Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 564 สมาคมวรรณศิลป์อ่านบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
- Home
- Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
- ตอนที่ 564 สมาคมวรรณศิลป์อ่านบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
ตกเย็น
กลุ่มบันเทิงใหญ่หมู่บ้านหย่งหนิง
จู่ๆ พี่สาวก็ส่งต่อข่าวหนึ่งซึ่งพาดหัวว่า ‘ จะเล่าให้คุณฟังจากระดับข้อมูล ว่าทำไมปีนี้ฉู่ขวงจึงถูกลิขิตชะตามาให้พลาดการคัดเลือกเทพสูงสุด’
หลังจากนั้นพี่สาวจึงเมนชันถึงหลินเยวียน ‘ปีนี้ฉู่ขวงคิดจะชิงตำแหน่งเทพสูงสุดหรือ?’
หลินเยวียนเงยหน้าขึ้น มองไปยังพี่สาวซึ่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟา
ทำไมต้องถามในกลุ่มด้วย
ในกลุ่มแช็ต
เจี่ยนอี้โผล่เข้ามาอย่างเล่นใหญ่
‘คนเราดังเกินไปก็ไม่ดี ช่วงนี้งานฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลาว่างอ่านนิยาย เจ้าแก่ฉู่ขวงเริ่มเตรียมตัวชิงตำแหน่งเทพสูงสุดแล้วเหรอ ตอนนี้เขามีนิยายแฟนตาซีแค่สามเรื่องไม่ใช่หรือไง?’
ซย่าฝานไม่สนใจคำโอ้อวดของเจี่ยนอี้ เอ่ยว่า ‘แต่ฉู่ขวงมีนิยายสามเรื่องก็กลายเป็นมหาเทพได้เชียวนะ’
เจี่ยนอี้และซย่าฝานต่างก็ชอบอ่านนิยาย ดังนั้นสองคนนี้จึงคุ้นเคยกับฉู่ขวงเป็นอย่างดี
หลินเหยาไม่อ่านนิยาย ถึงแม้จะรู้จักบุคคลซึ่งมีนามว่าฉู่ขวงคนนี้จากพี่สาว แต่ไม่ได้ล่วงรู้ถึงรายละเอียด จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
‘ผลงานสามเรื่องก็ได้เป็นมหาเทพต้องเก่งมากใช่ไหมคะ?’
พี่สาวเสริมเกร็ดความรู้ ‘พี่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับทางจงโจว แล้วก็หานโจว จ้าวโจว เว่ยโจวนะ แต่ในฉินฉีฉู่เขี่ยน มีนักเขียนวรรณกรรมแฟนตาซีแค่สี่คนที่มีผลงานสามเรื่องก็ได้ตำแหน่งมหาเทพ!’
หลินเหยา ‘งั้นก็ไม่น้อยเลย’
พี่สาว ‘ไม่น้อยก็จริง แต่ถ้าเทียบน้ำหนักแล้ว ฉู่ขวงเป็นอันดับหนึ่ง เพราะนิยายทั้งสามเรื่องของฉู่ขวงมีจำนวนตัวอักษรน้อยมาก อีกสามท่านถึงแม้จะมีผลงานแค่สามเรื่อง แต่จำนวนตัวอักษรรวมกันแล้วยาวมาก ลำพังหนังสือเรื่องเดียวก็เกินสามล้านตัวอักษรแล้ว’
นี่คือจุดที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกว่าฉู่ขวงมหัศจรรย์
นักเขียนคนอื่นปล่อยหนังสือสักเรื่องหนึ่งออกมาแล้วโด่งดัง ย่อมพยายามเขียนออกมาให้ยาวที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ทว่านิยายแฟนตาซีของฉู่ขวง ความยาวประมาณหนึ่งล้านตัวอักษรเศษ คนขุดสุสานซึ่งยาวที่สุด มีเพียงประมาณสองล้านตัวอักษร
หลินเหยาแลดูสนใจฉู่ขวงมาก จึงถามต่อ
‘งั้นสี่เรื่องแล้วได้เป็นเทพสูงสุดคือฝีมือระดับไหน’
พี่สาวตอบอย่างไม่ลังเล ‘ฝีมือระดับอันดับหนึ่งของวงการวรรณกรรมแฟนตาซีในฉินฉีฉู่เยี่ยน ไม่เคยมีใครเคยคว้าตำแหน่งเทพสูงสุดได้ด้วยนิยายสี่เรื่อง เพราะงั้นพี่ก็คิดเหมือนกันว่าฉู่ขวงต้องมีนิยายสักห้าเรื่องถึงจะพอ!’
นี่คือเหตุผลที่ในวงการยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวฉู่ขวงนัก
สามเรื่องได้ก้าวขึ้นเป็นมหาเทพนับว่าฝีมือร้ายกาจมากแล้ว
สี่เรื่องจะขึ้นเป็นเทพสูงสุดอีกหรือ?
ยากเกินไป
อย่างน้อยต้องสักห้าเรื่องล่ะมั้ง?
คุณต้องมีกันชนให้ตัวเองบ้าง
เรื่องนี้เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนมองฉู่ขวงในแง่ดี
เพราะฉะนั้นจึงมีคนกล่าวว่า ถ้าหากฉู่ขวงคิดจะคว้าตำแหน่งเทพสูงสุดด้วยหนังสือเรื่องใหม่ หนังสือเรื่องนี้ต้องเทียบได้กับหนังสือสองเรื่อง
หลินเยวียนไม่ได้เข้าร่วมวงสนทนาในกลุ่มแช็ต
ทว่าหลินเยวียนเห็นด้วยกับการวิเคราะห์นี้
เขายังคงห่างไกลจากการเป็นเทพสูงสุด
โดยหลักการทั่วไปแล้ว เขาจำเป็นต้องมีนิยายแฟนตาซีอีกสองเรื่องจึงจะก้าวขึ้นบัลลังก์เทพสูงสุดได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม…
ถ้าหากเป็น ‘บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ’ ละก็ คงไม่อาจนำหลักการทั่วไปมาตัดสินได้
อย่าว่าแต่เทียบเท่านิยายสองเรื่องเลย
ถ้าเปรียบเทียบมาตรฐานของตัวละครซึ่งเป็นลิง ต่อให้นำนิยายทั้งสามเรื่องก่อนหน้านี้ของเขามารวมกันก็ไม่เพียงพอ!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ว่าเมื่อเทียบกับนิยายแฟนตาซีสามเรื่องแรกของตน บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศไม่เพียงมีการบรรยายเรื่องราวอันยอดเยี่ยม แต่ยังเปี่ยมด้วยคุณค่าทางวรรณกรรมอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่คือผลงานชิ้นเอกแห่งยุคสมัย!
ในช่วงเวลาที่นิยายแฟนตาซีมักเน้นการบรรยายเรื่องราว ทันใดนั้นก็มีผลงานซึ่งผสมผสานเรื่องราวและคุณค่าทางวรรณกรรมได้อย่างกลมล่อมถือกำเนิดขึ้น เราคงคาดการณ์อิทธิพลของผลงานชิ้นนี้ได้ไม่ยาก!
ถึงกระนั้น ก่อนที่จะเขียนนิยายออกมา คำพูดเหล่านี้ล้วนไม่มีประโยชน์
วันเวลาหนังจากนั้น หลินเยวียนใช้เวลาไปกับการเขียนบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
จนกระทั่งถึงกลางเดือนตุลาคม
ในที่สุดหลินเยวียนก็เขียนงานประพันธ์ชิ้นเอกนี้สำเร็จ!
เขาส่งผลงานทั้งสองเวอร์ชันให้จินมู่ในทันที
จินมู่เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เดี๋ยวผมจะแยกส่งให้คลังหนังสือซิลเวอร์บลูกับทางสมาคมวรรณศิลป์”
หลินเยวียนตะลึง “สมาคมวรรณศิลป์?”
จินมู่พยักหน้า “ผลงานที่เข้าชิงรางวัลจะต้องรายงานต่อสมาคมวรรณศิลป์ครับ เพราะทางนั้นต้องใช้เวลาคัดเลือก”
“ครับ”
หลินเยวียนไม่มีความเห็น
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป จินมู่ส่งผลงานสำเร็จ
……
สมาคมวรรณศิลป์
ฝ่ายบริหารวรรณกรรมแฟนตาซี กำลังประชุมอยู่ในขณะนี้
สตรีสวมแว่นตา อายุประมาณห้าสิบปีซึ่งนั่งในตำแหน่งประธานเอ่ยว่า
“การคัดเลือกรางวัลมหาเทพในปีนี้กำหนดแล้ว ช่วงสิ้นปีไม่ควรมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่รางวัลเทพสูงสุดยังมีอีกโควตาหนึ่งที่ต้องพิจารณา ในตอนนี้เรามีอยู่อยู่สามชื่อแล้ว”
ทุกคนล้วนประหลาดใจ
“สามชื่อ?”
“ไม่ใช่สองชื่อหรือ?”
“หมัวถงกับเยี่ยหนานทิงเฟิง”
“นอกจากสามคนที่ได้รับการยืนยันแล้ว สองคนนี้มีคุณสมบัติมากที่สุด ดังนั้นโควตาที่สี่ก็ควรมาจากระหว่างสองคนนี้”
“สามคน นับรวมฉู่ขวงเข้าไปแล้ว?”
“ผมชอบฉู่ขวงมาก แต่ฉู่ขวงยังไม่ถึงเกณฑ์ น่าจะยังเป็นรองไปสักหน่อย”
“ถึงช่วงปลายปีฉู่ขวงจะยังมีนิยายอีกหนึ่งเรื่อง แต่ระยะห่างมากเช่นนี้ เกรงว่านิยายหนึ่งเรื่องจะยังไม่พอ”
“…”
บรรดาในหัวหน้าฝ่ายบริหารต่างแสดงความคิดเห็น
ทุกคนถกเถียงเกี่ยวกับรายชื่อมหาเทพและเทพสูงสุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และรายชื่อเทพสูงสุดถึงขั้นที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
เหลือเพียงตำแหน่งที่สี่ ซึ่งทุกคนกำลังลังเลระหว่างเยี่ยหนานทิงเฟิงและหมัวถง
โดยหลักการทั่วไป ท้ายที่สุดแล้วจำเป็นต้องดูว่าผลงานในช่วงปลายปีของทั้งสองคนเป็นอย่างไร จึงจะตัดสินได้อย่างแม่นยำ
ปรากฏว่าในการประชุมวันนี้ ประธานกลับบอกว่ามีผู้ผ่านเกณฑ์สามคน…
ชื่อที่สามซึ่งปรากฏขึ้นกะทันหัน ไม่ใช่ใครนอกจากฉู่ขวงซึ่งกำลังจะปล่อยผลงานเรื่องใหม่ในระยะนี้
สตรีสวมแว่นตาซึ่งนั่งตำแหน่งประธานกล่าว “ถูกต้อง คนที่สามซึ่งอยู่ในขอบเขตการพิจารณาคือฉู่ขวง อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป ในเมื่อนี่คือการคัดเลือกที่ยุติธรรม เช่นนั้นฉู่ขวงซึ่งผ่านเกณฑ์ย่อมถูกนับรวมด้วย ถ้าผลงานช่วงปลายปีของเขาดีพอ ทำไมเราจะให้โควตาที่สี่กับเขาไม่ได้”
ดีพอ?
ผู้คนหลุดหัวเราะ ทันใดนั้นต่างคนต่างส่ายหน้า
สมาคมวรรณศิลป์เคยศึกษาสถานการณ์ของฉู่ขวงมาก่อน
ในเวลานั้น คนขุดสุสานดีพอแล้วใช่ไหม?
แต่ต่อให้ปลายปีนี้ฉู่ขวงเขียนผลงานระดับเดียวกับคนขุดสุสานมาอีกเรื่อง ก็ยังไม่สามารถแตะถึงมาตรฐานของเทพสูงสุดตำแหน่งที่สี่ในปีนี้ได้เท่ากับเยี่ยหนานทิงเฟิงและหมัวถง!
อย่างไรก็ตาม สมาคมวรรณศิลป์มีภาพจำที่ดีต่อฉู่ขวง
ว่ากันว่า ขาใหญ่เบื้องบนติดตามฉู่ขวงอยู่ ถึงขั้นที่เอ่ยชื่นชมเขาเป็นการส่วนตัวด้วย
ดังนั้น ทุกคนจึงไม่ได้พูดอะไรมากนัก
ในขณะนั้นเอง
เลขาคนหนึ่งปรากฏตัว และกระซิบประซาบที่ข้างหูของสตรีสวมแว่นตา
สตรีสวมแว่นตาแววตาเป็นประกาย เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เมื่อครู่ทางฉู่ขวงส่งหนังสือเรื่องใหม่มา บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ ไม่รู้เรามาดูกันก่อนว่าเป็นอย่างไร ถ้าใช้ไม่ได้ ปีนี้ก็พิจารณ์หมัวถงกับเยี่ยหนานทิงเฟิงแล้วกัน”
“ส่งมาแล้ว?”
ทุกคนได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย
หลายนาทีผ่านไป เลขาในการประชุมจึงจึงนำต้นฉบับเข้ามา
ผู้คนต่างมองไปยังต้นฉบับในมือ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมถึงมีสองชุดล่ะ”
“ขอยืนยันกับทุกท่านว่าบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศมีสองชุดจริงๆ ครับ”
เลขาการประชุมอธิบาย “อาจารย์ฉู่ขวงเขียนหนึ่งสองสองเวอร์ชัน เวอร์ชันแรกเป็นภาษาโบราณ อีกเวอร์ชันหนึ่งคือเวอร์ชันทั่วไป”
“โอ้?”
มีหัวหน้าบางคนตื่นเต้น “เห็นพูดกันว่าถ้าฉู่ขวงคิดจะเป็นเทพสูงสุด ต้องหยิบนิยายออกมาสองเรื่องจึงจะได้ ปรากฏว่าเขาเขียนออกมาสองเวอร์ชันจริงๆ ”
หัวหน้าอีกฝั่งหนึ่งส่ายหน้า “แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเดียวกัน ไม่ว่าจะมีกี่เวอร์ชัน สุดท้ายแล้วก็เทียบเท่ากับเรื่องเดียว”
อีกคนหนึ่งเอ่ยว่า “แต่ฉันว่าน่าสนใจมาก กล้าใช้ภาษาโบราณเขียน นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะทำได้ จะสบประมาทพรสวรรค์ของฉู่ขวงคนนี้ไม่ได้เลยนะ”
“ลองอ่านก่อนแล้วกัน”
สตรีสวมแว่นเอ่ยปาก จากนั้นจึงหยิบเวอร์ชันภาษาโบราณขึ้นมา
แน่นอน
มีคนหยิบเวอร์ชันทั่วไปขึ้นมาอ่านเช่นกัน
ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ภาษาโบราณ เพียงแต่ลางเนื้อชอบลางยาเท่านั้นเอง
สำหรับสมาคมวรรณศิลป์ อย่าว่าแต่ภาษาโบราณเลย ต่อให้เกิดภาษาแปลกประหลาดขึ้นมาอีก ก็ไม่ยากเกินความสามารถในการอ่านของพวกเขา
ถ้าอ่านบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเวอร์ชันภาษาโบราณไม่รู้เรื่อง เช่นนั้นตำแหน่งของพวกเขาคงไร้ประโยชน์
ต้องออกมาขอโทษประชาชนชาวบลูสตาร์เสียแล้ว