Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 253 ไม่มีใครเป็นคนดีหรอก
ตอนที่ 253 ไม่มีใครเป็นคนดีหรอก
สามวันให้หลัง
สตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์
หลิ่วเจิ้งเหวินซึ่งรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่และผู้จัดการของเขากำลังขึ้นลิฟต์
หลิ่วเจิ้งเหวินแลดูกังวลเล็กน้อย กำลังพยายามปรับลมหายใจ
ผู้จัดการซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยเตือน “ไม่ต้องกังวลไปหรอก คุณมีความสามารถสูงเป็นทุนเดิม ขาดก็แค่โอกาส”
“ไม่ต้องปลอบผมหรอก”
หลิ่วเจิ้งเหวินกดเสียงลงเล็กน้อย “โอกาสใครๆ เขาก็ต้องการ คนที่ความสามารถสูงก็มีไม่น้อย ผมไม่ได้มีข้อได้เปรียบมากมายอะไร ทำได้แค่ทำสุดความสามารถตอนแคสต์”
“ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ…”
ผู้จัดการกล่าว “ผมแค่รู้สึกประหลาดใจ ว่าทำไมคุณถึงกังวลขนาดนี้ ถึงตอนนี้เราจะมีคิวไม่มาก แต่หนังเงินทุนแค่สิบล้าน ใช่ว่าเราจำเป็นต้องคว้าบทนี้มาให้ได้ซะที่ไหนล่ะ”
ผู้จัดการรู้สึกงุนงงอย่างที่พูด
หลังจากที่ได้รับบทภาพยนตร์เรื่องนักปรับเสียงเปียโน หลิ่วเจิ้งเหวินก็ราวกับโดนสะกดจิต ขังตัวเองอยู่ในห้องนานสองวัน ไม่ยอมทำอะไร เพียงเพื่อศึกษาบทละคร
ผู้จัดการไม่ได้เห็นหลิ่วเจิ้งเหวินให้ความสำคัญกับตัวละครใดตัวละครหนึ่งมานานหลายปีแล้ว
“คุณคิดผิดแล้ว ผมต้องเล่นหนังเรื่องนี้ให้ได้!”
สีหน้าของหลิ่วเจิ้งเหวินเคร่งขรึมขึ้นมา “หนังที่เงินทุนหลักสิบล้านมีเยอะก็จริง แต่หนังที่เงินทุนสิบล้านแล้วทำคุณภาพของบทได้ดีขนาดนี้มีน้อยมาก!”
คุณภาพของบท?
ผู้จัดการอ้าปากพะงาบ กำลังจะเอ่ยปากพูด ลิฟต์ก็เปิดออกพอดี
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องโถงสำหรับทดสอบบทในแผนกภาพยนตร์
ในขณะนั้นห้องโถงแน่นขนัดไปด้วยผู้คน มีชายหญิงมากหน้าหลายตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นผู้ที่มาทดสอบหน้ากล้อง
นักแสดงจำนวนหนึ่งในนั้นเขาคุ้นหน้าคุ้นตา
เห็นได้ชัดว่าถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศนั้นโด่งดังมาก ทำให้หลายคนเกิดความสนใจภาพยนตร์เรื่องใหม่ของหลินเยวียน รวมไปถึงนักแสดงที่พอมีชื่อเสียงในวงการแล้ว
แต่ก็เพียงแค่พอมีชื่อเสียง
ในห้องโถงทดสอบหน้ากล้อง นักแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดก็เป็นเพียงนักแสดงสมทบแถวรองในวงการ ถึงอย่างไรภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีเงินทุนค้ำคออยู่
ไม่มีใครสนทนาพาทีกันสักเท่าไหร่
เมื่อเดินเข้าไปในห้อง ทุกคนล้วนมีความสัมพันธ์กันในฐานะคู่แข่งซึ่งเปี่ยมไปด้วยศักยภาพ
ไม่ทันไร
การทดสอบหน้ากล้องก็เริ่มต้นขึ้น
การทดสอบหน้ากล้องของตัวเอกชายซึ่งสำคัญที่สุดนั้นเริ่มต้นขึ้นก่อน
หลิ่วเจิ้งเหวินเข้าไปในห้องทดสอบหน้ากล้องเป็นคนที่สาม
ครั้งนี้ต่างกับครั้งก่อน
ครั้งนี้ในห้องทดสอบหน้ากล้องมีเพียงสามคน
หลินเยวียน อี้เฉิงกง และเสิ่นชิง
หลิ่วเจิ้งเหวินโค้งเล็กน้อย กล่าวว่า “สวัสดีครับทุกท่าน ผมชื่อหลิ่วเจิ้งเหวิน เล่นเปียโนได้ครับ”
ท่าทีของเขาอ่อนน้อมถ่อมตัวมาก
เสิ่นชิงมองหลิ่วเจิ้งเหวิน เพื่อมองใบหน้าของเขาเป็นหลัก
ได้ยินว่าหลิ่วเจิ้งเหวินเสียโฉมเล็กน้อยหลังจากประสบอุบัติเหตุ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาฟื้นตัวได้ดีมาก โดยรวมแล้วไม่หลงเหลือรอยแผลเป็นใดๆ
หน้าตาหล่อเหลา เป็นผู้ชายหนุ่มแน่นที่มีเสน่ห์ เมื่อมารับบทเป็นนักเปียโน ย่อมไม่เกิดความรู้สึกขัดเขิน
และหลิ่วเจิ้งเหวินยังบอกเองว่าตนเล่นเปียโนได้
ถึงอย่างไรตัวเอกชายของเรื่องนี้ก็เป็นนักเปียโน ดังนั้นความสามารถนี้จึงเป็นข้อได้เปรียบ
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นนักแสดงที่เคยโด่งดังมาก่อน อี้เฉิงกงยิ้มเอ่ยด้วยความเกรงอกเกรงใจว่า “รบกวนอาจารย์หลิ่วลองเล่นฉากที่สองในบทหน่อยครับ”
“ได้ครับ”
หลิ่วเจิ้งเหวินเริ่มการแสดงของตน
เรื่องอย่างการทดสอบหน้ากล้องนั้นอันที่จริงมีแบบแผนอยู่ นักแสดงที่เข้ามาโดยทั่วไปล้วนแนะนำตัวง่ายๆ ให้กรรมการพิจารณาภาพลักษณ์สักเล็กน้อย จากนั้นอ่านบทสักท่อนหนึ่ง แล้วค่อยแสดงสักบทที่กรรมการต้องการ
การแสดงไม่ได้มีปัญหาอะไร
ความสามารถในสายอาชีพของหลิ่วเจิ้งเหวินนั้นผ่านฉลุย
เมื่อแสดงเสร็จ หลินเยวียนก็เอ่ย “คุณว่าทำไมเยี่ยเซินถึงแกล้งทำเป็นตาบอดด้วยครับ”
นี่คือด่านที่สำคัญที่สุดในกระบวนการทดสอบหน้ากล้อง มีความสำคัญใกล้เคียงกับการแสดง ผู้ทดสอบหน้ากล้องจะต้องเล่าเกี่ยวกับความเข้าใจและทัศนคติของตนต่อตัวละคร
เยี่ยเซินก็คือชื่อของตัวเอกชาย ระบบเป็นคนตั้งให้ เพราะไม่สามารถใช้ชื่อภาษาฮินดีได้
เสิ่นชิงและอี้เฉิงกงจ้องมองหลิ่วเจิ้งเหวิน
ผู้ที่มาทดสอบหน้ากล้องหลายคนก่อนหน้านี้ก็ไม่มีปัญหาด้านการแสดงเช่นเดียวกับหลิ่วเจิ้งเหวิน เพียงแต่ความเข้าใจต่อตัวละครนั้นยังไม่ทำให้พวกเขารู้สึกพอใจนัก
ไม่รู้ว่าหลิ่วเจิ้งเหวินจะตอบว่าอย่างไร
หลิ่วเจิ้งเหวินเอ่ยตอบ “การแกล้งทำเป็นตาบอดเพื่ออุดมคติอันสูงส่ง เหมือนกับที่ในบทกล่าวไว้ ว่าการสูญเสียการมองเห็นทำให้เขามีสมาธิกับเปียโนมากขึ้น…”
เสิ่นชิงและอี้เฉิงกงขมวดคิ้ว
ใกล้เคียงกับที่ผู้ทดสอบหน้ากล้องคนก่อนๆ มาก
ทว่าในตอนนั้นเอง คำพูดของหลิ่วเจิ้งเหวินก็เปลี่ยนทิศทาง “แต่นี่เป็นเพียงจุดประสงค์ในขั้นต้น เมื่อเยี่ยเซินพบข้อดีของการแกล้งตาบอด จุดประสงค์ของเขาก็เปลี่ยนไป จุดประสงค์ของเขาไม่ได้บริสุทธิ์ขนาดนั้นแล้ว เพราะเขาพบว่าผู้คนไม่ได้รู้สึกระแวงคนตาบอด พวกเขาคล้ายกับจะหลงเชื่ออย่างง่ายดายว่านักเปียโนตาบอดนั้นเป็นคนน่าสงสารที่มีพรสวรรค์ เรียกความเห็นอกเห็นใจจากผู้คนได้ คนตาบอดสามารถบรรเลงเปียโนออกมาได้อย่างไพเราะเช่นนี้ ทุกคนก็บอกได้ว่าเยี่ยเซินทุ่มเทให้กับเปียโนมากแค่ไหน เห็นได้ว่าเขายืนหยัดต่อสู้กับชีวิตการเป็นศิลปินมากแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงได้รับทิปเป็นสองเท่า ความพยายามของเขานั้นอาจเป็นเรื่องจริง แต่เขาไม่ได้เป็นคนตาบอดจริงๆ”
หลินเยวียนถาม “มีอะไรอีกมั้ยครับ”
หลิ่วเจิ้งเหวินตอบอย่างเรียบง่าย “โรคถ้ำมอง”
เสิ่นชิงและอี้เฉิงกงสบตากัน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลิ่วเจิ้งเหวินพูดต่อ “ในบทมีอยู่ฉากหนึ่ง ผู้หญิงสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าเขาได้โดยไม่รู้สึกผิดปกติ นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากนะครับ ถ้าลองจินตนาการว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เยี่ยเซินทำพฤติกรรมเช่นนี้ ใครจะไประแวงคนตาบอดล่ะครับ เพราะฉะนั้นเขาจึงได้เห็นด้านที่ผู้คนไม่ยินดีเปิดเผยให้คนอื่นได้เห็น แต่เขาก็ยังแนบเนียนไม่มีพิรุธ นี่คือโรคชอบถ้ำมองของเขา คงจะทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ…”
ไม่มีการสนทนาในเชิงลึกอีก
พูดคุยกันถึงตรงนี้ก็พอหอมปากหอมคอแล้ว
ยังมีคนต่อคิวรอทดสอบหน้ากล้องอีก
จนกระทั่งเวลาสี่โมงเย็น การทดสอบหน้ากล้องอันยาวนานก็สิ้นสุดลง
อี้เฉิงกงเอ่ยขึ้นมาก่อน “ตัวเอกชายคงจะไม่ต้องถามแล้วล่ะมั้ง”
เสิ่นชิงคล้ายกับจะรู้ว่าอี้เฉิงกงหมายถึงใคร “เขาเป็นคนเดียวที่พูดถึงโรคถ้ำมอง”
“เลือกเขานี่แหละครับ”
หลินเยวียนตัดสินใจ
หลายคนที่มาทดสอบหน้ากล้องวันนี้ล้วนเอ่ยถึงเรื่องที่เยี่ยเซินแสร้งว่าตาบอดเพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากผู้คน และทำให้ผู้คนยอมรับในฝีมือในการบรรเลงเปียโนของตน แต่หลิ่วเจิ้งเหวินเป็นเพียงคนเดียวที่เอ่ยถึงเรื่อง ‘โรคถ้ำมอง’
นี่เป็นการวิเคราะห์ลงไปถึงขั้นธรรมชาติของมนุษย์
บางทีนักแสดงคนอื่นๆ ก็คิดไปถึงขั้นนี้ แต่ไม่มีใครเอ่ยถึง คล้ายกับว่าทุกคนจงใจไม่เอ่ยถึงประเด็นนี้
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า จิตใต้สำนึกของทุกคนไม่เต็มใจยอมรับว่าตัวเอกชายเป็นคนไม่ดี
ถึงอย่างไรเมื่อมองจากภาพรวมของบทแล้ว ตัวเอกชายควรเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมเสียมากกว่า
แต่ถึงอย่างนั้น ในความจริงแล้ว หลินเยวียนกลับเข้าใจการวางตัวละครของบทดี
ง่ายๆ ไม่กี่คำ ‘ไม่มีใครเป็นคนดีหรอก’
“งั้นตัวเอกหญิงล่ะครับ…” อี้เฉิงกงกล่าว
เสิ่นชิงตอบ “ผมว่าโจวเสวี่ยไม่เลวเลย นักแสดงอายุสี่สิบ ยังดูแลตัวเองดีขนาดนี้ หายากจริงๆ นะครับ”
“ได้ครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า
โจวเสวี่ยเป็นนักแสดงของบริษัท เธอสวยมากจริงๆ ช่วงวัยรุ่นก็เป็นที่นิยมมากเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้อายุมากแล้ว จึงยากที่จะหาบทที่เหมาะสม
นักแสดงชาย อายุประมาณสามสิบยังเป็นที่นิยมชมชอบ
ส่วนนักแสดงหญิงหลังจากอายุย่างเข้าเลขสามหรือเลขสี่กลับได้รับเชิญน้อยมาก
นี่เป็นสถานการณ์ทั่วไปที่นักแสดงหญิงประสบพบเจอ
ตัวเอกหญิงของเรื่องนี้ถูกจัดวางให้เป็นตัวร้ายทรงเสน่ห์
จะใช้นักแสดงอายุน้อยเกินไปไม่ได้ จำเป็นต้องหน้าตาสะสวย แถมยังต้องมีทักษะการแสดงที่สูงมาก อันที่จริงไม่ได้มีขอบเขตตัวเลือกที่กว้างนัก
ส่วนนักแสดงสมทบอื่นๆ หลินเยวียนไม่ได้เข้าไปสอดมือ โดยทั่วไปล้วนเป็นเสิ่นชิงและอี้เฉิงกงปรึกษาหารือและตัดสินใจ
ขั้นตอนต่อไป ก็คือถ่ายทำอย่างเป็นทางการ…
……………………………………………