Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 406 ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว
ตอนที่ 406 ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว
‘สองสองสองสองสองสองสองสองสอง!’
เมื่อรับรู้ได้ถึงปณิธานที่มาถึงอย่างเงียบเชียบ ชาวเน็ตก็เปิดฉากโจมตีสุดแรงในทันที พื้นที่แสดงความคิดเห็นบนปู้ลั่วของเฟ่ยหยางตกเป็นเหยื่อในชั่วพริบตา คำว่า ‘สอง’ บนหน้าจอเรียกได้ว่าอัดแน่น
‘ผมขำจนปวดท้องเลย!’
‘สงสารราชาเพลงเฟ่ย ปล่อยเขาไปเถอะ!’
‘ถึงฉันจะเป็นแฟนคลับของท่านเฟ่ยมาเป็นสิบปี แต่ฉันก็ยังขำเหมือนกัน นี่มันขลังสุดๆ ไปเลย สิ่งที่ควรเกิดก็ควรเกิดสินะ ขาใหญ่พอเจอกับเซี่ยนอวี๋ก็ยังหนีชะตากรรมที่จะตกเป็นรองไม่ได้จริงๆ’
‘กลายเป็นฮ็อตเสิร์ชอันดับหนึ่งแล้ว!’
‘เฟ่ยหยาง: เพลงของฉันได้แค่ที่สอง แต่ฮ็อตเสิร์ตได้อันดับหนึ่งตลอดกาล สหายเอ๋ย ฉันอยู่ชั้นใดในครั้งนี้’
‘ที่หนึ่งไม่ไหว ฉันเต็มใจขอเป็นแค่ที่สอง’
‘เซี่ยนอวี๋: พี่ชาย อย่าเกรงใจไป เชิญนั่ง เดือนกันยายนมีคนอยากแย่งอันดับที่สองของคุณ แต่ผมไม่ยอม เลยใช้วิธีหนึ่งทำนองสองเนื้อเพลงเพื่อยืดตำแหน่งให้คุณ ตำแหน่งนี้คุณเท่านั้นที่นั่งได้!’
‘เมื่อก่อนฉันไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ฉันเชื่อแล้วว่าปณิธานอันดับสองมีอยู่จริง!’
‘ครั้งนี้เซี่ยนอวี๋ได้รับแรงสนับสนุนจากปณิธานอันดับสอง สองในแชมป์สองสมัย และสองในอันดับที่สองตลอดกาล มีต้นกำเนิดจากที่เดียวกัน!’
‘…’
ไม่เพียงพื้นที่แสดงความคิดเห็น
บนเว็บไซต์วิดีโอยังปรากฏวิดีโอตัดต่อมากมายเกี่ยวกับเฟ่ยหยาง ชาวเน็ตสร้างสรรค์เนื้อเพลงใหม่จากท่วงทำนองเพลงขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์
ตัวอย่างเช่นเพลงนี้
‘จันทร์แจ่มเมื่อไรมี ชูจอกชี้ถามฟ้าคราม สุดล่วงรู้ว่าวันนี้ปีหน้า ใครหนอจะสานต่อปณิธาน ข้าวอนสายลมนำไป แต่ฮ็อตเสิร์ชพาครั่นคร้ามใจ ยิ่งต่ำยิ่งเหน็บหนาว หันมองเฉินจื้ออวี่ ที่สองหาใครเหมือน…’
ในวิดีโอ เป็นการนำคลิปตัดต่อซึ่งเฟ่ยหยางร้องเพลงก่อนหน้านี้มาใส่เข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน
ความสุขของชาวเน็ตจอมกวนประสาทนั้นเรียบง่ายเช่นนี้เอง
และความสุขเหล่านี้ ล้วนอยู่บนความทุกข์ของเฟ่ยหยางทั้งสิ้น
ในขณะนั้น
เฟ่ยหยางกำลังจ้องมองพื้นที่แสดงความคิดเห็น มุมปากของเขากระตุกเล็กน้อย
ผู้ช่วยซึ่งอยู่ด้านข้างกระแอมเบาๆ
“คิดในแง่ดี คือพี่เฟ่ยได้เป็นอันดับหนึ่งบนฮ็อตเสิร์ชเชียวนะครับ ความสนใจที่ทุกคนมีต่อพี่เฟ่ยสูงมาก เพิ่งมีงานอีเวนต์ติดต่อผมมาหลายเจ้า อยากร่วมงานกับพี่เฟ่ย อีเวนต์เหล่านี้มีแบรนด์ดังเป็นสปอนเซอร์ พวกเราเอาชนะคู่แข่งไม่ได้ แต่ตอนนี้หลายแบรนด์กลับหวังว่าคุณจะปรากฏตัวในงานเหมือนกัน!”
เฟ่ยหยางไม่ตอบ
ตั้งแต่ครองอันดับสองในครั้งที่แล้ว หน้าที่การงานของเขาก็ราบรื่นมาก เขาได้รับความนิยมในทุกที่ที่ไปเยือน เพียงแต่เฟ่ยหยางรู้อยู่เต็มอก ว่าเหตุผลซึ่งทำให้ตนเป็นที่นิยมคืออะไร
เขาชนะในหน้าที่การงาน แต่กลับพ่ายแพ้ทางจิตวิญญาณ!
ผู้ช่วยเห็นเฟ่ยหยางนิ่งเงียบไม่พูดจา จึงเอ่ยปลอบต่อ
“ก่อนหน้านี้เฉินจื้ออวี่ก็ได้ที่สองติดต่อกันตั้งสามครั้ง หลังจากนั้นก็เป็นคิวของพี่เฟ่ย ตอนนี้พี่เฟ่ยได้ที่สองเป็นครั้งที่สามแล้ว ต่อไปก็ถึงคิวของรุ่นที่สามแล้วละครับ”
เฟ่ยหยางจ้องผู้ช่วยเขม็ง
ผู้ช่วยตกใจจนสะดุ้งโหยง ก่อนจะตระหนักได้ว่าตนพูดผิดไป ถึงกับเอ่ยถึงเรื่องปณิธานของอันดับที่สองต่อหน้าเฟ่ยหยาง
เขาคิดว่าเฟ่ยหยางจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ใครจะรู้ว่าเฟ่ยหยางกลับเลิกคิ้ว โพล่งออกมาราวกับเห็นรุ่งอรุณ
“จริงเหรอ?”
ผู้ช่วย “…”
เขาขบคิดอย่างจริงจังว่าควรบอกอีกฝ่ายหรือไม่ว่าวันนี้มีบริษัทผลิตภัณฑ์จากปลาติดต่อตนมา ต้องการทุ่มเงินมหาศาลเพื่อเชิญเฟ่ยหยางมาเป็นพรีเซนเตอร์
……
แน่นอนว่าไม่ใช่ชาวเน็ตทุกคนที่เล่นมุกเดิมๆ อย่าง ‘ปณิธานอันดับสอง’
เมื่อเพลงขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์โด่งดัง การตีความอย่างลึกซึ้งขึ้นอีกชั้นของเพลงนี้จึงเพิ่มขึ้นอย่างมากบนโลกออนไลน์
มีคนกล่าวว่า
‘สิ่งที่ผมสงสัยก็คือ ทำนองวารีเป็นกวีนิพนธ์ชมจันทร์ ทำไมเซี่ยนอวี๋ไม่ปล่อยเพลงนี้ออกมาช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ต้องรอถึงเดือนธันวาด้วยล่ะ’
‘ง่ายมาก’
ทันใดนั้นก็มีคนมาอธิบาย ‘อาจเป็นเพราะกลอนสือบทนี้เซี่ยนอวี๋เขียนขึ้นมาในเดือนกันยาน่ะสิ แต่ตอนนั้นเขายังไม่มีทำนอง เลยปล่อยเพลงสิบปีออกมาก่อน’
มีคนสงสัยขึ้นมาอีก
‘สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าทำนองวารีเป็นการถ่ายทอดความคิดถึงที่มีต่อใครสักคน เซี่ยนอวี๋คิดถึงใครกันนะ’
คำถามนี้ไม่มีใครตอบได้
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของทุกคน กลับเป็นวรรคหนึ่งในบทกวีว่า ‘ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว’
มีคนคิดว่าวรรคนี้มีความหมายตามตรงตัวอักษร แต่หลายคนกลับเข้าใจว่านี่เป็นการรำพันกับตัวเองของเซี่ยนอวี๋มากกว่า
‘พวกคุณลองคิดดู ว่าเซี่ยนอวี๋คว้าอันดับหนึ่งไปกี่ครั้งแล้วตั้งแต่เดบิวต์มา’
‘ไม่มีตำแหน่งไหนสูงไปกว่าอันดับหนึ่งแล้ว แต่เป็นเพราะเซี่ยนอวี๋ได้อันดับหนึ่งมาตลอด เพราะฉะนั้นเขาจึงรำพันออกมาว่ายิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว’
‘ถ้าหากเป็นความจริง เซี่ยนอวี๋ก็เย่อหยิ่งเกินไปแล้ว’
‘เดิมทีเซี่ยนอวี๋ก็เป็นวัยรุ่น วัยรุ่นมีความหยิ่งทะนงในพรสรรค์ของตัวเองก็เป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยนอวี๋ก็มีคุณสมบัติมากพอให้หยิ่งทะนงนะ’
‘ฉันว่าเซี่ยนอวี๋อาจรำพันถึงคนรุ่นเดียวกันไหม เขาไม่นับว่ายืนอยู่จุดสูงสุดของวงการเพลง แต่ถ้าเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน เขายืนอยู่จุดสูงสุดจริงๆ คนแบบนี้อาจไม่มีเพื่อน เพราะว่าเก่งเกินไป เก่งจนคนอื่นเอื้อมไม่ถึง’
‘เซี่ยนอวี๋ไม่ถึงขั้นไม่มีเพื่อนหรอก แต่เขาคงมีเพื่อนไม่มาก ดูจากคนที่เขาติดตามบนปู้ลั่วก็รู้แล้ว’
‘คำพูดนี้มีเหตุผล บนปู้ลั่วเซี่ยนอวี๋ติดตามแค่ฉู่ขวงกับอิ่งจือ และสองคนนี้ก็เป็นบุคลากรที่โดดเด่นมากในวงการของตนเอง’
‘…’
การตีความเข้มข้นขึ้น
หลังจากนั้นถึงขั้นมีคนกล่าวว่า ประโยคว่า ‘ขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์ ห่างพันลี้ร่วมชมจันทร์’ เป็นการแสดงถึงความคาดหวังในการผนวกรวมของทั่วทั้งบลูสตาร์
แม้ว่าเราจะห่างกันเป็นพันลี้ แต่ก็สามารถชมจันทร์ดวงเดียวกัน
‘ต้องเข้าใจว่าเราไม่สามารถมองดูพระจันทร์เต็มดวงพร้อมกันได้ เพราะเส้นเวลาต่าง ตอนกลางวันของฉินเป็นกลางคืนของคนเยี่ยนพอดี เซี่ยนอวี๋เป็นคนรุ่นใหม่ไม่มีทางไม่เข้าใจหลักการนี้ แต่เขายังถ่ายทอดจุดนี้ออกมา ว่าระยะห่างและความแตกต่างทางวัฒนธรรมของทั้งสองพื้นที่ไม่ใช่ปัญหา สุดท้ายแล้วทุกคนก็อยู่ร่วมกับบนบลูสตาร์ เพราะฉะนั้นที่บอกว่าร่วมชมจันทร์อาจไม่ได้หมายถึงแค่พระจันทร์ แต่หมายถึงรวมทั้งบลูสตาร์ด้วย’
คนจำนวนมากเห็นด้วยกับทัศนะนี้
ปรากฏว่ายิ่งวิเคราะห์ ชาวเน็ตก็ยิ่งรู้สึกว่ากลอนสือของทำนองวารีจะมีความหมายแฝงลึกซึ้งกว่าที่ทุกคนจินตนาการไว้ นอกจากนั้นยังส่งเสริมความโด่งดังของบทเพลงในทางอ้อมอีกด้วย
และในครอบครัวขณะนั้น
แม้แต่พี่สาวและน้องสาวยังจ้องหลินเยวียนด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ทำไมถึงเขียนกลอนสือขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์ออกมา คิดถึงใคร นายมีแฟนแล้วเหรอ”
หลินเยวียน “…”
เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวในบทเพลง ส่วนมากล้วนเป็นสิ่งที่นักเขียนเนื้อเพลงสร้างสรรค์ขึ้นมา ไม่มีรายละเอียดของที่มาชัดเจน
แต่ดูเหมือนทุกคนจะคิดว่า กวีนิพนธ์อย่างทำนองวารีไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากแหล่งที่มา จะต้องเป็นการแสดงออกถึงตัวตนบางอย่างของหลินเยวียน ทุกคนต่างชื่นชอบการวิเคราะห์คำต่อคำ
หลินเยวียนเองก็ถูกถามจนทำอะไรไม่ถูก
เขาทำได้เพียงตอบไปในเบื้องต้นเท่านั้น “จื่อโหยว[1]?”
“อะไรนะ?”
พี่สาวและน้องสาวทำตาโต สีหน้าแปลกพิลึก จื่อโหยว ฟังดูแล้วไม่ยักเหมือนชื่อผู้หญิงนะ
“…”
หลินเยวียนรู้สึกจนใจยิ่งกว่าเดิม “ซูเจ๋อ”
พี่สาวตกใจ “สองคนเลยเหรอ?”
น้องสาวตะโกนดังลั่น “แม่ หลินเยวียนเป็นผู้ชายเฮงซวย!”
……………………………………………………………..
[1] จื่อโหยว นามรองของซูเจ๋อ ซึ่งเป็นน้องชายของซูซื่อ