Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 3 ประกาศกร้าว
ตอนที่ 3 ประกาศกร้าว
“เมื่อพบทำนองเพลงหลักที่ค่อนข้างยาว ทุกคนสามารถตัดแบ่งเป็นท่อนสั้นๆ ได้ และนั่นก็คือวลีดนตรีที่เรามักจะเรียกกัน ทุกท่วงทำนองของวลีดนตรีล้วนมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ตัวอย่างเช่นท่อนนี้…”
ช่วงสายวันต่อมา
คลาสเรียนของสาขาการประพันธ์เพลง
หลินเยวียนฟังอาจารย์สอน พลางจดบันทึกบทเรียนลงสมุด
ถึงแม้เจ้าของร่างจะย้ายจากสาขาการขับร้องมายังสาขาการประพันธ์เพลง อีกทั้งพรสวรรค์ด้านการประพันธ์เพลงนั้นไม่นับว่าโดดเด่น ทว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับดนตรีล้วนแต่อยู่ในขอบเขตความสนใจของเจ้าของร่างทั้งสิ้น
และในตอนนี้หลินเยวียนก็สนอกสนใจดนตรีเช่นเดียวกับเจ้าของร่าง
หลังจากนี้เขาไม่อยากให้ตัวเองเป็นคนที่ปล่อยเพลงออกมากองหนึ่ง แต่กลับจำโน้ตบรรทัดห้าเส้นได้ไม่คล่อง
เพียงแต่หลินเยวียนนึกไม่ถึงว่าการตั้งใจเรียนในคลาสของสาขานั้นยังจะนำมาซึ่งประโยชน์อีกมากทีเดียว
ข้างหูของเขาพลันได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น “ติ๊งต่อง ตรวจสอบพบว่าเจ้าของร่างกำลังศึกษาความรู้เรื่องการประพันธ์เพลง มอบหมายภารกิจมือใหม่”
หลังจากนั้น
เบื้องหน้าของหลินเยวียนก็ปรากฏตัวอักษรสีน้ำเงินเรืองแสงบางเบา
[ชื่อภารกิจ: หน้าที่ของนักเรียนคือการเรียน]
[เนื้อหาภารกิจ: ติดยี่สิบห้าอันดับแรกของเซคในการสอบทฤษฎีดนตรีครั้งถัดไปในวิชาของสาขา]
[รางวัลภารกิจ: ได้รับกล่องสมบัติทองแดงหนึ่งกล่อง]
ภารกิจผู้เล่นมือใหม่นี้มาโดยไม่ทันตั้งตัว แต่หลินเยวียนกลับไม่ได้รู้สึกประหลาดใจสักเท่าไร
ระบบที่ไม่มอบหมายภารกิจยังจะเป็นระบบได้เหรอ
ต่อจากนั้นเขาจึงพิจารณาถึงระดับความยากของภารกิจ
สาขาการประพันธ์เพลงวิทยาลัยดนตรีฉินโจวมีทั้งหมดสิบเซค ทุกเซคมีประมาณห้าสิบคน และเซคที่หลินเยวียนเรียนนั้นมีห้าสิบคนพอดิบพอดี
แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหลินเยวียน
นั่นเพราะเขาไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับนักศึกษาในเซคอื่นๆ
ภารกิจผู้เล่นใหม่เพียงต้องการให้หลินเยวียนอยู่ในยี่สิบห้าอันดับแรกของเซคในการสอบครั้งต่อไป
เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่นักสำหรับหลินเยวียน
เพราะว่าปกติแล้วหลินเยวียนจะอยู่ในสามสิบอันดับแรกของเซค ขอเพียงพยายามขึ้นอีกสักหน่อย ก็น่าจะเข้าไปอยู่ในยี่สิบห้าอันดับแรกได้
“ถ้าทำภารกิจไม่สำเร็จแล้วจะเป็นยังไง”
หลินเยวียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “จะถูกระบบช็อตไฟฟ้าเหรอ หรือว่าจะถูกระบบลบทิ้ง เดี๋ยวนะ!”
หลินเยวียนหน้าถอดสีเล็กน้อย “คงไม่ได้หักเงินหรอกใช่ไหม ไม่นะ ไม่นะ ไม่นะ”
[กฎข้อแรกของระบบ: ห้ามทำร้ายโฮสต์]
[อีกหนึ่งคำเตือนด้วยความหวังดี: ทั้งช็อตไฟฟ้าและลบทิ้ง แต่ละอย่างล้วนน่ากลัวกว่าการหักเงินเสียอีก โฮสต์ได้โปรดเรียงลำดับความสำคัญ]
“ไม่หักเงินก็พอแล้ว”
หลินเยวียนผ่อนลมหายใจ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าต่อให้ระบบอยากหักเงินเขา เขาก็ไม่มีเงินให้ระบบหักอยู่ดี…
สิ่งที่เขาตระหนักได้ในครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกอ่อนใจอยู่บ้าง
……
หลังเลิกเรียน
หลินเยวียนไม่ได้กลับหอ แต่กลับไปหามุมสงบ หาหมายเลขโทรศัพท์หนึ่งบนมือถือ ก่อนจะต่อสายไป หมายเลขโทรศัพท์นั้นขึ้นรายชื่อว่า
‘ผู้จัดการจ้าวเจวี๋ย’
โทรศัพท์ดังสองครั้งจึงโทรติด
ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงที่ฟังดูออกจะอิดโรยอยู่สักหน่อย “หลินเยวียน? เธอมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
หลินเยวียนตอบ “ผมมีเพลงอยากปล่อยครับ”
เสียงจากปลายสายพลันตื่นเต้นขึ้นมาทันใด “อยากปล่อยเพลง? คอของเธอหายดีแล้ว? ร้องเพลงได้แล้วเหรอ”
“เปล่าครับ”
หลินเยวียนบอกว่า “ตอนนี้ผมย้ายจากสาขาขับร้องมาสาขาการประพันธ์เพลงน่ะครับ ช่วงนี้มีเพลงในมือเลยอยากลองดูว่าทางบริษัทจะช่วยผมหานักร้องมาทำเพลงได้ไหม”
“อย่างนั้นเหรอ”
จ้าวเจวี๋ยรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำอีกครั้ง “เธอก็จะเข้าร่วมฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลงในเดือนพฤศจิกายนสินะ”
“ใช่ครับ”
“ฉันต้องเตือนเธอไว้ก่อน เธอเซ็นสัญญาเป็นนักร้องกับสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ของพวกเรา ไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นนักแต่งเพลง ในบริษัทมีแผนกประพันธ์เพลงที่คอยประสานงานกับนักร้องโดยเฉพาะ นักร้องส่วนมากเองก็ร่วมงานกับคนแต่งเนื้อกับทำนองเพลงที่ตัวเองมีอยู่แล้ว…” จ้าวเจวี๋ยปฏิเสธทางอ้อม
หลินเยวียนกลับไม่ยอมแพ้ “งั้นผมย้ายไปฝ่ายประพันธ์เพลงตอนนี้เลยได้ไหมครับ”
เขาต้องการช่องทางปล่อยเพลงของบริษัทใจจะขาดแล้ว
ถ้าหากไม่มีทรัพยากรจากบริษัทคอยผลักดัน ต่อให้เป็นบทเพลงขั้นเทพขนาดไหนก็ง่ายที่จะจมลงก้นทะเล เบื้องหลังของเด็กใหม่ที่โด่งดังจากฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ในปีก่อนๆ ก็ล้วนมีบริษัทบันเทิงคอยหนุนหลังกันทั้งนั้น
“ไม่ได้!”
จ้าวเจวี๋ยปฏิเสธทันควัน
บรรยากาศเงียบงันไปนับสิบวินาที จู่ๆ จ้าวเจวี๋ยก็พรูลมหายใจออกมา พูดอย่างจนปัญญาอยู่สักหน่อย “เอาเถอะ เธอใช้ช่องทางเข้ารหัสภายในของบริษัทส่งเพลงมาให้ฉันแล้วกัน ถ้าผลงานใช้ได้ละก็ ฉันจะหาคนปล่อยเพลงให้ แต่แน่นอนว่าถ้าคุณภาพไม่ดี พวกเราก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“ขอบคุณครับ”
หลินเยวียนเอ่ยขอบคุณอย่างจริงจัง
ก่อนหน้านี้ที่จ้าวเจวี๋ยเซ็นสัญญาหลินเยวียน เธอตั้งความหวังกับหลินเยวียนไว้สูง น่าเสียดายที่เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับคอของหลินเยวียน จนตัวเขาสูญสิ้นมูลค่าไป
ในสถานการณ์เช่นนี้ จ้าวเจวี๋ยก็ยังยินดีช่วยเหลือหลินเยวียน นับว่ามีน้ำใจมากแล้ว
“ตามนี้ก็แล้วกัน ฉันวางสายละ”
จ้าวเจวี๋ยตัดสายอย่างหงุดหงิด
……
จ้าวเจวี๋ยไม่ได้หงุดหงิดใส่หลินเยวียน แต่ความหงุดหงิดกลับมีสาเหตุมาจากหลินเยวียน
และเป็นเพราะเดือนหน้าจะมีฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลง เรื่องที่จ้าวเจวี๋ยต้องจัดการนั้นมีมากมายเหลือเกิน
ในความดูแลยังมีเด็กใหม่ซึ่งเพิ่งเซ็นสัญญาอีกหลายคนที่หมายจะลองลุยในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ซึ่งจัดขึ้นปีละครั้ง
เดิมทีหลินเยวียนก็ควรเป็นหนึ่งในเด็กใหม่กลุ่มนี้
ก่อนหน้านี้จ้าวเจวี๋ยถึงขั้นเชิญนักแต่งเพลงเบอร์ใหญ่ของบริษัทมาช่วยแต่งเพลงให้เข้ากับหลินเยวียนอยู่หลายเพลง เพื่อให้หลินเยวียนเป็นที่ตกตะลึงในฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ เพราะพรสวรรค์ด้านการขับร้องของเขานั้นน่าทึ่งจริงๆ
ผลคือสวรรค์ไม่บันดาลให้เป็นดังใจหวัง
“เส้นทางนักร้องยังเดินไม่ไหว เลยอยากเปลี่ยนไปเดินสายนักแต่งเพลงงั้นเหรอ?”
จ้าวเจวี๋ยส่ายหน้ายิ้มขื่น ถ้าหากการเขียนเพลงมันง่ายดายขนาดนั้น ทำไมนักร้องระดับราชาราชินีเพลงถึงไม่เขียนเพลงเอง แต่ต้องเชิญนักเขียนเนื้อร้องและทำนองเบอร์ใหญ่มาเขียนให้ด้วยล่ะ
เพราะว่าพวกเขาไม่อยากเขียนหรือไง
หรือเป็นเพราะพวกเขาเขียนเพลงดีๆ ที่ผู้คนชอบฟังกันไม่ออก
อย่างในยุคนี้ สถานะของอาจารย์ซึ่งเขียนเพลงเพลงหนึ่งนั้นสูงกว่านักร้องมาก โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมของสายงานที่เน้นการปฏิบัติจริงเช่นนี้ในปัจจุบัน
นักแต่งเพลงก็คือป๋าใหญ่ดีๆ นี่เอง!
เป็นเพราะถ้าบริษัทหนึ่งมีนักแต่งเพลงที่เจ๋งเป้งสักคน ก็สามารถเลี้ยงดูนักร้องได้กองโต
ความจริงแล้ว หลายปีมานี้ ผู้ฟังก็เริ่มสนใจชื่อนักแต่งเพลงมากขึ้นด้วย
เห็นได้ชัดว่าผู้คนต่างเริ่มตระหนักแล้วว่าการแต่งทำนองเพลงนี่สิจึงจะนับว่าเป็นจิตวิญญาณของบทเพลง
การร้องก็ยังเป็นรอง!
ส่วนอื่นๆ อย่างการเขียนเนื้อเพลงหรือเรียบเรียงเพลง แม้ว่าจะสำคัญมาก แต่แก่นกลางข้างในสุดย่อมเป็นการทำทำนองเพลงซึ่งสำคัญยิ่งกว่าการแสดงสด
ทำนองเพลงที่ดี ใช้เสียงเครื่องดนตรีส่งเดชก็ยังเพราะ!
ไม่ว่าจะใช้กีตาร์ เปียโน หรือว่าเบสโอโบก็ตามแต่ ถ้าเจอคนที่ชอบเล่นดนตรีจริงๆ ต่อให้เป็นเสียงซาวน่าก็สามารถหยิบยืมมาใส่ลูกเล่นได้
‘เด็กคนนี้เป็นคนน่าสงสาร’
เมื่อหวนนึกถึงความหลังบางเรื่อง จ้าวเจวี๋ยก็รู้สึกสะท้อนใจ
ตอนที่หลินเยวียนเข้าโรงพยาบาล จ้าวเจวี๋ยในฐานะผู้จัดการที่หลินเยวียนเซ็นสัญญา อันที่จริงก็ได้ไปเยี่ยมเขา
แต่สุดท้ายแล้วเธอก็หยุดลงที่หน้าประตูห้องผู้ป่วย
เป็นเพราะเธอยืนอยู่หน้าประตู จึงได้ยินเสียงสะอื้นไห้แหบพร่าดังมาไม่หยุด เสียงแบบนี้ เหมือนกับลูกสุนัขบาดเจ็บ…
มนุษย์ล้วนมีความเห็นอกเห็นใจ
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้จ้าวเจวี๋ยช่วยหลินเยวียน
ยังไม่ต้องถามว่าจะทำสำเร็จไหม อย่างน้อยก็ต้องให้โอกาสเด็กคนนี้สักครั้ง ให้เด็กคนนี้ได้รู้ว่าบนโลกใบนี้ มีหลายเรื่องที่ใช่ว่านึกอยากทำแล้วจะสำเร็จ
“แต่ว่า เธอทำฉันเจ็บหนักมาแล้ว”
จ้าวเจวี๋ยถอนหายใจ บนใบหน้าฉายแววกลัดกลุ้ม นี่แหละคือต้นเหตุที่ทำให้เธอหงุดหงิด
ฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่แห่งวงการเพลงซึ่งจัดขึ้นเพียงปีละครั้ง ล้วนเป็นช่วงเวลาที่บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างดันเด็กใหม่กันสุดฤทธิ์
ในช่วงเวลานี้ บริษัทใหญ่แต่ละแห่งเรียกได้ว่ายกดาบเงื้อกระบี่มาฟาดฟันกันอย่างดุเดือด
ต่อให้เปรียบกับทั้งแปดทวีป สตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ก็ยังเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีหน้ามีตา
และในฉินโจว ศักยภาพโดยรวมของสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์ก็จัดได้ว่าอยู่ในสามอันดับแรก!
ทว่าผลงานของเด็กใหม่จากสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์นั้นออกจะซึมเซามาสามปีติดต่อกัน
ในสามปีที่ผ่านมา ผลงานครั้งที่ดีที่สุดของบริษัทก็คือเด็กใหม่สองคนที่บริษัทส่งไปเมื่อปีก่อนและเบียดเข้าไปอยู่ในสิบอันดับแรก มิหนำซ้ำยังรั้งท้ายตารางเป็นอันดับที่เก้าและสิบ…
เมื่อเทียบกับบริษัทในระดับเดียวกันแล้ว ก็ออกจะดูอเนจอนาถอยู่สักหน่อย
และสิ่งที่ทำให้สตาร์ไลท์โมโหที่สุดก็คือซาไห่คัลเจอร์ ศัตรูคู่อาฆาตของบริษัท เมื่อปีที่แล้วเด็กใหม่ของพวกเขาครองไปถึงสี่ตำแหน่งในรายชื่อสิบอันดับแรกของฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่
ในสี่ตำแหน่ง ยังรวมไปถึงอันดับสองและอันดับสามซึ่งคุณสมบัติโดดเด่นอีกด้วย
เรื่องนี้ทำให้เหล่าผู้บริหารระดับสูงของสตาร์ไลท์อับอายขายหน้า ถึงอย่างไรบริษัทบันเทิงเหล่านี้ในฉินโจวก็ไม่ค่อยกินเส้นกันอยู่แล้ว ฉะนั้นบุคลากรระดับสูงทั้งหลายก็พลอยหันมากดดันหัวหน้าผู้จัดการอย่างจ้าวเจวี๋ย
จ้าวเจวี๋ยถูกกดดันจนอับจนหนทาง จึงประกาศกร้าวต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงทั้งหมดว่า
‘เด็กใหม่ปีนี้จะต้องมีสักคนที่ติดสามอันดับแรก!’
หากทำไม่ได้ เธอจะจัดการลดตำแหน่งตัวเอง
ทว่าเหตุผลที่จ้าวเจวี๋ยกล้าประกาศกร้าว ไม่ใช่เพียงเพราะผู้บริหารบีบคั้นจนสิ้นไร้ไม้ตอก แต่เป็นเพราะจ้าวเจวี๋ยเพิ่งจะเซ็นสัญญากับเด็กหนุ่มชื่อว่าหลินเยวียนผู้มีพลังเสียงชวนตะลึง จึงเตรียมพร้อมรับงานใหญ่ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เธอคิดว่าหลินเยวียนสามารถช่วยให้เธอทำภารกิจสำเร็จได้
แต่ตอนนี้คอของหลินเยวียนพังไปแล้ว ทว่าคำประกาศกร้าวกลับอยู่ยงคงกระพัน
ผู้บริหารระดับสูงต้องการแค่ผลลัพธ์ ไม่ได้มาสนใจว่าระหว่างขั้นตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
ดังนั้นช่วงนี้จ้าวเจวี๋ยจึงเสาะหาคนที่จะมาแทนที่หลินเยวียนอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อช่วยให้ตนทำตามคำพูดได้สำเร็จ และเพราะแบบนี้ตนจึงได้เสนอเด็กใหม่ไปติดๆ กันเก้าคนแล้ว
ทว่าจ้าวเจวี๋ยก็รู้แก่ใจดี
เด็กใหม่เก้าคนนี้ที่เธอรายงานขึ้นไปนั้น ถ้าหากเข้าไปอยู่ในยี่สิบอันดับแรกยังพอมีหวัง แต่ขึ้นไปอยู่สิบอันดับแรกคงต้องพึ่งโชค
คิดจะขึ้นไปติดห้าอันดับหรือสามอันดันแรกน่ะเหรอ?
ไปอาบน้ำนอนเอาดีกว่า ในความฝันก็มีให้หมดทุกอย่างนั่นแหละ
ทรัพยากรของบริษัทสามารถจัดสรรไปให้สิบคนนี้ได้ ในตอนนี้เหลือเพียงคนเดียวแล้ว แต่จ้าวเจวี๋ยกลับยังคงไม่สามารถหาคนมาแทนที่หลินเยวียนได้
เธอกำลังเข้าสู่สภาวะใกล้ยอมแพ้เต็มที
สุดท้ายถึงได้รับปากหลินเยวียนไป
อย่างไรเสียก็เป็นคนสุดท้ายแล้ว ถ้าหากเพลงที่หลินเยวียนเขียนพอจะผ่านเกณฑ์ได้ ทำไมไม่ช่วยทำตามความปรารถนาของเด็กที่น่าสงสารคนนี้สักหน่อยล่ะ
ในตอนนั้นเอง
โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
เป็นเสียงแจ้งเตือนอีเมล ส่งผ่านการเข้ารหัสของช่องทางบริษัท ผู้ส่งก็คือหลินเยวียน
จ้าวเจวี๋ยเปิดอีเมล
หลังจากใส่รหัสแล้ว ก็เห็นไฟล์เสียงที่หลินเยวียนส่งมา ชื่อไฟล์ว่า ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’
ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์?
จ้าวเจวี๋ยไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้ แต่เธอก็พอจะเชื่อมโยงความหมายได้คร่าวๆ
เธอใส่หูฟัง กดเล่นเพลง
ท่ามกลางทำนองเพลงอ้อยอิ่ง บทเพลงจบลงอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของจ้าวเจวี๋ยแลดูประหลาดใจอยู่บ้าง เพลงที่หลินเยวียนส่งมานั้นสมบูรณ์มาก นอกจากท่วงทำนองที่สมบูรณ์แล้ว แม้แต่ส่วนของการเรียบเรียงก็ทำไว้แล้วเสร็จสรรพ
นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะทำออกมาได้ในระยะเวลาอันสั้น
และในส่วนของการร้องก็เป็นเพียงเสียงฮัม เสียงสังเคราะห์มาจากคอมพิวเตอร์
เพียงแต่ว่าเสียงนี้ไม่ได้แข็งกระด้างเท่าไรนักเมื่อเทียบกับเสียงสังเคราะห์ทั่วไป เป็นธรรมชาติมากเสียด้วย
ถึงอย่างนั้นจ้าวเจวี๋ยตัดสินจากประสบการณ์ได้ว่าถ้าหากเสียงฮัมอันไร้อารมณ์นี้ถูกแทนที่ด้วยเสียงของผู้ใหญ่ละก็น่าจะไปได้ไกลทีเดียว
“น่าสนใจมาก”
จ้าวเจวี๋ยเป็นผู้จัดการคนหนึ่ง
เธออาจเข้าใจการเขียนเพลงแค่งูๆ ปลาๆ แต่เธอก็คร่ำหวอดในอาชีพนี้มาหลายปี การตัดสินง่ายๆ แบบนี้ย่อมทำได้ไม่เลว
แววตาเป็นประกายบางเบา เธอรู้สึกว่า ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ อาจเป็นเพลงที่ดีมากเพลงหนึ่ง เพราะว่าตัวเธอเองก็เคลิบเคลิ้มไปบ้างเหมือนกัน ต่อให้ในตอนนี้เพลงนี้จะมีแค่ทำนองกับเสียงฮัมซึ่งสังเคราะห์ขึ้นมาก็เถอะ
“เจ้าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์ด้านการแต่งเพลงจริงเหรอเนี่ย”
จ้าวเจวี๋ยเลิกคิ้วอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะโทรศัพท์สามครั้งอย่างต่อเนื่อง
สายแรกที่โทรหาก็คือแผนกตรวจสอบ “ฉันมีเพลงอยู่ พวกเธอช่วยตรวจสอบหน่อย งานด่วน ต้องได้คำตอบตอนเย็น”
นี่เป็นด่านสำคัญ
ที่ต้องตรวจสอบทางเทคนิคก็เพื่อป้องกันไม่ให้ทำนองของเพลง ‘ชีวิตดั่งมวลผกายามคิมหันต์’ ของหลินเยวียนไปคล้ายกับเพลงอื่นในท้องตลาดมากเกินไปจนเสี่ยงเข้าข่ายคัดลอกผลงาน ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้น ก็จะมีผลกระทบรุนแรงต่อชื่อเสียงบริษัท
สายที่สองโทรไปหาผู้จัดการในสังกัด
ในฐานะหัวหน้า เสียงของจ้าวเจวี๋ยนั้นหนักแน่นเด็ดขาด “เย็นนี้อัดเพลง คนสุดท้ายของฤดูกาลศิลปินหน้าใหม่ ขอแบบที่เชื่อถือได้ อย่าทำให้ซาวด์เอนจิเนียร์ต้องยุ่งยาก”
สำหรับจ้าวเจวี๋ย เด็กใหม่ที่เสียงสูงไม่พอนั้นยังพอรับได้
ก็แค่ซาวด์เอนจิเนียร์ของบริษัทต้องทำงานล่วงเวลานานขึ้นเท่านั้นเอง
สายที่สามโทรหาหลินเยวียน น้ำเสียงของเธออ่อนโยนเป็นที่สุด ไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนกับสองสายก่อนหน้านี้แม้แต่นิดเดียว “วันนี้เลิกเรียนกี่โมงเหรอ ฉันจะได้ไปรับเธอที่วิทยาลัย เราจะไปอัดเพลงกัน”
“ครับ”
หลินเยวียนตอบ
น้ำเสียงนี้มัน…ไม่ตกใจเลยเหรอ
…………………………………….