื่อได้รับพลังเสริมจากเอฟเฟ็กต์อาจารย์เวอร์ชันอัปเกรด หลินเยวียนก็เข้าใจแล้ว
นักเรียนอย่างหลี่ลี่จื้อ ยิ่งท่าทีในการสอนเข้มงวดดุดันมากเท่าไหร่ ผลลัพธ์ที่ได้จะดียิ่งขึ้นไปเท่านั้น!
นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก ต้องเป็นประสิทธิภาพใหม่ของเอฟเฟ็กต์อาจารย์อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับหลังจากที่หลินเยวียนได้รับความสามารถในการเล่นเปียโนแล้ว ในห้วงสำนึกจึงเต็มไปด้วยความรู้ในการเล่นเปียในนับไม่ถ้วน
หลินเยวียนมั่นใจว่า นี่เป็นแนวทางที่ถูกต้อง
ในเมื่อแนวทางถูกต้องแล้ว หลินเยวียนก็ย่อมดำเนินการสอนด้วยวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
เพื่อบ่มเพาะลูกศิษย์คนที่สามออกมาได้ดียิ่งขึ้น และทำให้ภารกิจสำเร็จโดยเร็วที่สุด แปลงร่างเป็นอาจารย์ใจร้ายสักหน่อยจะเป็นไร
ภาษิตโบราณบอกไว้เองไม่ใช่หรือ ‘ครูที่เข้มงวดสร้างศิษย์ที่ดี!‘
ดังนั้น หลินเยวียนจึงประยุกต์ใช้สไตล์การสอนซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าหลินยวียนเองก็ไม่เข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดวิธีที่เหมาะกับหลี่ลี่จื้อมากที่สุดจึงต้องเป็นวิธีที่สุดโต่งขนาดนี้ด้วย
‘แบบนี้ไม่ได้นะ ทฤษฎีดนตรีเบื้องต้น! ความรู้พื้นฐานระดับมหาวิทยาลัยแค่นี้ลืมแล้ว? ถ้าเป็นการสอบ นี่คือข้อสอบแจกคะแนนเลยนะครับ!’
‘บันไดเสียงสามารถเปลี่ยนได้ คุณรู้จักแค่บันไดเสียงพื้นฐานเจ็ดตัวหรือไง!’
‘คนที่เรียนประพันธ์เพลงเฉพาะทางอย่างคุณ…ทิศทางของคอร์ดธรรมดาเกินไปครับ นักประพันธ์เพลงในบริษัทไปเข้าห้องน้ำแค่แป๊บเดียวก็เขียนทำนองระดับนี้ออกมาได้แล้ว’
‘เปิดหนังสือทำไม มองกระดาน…มองกระดานดำทำไมครับ มองผม…มองผมทำไม หน้าผมมีตัวอักษรหรือไง’
‘ลองหยุดตรงนี้สี่จังหวะ…ไม่ได้ให้คุณร้องเพลง ผมให้คุณเขียน ตอนเรียนอย่าวอกแวกสิครับ’
‘ตรงนี้ผิดอีกแล้ว! เมื่อกี้เตือนคุณไปแล้วไงครับ ยื่นมือออกมา ขอตีครั้งนึง ครั้งนี้ต้องจำให้ได้แล้วนะ’
‘คุณต้องระวังให้ดี หลังจากนี้ทิศทางของคอร์ดต้องเปลี่ยนไป ใจลอยเหรอ? ใจลอยระหว่างเรียน? ยื่นมือออกมาครับ ตรงนี้ต้องจำให้ได้’
‘ห้ามนั่งครับ นั่งแล้วความจำสั้น ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!’
“…”
อันที่จริง แรกเริ่มเดิมทีหลินเยวียนยังสงวนท่าทีอยู่บ้าง เขาไม่นับว่าเป็นครูที่โหดเหี้ยมนัก
ในความทรงจำสมัยเรียนตั้งแต่เด็กจนโต หลินเยวียนเจอแต่ครู่ที่ดุร้ายมาโดยตลอด
ทั้งลงโทษด้วยการสควอต หรือการตีฝ่ามือ ล้วนเป็นเรื่องที่ครูทำกันจนเป็นปกติ
แต่ไม่รู้ว่าทำไม ต่อให้เป็นครูที่ดุ ก็ยังอ่อนโยนกับหลินเยวียน
ทว่าหลังจากที่หลินเยวียนได้ทดลองเป็นครูที่เข้มงวดเองแล้ว เขาก็พบว่าผลลัพธ์นับว่าใช้ได้จริงๆ การเรียนการสอนดำเนินมาได้เพียงครึ่งชั่วโมง เขาก็เห็นว่าความสามารถด้านการประพันธ์เพลงของหลี่ลี่จื้อเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด…
ผลลัพธ์นับได้ว่าทันตาเห็น!
ดังนั้นหลินเยวียนจึงนำวิธีนี้ไปใช้ในการสอนอย่างสมบูรณ์ เขาสวมบทเป็นอาจารย์ใจร้ายปากจัดอย่างเต็มตัว
แน่นอนว่า การลงโทษทางร่างกายต้องมีเงื่อนไขว่าห้ามทำให้นักเรียนได้รับบาดเจ็บ และห้ามทำร้ายจิตใจของนักเรียน หลินเยวียนพยายามรักษาอยู่ที่ระดับเบา เมื่อมีเอฟเฟ็กต์อาจารย์อยู่ หลินเยวียนรู้สึกว่าเขารับมือกับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
“…”
หลี่ลี่จื้อรู้สึกว่าตนได้เปิดประสบการณ์หลายอย่างเป็นครั้งแรกในชีวิต
เธอถูกต่อว่าแล้ว!
เธอถูกทำโทษให้ลุกขึ้นยืน!
เธอถูกตีที่ฝ่ามือ!
และที่น่าแปลกก็คือ เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก นี่เป็นความตื่นเต้นซึ่งเกิดขึ้นลึกๆ ในใจของเธอ!
เมื่อหลินเยวียนหยิบไม้ขนไก่ขึ้นมา และตีลงไปอย่างไม่นับว่าเบาเกินไปนัก ร่างกายของเธอก็ถึงขั้นสั่นสะท้าน สัมผัสได้ถึงความร้อนซึ่งแล่นปลาบไปทั่วทั้งสรรพางค์กายอย่างอธิบายไม่ได้…
และที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้นก็คือ…
เธอรู้สึกว่าสิ่งที่เมื่อก่อนตนไม่เข้าใจ เมื่อหลินเยวียนอธิบาย ทุกอย่างก็กระจ่างขึ้นมาในฉับพลัน!
นอกจากนั้น ความกระจ่างในความรู้เช่นนี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน!
ในตอนนั้น หลี่ลี่จื้อถึงตระหนักได้ ว่าเพราะเหตุใดพ่อกับหยางจงหมิงถึงแนะนำให้ตนมาหาอาจารย์
ต้องเข้าใจก่อนว่า
ครอบครัวของหลี่ลี่จื้อ ตั้งแต่เด็กจนโตก็เชิญอาจารย์ระดับสูงมาให้การศึกษาบุตรหลาน ทว่าไม่เคยมีอาจารย์แม้แต่ท่านเดียวที่สามารถถ่ายทอดทฤษฎีดนตรีเบื้องต้นทั้งหมดจนเธอเข้าใจอย่างถ่องแท้ ได้อย่างหลินเยวียนซึ่งอยู่ตรงหน้าคนนี้
ช่างเป็นประสบการณ์ที่วิเศษเหลือเกิน!
อับอาย ตื่นเต้น แปลกใหม่ สั่นสะท้าน
คาบเรียนดำเนินไปได้ครึ่งชั่วโมง หลินเยวียนก็หยุดบรรยาย มองหลี่ลี่จื้อด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง “คุณเป็นนักเรียนที่อ่อนที่สุดเท่าที่ผมเคยสอนมา!”
“ขอโทษค่ะ อาจารย์…”
หลี่ลี่จื้อก้มหน้าด้วยความกระดากอาย ใบหน้าแดงก่ำราวกำลังจะร้องไห้
“วันนี้พอเท่านี้ก่อนครับ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ ผมจะให้การบ้านคุณไปทำ พรุ่งนี้จะมาตรวจ”
หลินเยวียนโบกมือ
คาบเรียนจบลงแล้ว?
หลี่ลี่จื้อเศร้าสร้อยราวกับสูญเสียบางอย่างไป
เธอเดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องทำงานของหลินเยวียน รู้สึกราวกับว่าในสมองถูกกรอกความรู้ด้านการประพันธ์เพลงเข้ามานับไม่ถ้วน…
“ศิษย์น้องหญิง!”
หลี่ลี่จื้อนึกไม่ถึง ว่าเซวียเหลียงและเฟิงซั่วจะรอตนอยู่หน้าประตู
“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”
ทั้งสองคนตั้งตารอให้หลี่ลี่จื้อออกมา
หลี่ลี่จื้อก้มหน้า “ฉันทำให้อาจารย์โกรธซะแล้ว…”
เซวียเหลียงชะงักไป “อาจารย์เป็นคนที่ใจดีมากเลยนะ”
เฟิงซั่วก็งุนงงเช่นกัน “ตอนสอนอาจารย์ไม่เคยว่าฉันเลยนะ”
“อื้ม”
เซวียเหลียงพยักหน้าเห็นด้วย “กลับกันเลย อาจารย์คอยให้กำลังใจฉันตลอด บอกว่าพื้นฐานไม่ดีก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ เรียนไป อาจารย์เป็นคนที่จิตใจอ่อนโยนมากเลยนะ”
หลี่ลี่จื้อ “…”
ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่ามือถูกตีจนแดง ถ้าไม่ใช่เพราะขาสองข้างต้องยืนจนเมื่อยขบ ถ้าหากไม่ใช่เพราะศีรษะถูกเอกสารประกอบการสอนตีไปสองสามครั้ง เธอก็อาจหลงเชื่อคำหลอกลวงของศิษย์พี่ทั้งสองไปแล้ว
เธอเดินออกมาท่ามกลางสายตาพิลึกกึกกือของศิษย์พี่ทั้งสองคน
เมื่อมาถึงชั้นสิบแปด ในห้องทำงานส่วนตัวสักแห่งหนึ่ง หลี่ลี่จื้อนอนแผ่บนโซฟาอย่างหมดแรง เอื้อมมือคว้าโคล่าบนโต๊ะ หยิบหลอดมาดื่มไปจนหนำใจ
ถ้าหากมีคนเห็นภาพนี้ จะต้องตะลึงงันอย่างแน่นอน
เพราะนี่ช่างไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของเด็กสาวผู้เพียบพร้อมของหลี่ลี่จื้อในสายตาใครหลายคนเอาซะเลย!
“คุณหนูคะ….”
ไม่นาน ผู้ช่วยของเธอก็ปรากฏตัว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันเตรียมแผนไว้แล้ว พรุ่งนี้เหตุผลที่คุณไม่ต้องไปเรียน ก็คือมีนัดเกมกิลด์วอร์สคืนวันนี้”
“แคนเซิล”
“แคนเซิล? งั้นคืนนี้…อ๋า จะออกไปเล่นไพ่โป๊กเกอร์? คุณเก่งเกินไป ไม่มีใครอยากเล่นกับคุณแล้วค่ะ”
“ไม่ใช่”
“งั้นจะอ่านนิยาย? หนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง คุณก็อ่านจบไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ เล่มที่มีลายเซ็นก็ได้มาแล้วด้วย…”
“ฉันไม่ได้จะอ่านนิยาย”
หลี่ลี่จื้อเอ่ยอย่างอิดโรย “พี่ไม่ต้องถามแล้วได้มั้ย ช่วยนวดขาให้ฉันหน่อยสิ เมื่อยมากเลย”
ผู้ช่วยเดินขึ้นมา เอ่ยเสียงค่อย “เรียนจนเหนื่อยขนาดนี้เชียวหรือ”
สายตาของหลี่ลี่จื้อเปลี่ยนไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงซับซ้อน “น่าสนใจกว่าที่ฉันคิดไว้…ให้คนหยิบหนังสือเกี่ยวกับการประพันธ์เพลงมาให้หน่อย”
“หา? เอามาทำอะไรคะ”
หลี่ลี่จื้อแก้มพองลม ก่อนจะเอ่ยว่า “ทำการบ้าน!”
ผู้ช่วยเข้าใจทันที “แบบเดิม เดี๋ยวหาคนมาช่วยคุณทำ”
หลี่ลี่จื้อส่ายหน้า “ฉันจะทำเอง”
เห็นทีคืนนี้คงต้องโต้รุ่งแล้ว
น้อยคนนักที่จะรู้ว่า เบื้องหลังของเด็กสาวที่มีภาพลักษณ์เพียบพร้อมอย่างหลี่ลี่จื้อ แท้จริงแล้วกลับเป็นผู้ที่ชื่นชอบการดื่มโคล่าเป็นชีวิตจิตใจ ชื่นชอบการเล่นเกมและนอนดูอนิเมชัน ไม่ถึงกับเหลวไหล แต่ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้เด็กสาวที่เพียบพร้อมเลย
แต่วันนี้กลับผิดปกติ
ไปเรียนมาแค่คาบเดียว หลี่ลี่จื้อถึงกับมีลูกฮึดทำการบ้านด้วยตัวเอง!
นิสัยเปลี่ยนอย่างนั้นหรือ?
เป็นไปไม่ได้หรอก คงเครื่องร้อนได้สักสามนาที ผ่านไปสักพักก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม
ผู้ช่วยคิดในใจ
อีกด้านหนึ่ง หลินเยวียนเรียกเซวียเหลียงเข้ามา
เขาสอนหลี่ลี่จื้อไปได้ครึ่งชั่วโมง เวลาอีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือ มีแผนว่าจะใช้ทำการทดลองอย่างหนึ่ง
“อาจารย์ เรียกผมมา…”
“เริ่มเรียนครับ”
หลินเยวียนเอ่ยอย่างรวบรัด
เซวียเหลียงตั้งสติได้ ความดีใจฉายวาบในแววตา “ครับ!”
“เริ่มเลยครับ”
หลินเยวียนใช้เวลาที่เหลือของการ์ดตัวละคร เริ่มสอนเซวียเหลียง
และหลินเยวียนก็พบว่า เมื่อเป็นเซวียเหลียง วิธีการสอนซึ่งเอฟเฟ็กต์อาจารย์มอบให้ตนนั้นไม่ใช่การใช้ความดุดันเป็นหลักอีกต่อไป…
อ่อนโยน ชี้แนะอย่างใจเย็น
เป็นอย่างที่คิด วิธีสอนแบบเข้มงวดดุดันนั้นเหมาะสมกับหลี่ลี่จื้อเท่านั้น
เรียนไปได้สิบห้านาที หลินเยวียนก็หยุด “เรียกเฟิงซั่วเข้ามาหน่อยครับ”
“ครับ”
ถึงแม้คาบเรียนเพียงสิบห้านาที จะไม่ได้ทำให้ฝีมือของเซวียเหลียงรุดหน้ามากนัก แต่เซวียเหลียงก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่อาจารย์สอนนั้นคล้ายกับจะดีขึ้น
เฟิงซั่วเรียนอีกสิบห้านาที
และเมื่อมาถึงเฟิงซั่ว หลินเยวียนก็พบว่าวิธีสอนซึ่งปราฏในห้วงสำนึกของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เข้มงวด เป็นแบบแผน
ไม่จำเป็นต้องอ่อนโยน ไม่จำเป็นต้องดุดันเกินไป เพียงแค่บรรยายความรู้อย่างเข้มงวด ก็ทำให้เฟิงซั่วเรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย
หลังจากที่การทดลองสิ้นสุดลง
หลินเยวียนก็พยักหน้า บอกให้ทั้งสองคนไปได้
เห็นทีแนวทางในการสอนของเอฟเฟ็กต์อาจารย์ในตอนนี้ จะปรับเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับแต่ละคน ใช้วิธีที่แตกต่างกัน
ด้านนอก
เซวียเหลียงและเฟิงซั่วซึ่งออกมาแล้วก็มองหน้ากัน ถกเถียงกันด้วยความประหลาดใจ
“รู้สึกไหมว่า อาจารย์เหมือนปรับวิธีการสอนไป ฉันรู้สึกว่าวันนี้เนื้อหาที่อาจารย์บรรยายเข้าใจง่ายกว่าเดิม…”
“จริงด้วย”
เฟิงซั่วเอ่ยด้วยความเสียดาย “แต่เวลาน้อยไปหน่อย แค่สิบห้านาทีเอง ยังดีที่ต่อไปอาจารย์จะไม่รับลูกศิษย์แล้ว ถ้ามีสามคนละก็ ทุกคนได้แบ่งกันเรียน…”
เซวียเหลียงพยักหน้า
ถึงแม้จะเป็นเวลาสิบห้านาที แต่เซวียเหลียงคิดว่านี่คือความหวัง เพราะดูเหมือนอาจารย์จะมีความคิดสอนพวกเขาต่อ
ต้องเข้าใจว่า หลังจากที่อาจารย์บอกเขาว่าจบหลักสูตรแล้ว อาจารย์ก็ไม่เคยสอนเขาอีกเลย
เพราะฉะนั้น เขาจึงกระตือรือร้นกับเรื่องการเรียนมากเหลือเกิน
………………………………………………….