Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 305 ลูกศิษย์คนที่สาม
ตอนที่ 305 ลูกศิษย์คนที่สาม
คนกลุ่มนี้เกินไปแล้วนะ ในคอมเมนต์ยังมีคนเขียนอีกว่าลายมือของตนเหมือนเด็กประถม?
และที่มากไปกว่านั้นก็คือ จินมู่ถึงกับซื้อแบบฝึกหัดคัดลายมือให้หลินเยวียนหลายเล่ม เหตุผลที่ซื้อมานั้นคงไม่ต้องบอกก็รู้
“…”
เมื่อนึกถึงว่าแบบฝึกหัดเหล่านี้ต้องจ่ายเงินซื้อมา ด้วยนิสัยไม่ชอบเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ หลินเยวียนจึงตัดสินใจฝึกคัดลายมือ
ในเวลานี้ภารกิจที่เกี่ยวข้องของฉู่ขวงคืบหน้าไปอีกขั้น
อย่างแรกก็คือจำนวนผู้ติดตามของฉู่ขวง ทะยานขึ้นแตะ 80 ล้านแล้ว
ค่าความโด่งดังด้านวรรรณกรรมทะลุ 600,000
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของฆาตกรรมโรเจอร์ แอ็กครอยด์ เทคนิคการเล่าเรื่องแบบผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้โดยไม่ต้องสงสัย และอีกประโยชน์หนึ่งของนิยายเรื่องนี้ก็คือทำให้ฉู่ขวงดึงดูดผู้ชื่นชอบนิยายสืบสวนสอบสวนเพิ่มมาอีกส่วนหนึ่ง…
อาณาจักรแห่งนิยายสืบสวนสอบสวนนั้นไม่ใช่เล็กๆ
ถึงแม้ว่าฉู่ขวงจะพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในวงการนิยายสืบสวนสอบสวน แต่ในอาณาจักรอันกว้างใหญ่นี้ ยังมีหนทางที่ยาวไกลรอเขาอยู่
เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้อ่านของหมวดหมู่แฟนตาซีนั้นถูกฉู่ขวงตกไปไม่น้อย
ต้องเข้าใจว่า ภายใต้สถานการณ์ที่ฐานผู้อ่านน่าเกรงขามเช่นนี้ จำนวนผู้อ่านที่ทับซ้อนกันระหว่างหมวดสืบสวนสอบสวนและแฟนตาซีนั้นมีไม่สูงนัก
ทว่า สิ่งที่หลินเยวียนและคลังหนังสือซิลเวอร์บลูคาดไม่ถึงก็คือ ไม่กี่วันหลังจากนั้น หนังสือพิมพ์วรรณศิลป์ก็รายงานข่าวเกี่ยวกับหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง
‘ฉู่ขวงให้กำเนิดวรรณกรรมสืบสวนสอบสวนรูปแบบใหม่ ผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้!’
‘ฉู่ขวงอาจไม่ใช่นักเขียนคนแรกที่กล้าสับขาหลอกผู้อ่าน แต่ฉู่ขวงกลับเป็นนักเขียนแนวสืบสวนสอบสวนซึ่งตลบหลังผู้อ่านได้ถึงพริกถึงขิง และทุกคนก็ยินยอมพร้อมใจถูกตลบหลัง ความเก่งกาจของเขาอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าเป็นการออกแบบตัวละคร รูปแบบการเขียน การไขคดี การวางกลอุบาย และการบรรยายรายละเอียด ไม่ว่าจะมองจากมุมใด หากกล่าวว่าประณีตก็ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย เพียงแต่เราก็ยังคงพร่ำบ่นเกี่ยวกับความเจ้าเล่ห์ของฉู่ขวง เช่นเดียวกับเสียงจากแฟนคลับจำนวนมากซึ่งทั้งรักทั้งเกลียด เจ้าแก่คนนี้ชื่นชอบการขุดหลุมพรางให้ผู้อ่านกระโดดลงไป เมื่อก่อนดักผู้อ่านนิยายแฟนตาซี ยามนี้ยื่นเงื้อมมือปีศาจเข้ามาในวงการนิยายสืบสวนสอบสวนแล้ว…’
ก่อนหน้านี้คลังหนังสือซิลเวอร์บลูรีบร้อนปรับบรรยากาศ ก็เพื่อวางรากฐานความสำเร็จในวงการวรรณกรรมสืบสวนสอบสวนให้แก่เรื่องฆาตกรรมโรเจอร์ แอ็กครอยด์
ทว่าต่อให้อวยยศนักเขียนในสังกัดตนไปกี่หมื่นประโยค ก็เทียบไม่ได้กับหนึ่งประโยคจากสื่อทางการ
ยามนี้คือการการันตีที่แท้จริง!
เทคนิคผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้นั้นได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในโลกวรรณกรรมสืบสวนสอบสวนว่าเป็นการสร้างสรรค์ผลงานรูปแบบใหม่!
อันที่จริง ไม่ต้องรอให้หนังสือพิมพ์วรรณศิลป์ออกโรง นักเขียนหลายคนก็เริ่มสร้างสรรค์ผลงานและประยุกต์ใช้เทคนิคผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้นี้แล้ว
เช่นเดียวกับผลงานก่อนหน้านี้ของฉู่ขวง
เป็นอีกครั้งที่เขาเป็นผู้นำกระแส!
วงการสำนักพิมพ์คุ้นเคยกับสถานการณ์ประเภทนี้ดี
เพราะ ‘การตามกระแสฉู่ขวง’ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องซึ่งสำนักพิมพ์จะทำทุกครั้งหลังจากที่ฉู่ขวงเผยแพร่ผลงานชิ้นใหม่
เพียงแต่ก่อนหน้านี้นักเขียนหมวดแฟนตาซีตามกระแสฉู่ขวง ตอนนี้เป็นคิวของนักเขียนหมวดสืบสวนสอบสวนบ้างแล้ว
นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าไม่ว่าจะเป็นแนวไหนหมวดหมู่ใด เมื่อมีผลงานรูปแบบใหม่ปรากฏขึ้นมา การตามกระแสเป็นปรากฏการณ์ทั่วไปซึ่งเกิดขึ้นคู่กัน
เช่นเดียวกับคำพูดประโยคหนึ่งซึ่งคลังหนังสือซิลเวอร์บลูใช้ในการโปรโมตเรื่องฆาตกรรมโรเจอร์ แอ็กครอยด์
‘ฉู่ขวง ถูกเลียนแบบได้ แต่ไม่มีวันถูกก้าวข้าม!’
เป็นเพราะได้ลิ้มลองความหอมหวานจากหมวดสืบสวนสอบสวนมาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้หลินเยวียนจึงกำลังใคร่ครวญว่าผลงานเรื่องถัดไปจะเขียนนิยายสืบสวนสอบสวนต่อไปดีไหม
ยังไม่ต้องสนใจว่าโลกภายนอกวิจารณ์ฉู่ขวงว่าอย่างไร คนทั่วไปเข้าใจกันว่าแต่ไหนแต่ไหนมาฉู่ขวงจะไม่เขียนนิยายประเภทเดิม
หลินเยวียนไม่เคยมีกฎข้อห้ามประเภทนี้
……
แน่นอน ต่อให้กำลังขบคิดว่าหนังสือเรื่องต่อไปจะเขียนแนวสืบสวนสอบสวนต่อดีหรือไม่ หลินเยวียนก็ไม่คิดจะสั่งผลิตหนังสือเรื่องใหม่ในตอนนี้
ในวันนี้ หลินเยวียนมาที่บริษัท
หลังจากได้เป็นตัวแทนของแผนกประพันธ์เพลงแล้ว เขาก็ยิ่งเข้าออกบริษัทได้ง่ายขึ้น
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหัวหน้าของชั้นเก้า ไม่มีใครมานั่งตรวจสอบวันเข้าทำงานของเขา เพราะต่อให้ตรวจแล้วพบว่าวันทำงานของเขาไม่ครบ ก็ไม่มีใครลงโทษเขา
ใครจะกล้ายั่วโทสะพ่อเพลงตัวน้อยล่ะ?
ต่อให้เรื่องนี้ไปถึงหูผู้บริหารระดับสูง เกรงว่าเบื้องบนก็คงตอบมาเพียงว่า ‘อย่าเข้มงวดกับวัยรุ่นนักเลย’
นี่เป็นนิสัยเสียอย่างหนึ่งของสตาร์ไลท์
บริษัทจะเข้มงวดกวดขันคนที่ไม่มีความสามารถ แต่สำหรับคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง พวกเขาก็มักจะปล่อยเลยตามเลย
ส่วนถ้าถามว่าปล่อยเลยตามเลยระดับไหนน่ะหรือ ก็คงต้องดูว่าคนคนนั้นมีความสามารถมากแค่ไหน
เมื่อเดินเข้าไปในห้องทำงาน หลินเยวียนก็เรียกเฟิงซั่วกับเซวียเหลียงมา “พวกคุณเลือกลูกศิษย์คนใหม่ให้ผมได้แล้ว?”
ใช่แล้ว
วันนี้หลินเยวียนมายังบริษัทก็เพราะได้รับโทรศัพท์จากเซวียเหลียง บอกว่าเลือกลูกศิษย์คนใหม่ได้แล้ว
“ใช่ครับ”
ผู้ที่ตอบคือเฟิงซั่ว
เขาแลดูตื่นเต้นเล็กน้อย “คนที่พวกเราแนะนำ อาจารย์จะต้องพอใจมากแน่นอนครับ หลี่ลี่จื้อ?”
หลินเยวียนชะงักไปชั่วขณะ “ลูกสาวของหลี่เอ้อร์?”
เฟิงซั่วและเซวียเหลียงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หลี่เอ้อร์เป็นชื่อเล่นของประธานกรรมการน่ะครับ…อาจารย์ไม่เรียกชื่อนี้ในบริษัทจะดีกว่านะครับ หลี่ลี่จื้อเป็นลูกสาวของประธานกรรมการ แถมยังเป็นลูกสาวคนเดียวด้วย”
หลินเยวียนชะงักไปอีกครั้ง
เขาเพียงแต่โพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว
ความรู้ทางประวัติศาสตร์จากโลกเดิมที่ยังหลงเหลืออยู่บอกกับหลินเยวียนว่า หลี่ลี่จื้อเป็นธิดาของถังไท่จง[1]
ทว่าบนโลกนี้ไม่มีราชวงศ์ถัง ย่อมไม่มีหลี่ซื่อหมิน และไม่มีทางมีหลี่ลี่จื้ออย่างแน่นอน
ดังนั้นหลินเยวียนจึงนึกไม่ถึงว่าหลี่ลี่จื้อคนนี้จะถึงกับเป็นลูกสาวของประธานกรรมการ
แต่ลูกศิษย์คนที่สามจะมีสถานะอะไร หลินเยวียนไม่ได้สนใจ เขาให้ความสำคัญกับพรสวรรค์มากกว่า
ผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นอย่างเฟิงซั่วเท่านั้นถึงจะจบหลักสูตรได้อย่างรวดเร็ว ถ้าไม่มีพรสวรรค์ เขาก็ทำได้เพียงปฏิเสธไป
“อยู่ไหนเหรอครับ” หลินเยวียนเอ่ย
ครั้งนี้เซวียเหลียงเป็นคนตอบ “อยู่ข้างนอกครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า “ให้เข้ามาได้เลยครับ”
เฟิงซั่วรีบร้อนไปเปิดประตู ศิษย์น้องหญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่พวกเขาคัดเลือกมา หากแต่เป็นผู้กล้าซึ่งก้าวออกมา หลังจากที่พวกเขาไปป่าวประกาศในแผนกว่าหลินเยวียนจะรับลูกศิษย์
หลี่ลี่จื้อเชียวนะ!
ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของประธานกรรมการ!
เจ้าหญิงตัวน้อยแห่งสตาร์ไลท์เอนเตอร์เทนเมนต์!
เฟิงซั่วและเซวียเหลียงไม่กล้าปฏิเสธความกล้าหาญของเด็กผู้หญิงคนนี้หรอก
ต่อให้เดิมทีเธอจะไม่ได้เป็นคนของชั้นเก้า แต่มาจากชั้นของหยางจงหมิงก็เถอะ
“ตัวแทนหลิน สวัสดีค่ะ”
เด็กสาวผมยาวคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอสวมเสื้อโค้ตสีขาวเรียบง่ายทว่าสง่างาม กลิ่นอายของความสดใสแผ่ออกมารอบกาย บางทีอาจเป็นเพราะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เพียบพร้อม ได้รับการปกป้องดูแลเป็นอย่างดี ทำให้แววตาของเธอใสกระจ่างประดุจผิวน้ำในทะเลสาบ
เธอมองหลินเยวียนด้วยความสงสัยใคร่รู้
เธอได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคนคนนี้มาไม่น้อย
ขณะเดียวกัน ก็ลอบขบคิดในใจ ว่าทำไมอาจารย์หยางจงหมิงถึงไม่รับเธอเป็นลูกศิษย์ ต้องให้เธอมาเรียนประพันธ์เพลงกับหลินเยวียนให้ได้ พ่อเองก็เห็นดีเห็นงามกับเขาไปด้วย…
“สวัสดีครับ เชิญกลับได้เลยครับ”
หลินเยวียนตรวจสอบค่าความสามารถด้านการประพันธ์เพลงของหลี่ลี่จื้อแล้ว ตัวเลขอยู่ที่ 496
สูงกว่าเซวียเหลียง แต่เป็นรองเฟิงซั่ว
สรุปก็คือ คุณภาพธรรมดา
เพราะฉะนั้นหลินเยวียนจึงตัดสินใจปฏิเสธหลี่ลี่จื้อ
ในทัศนะของหลินเยวียนแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ปกติมาก
ทว่าสำหรับเฟิงซั่วและเซวียเหลียง สีหน้าของพวกเขาตกตะลึง ถึงขั้นตื่นตระหนกด้วยซ้ำไป
‘สวัสดีครับ เชิญกลับได้เลยครับ’
ถ้าหากเป็นคนอื่น อาจารย์จะพูดแบบนี้ก็คงไม่มีปัญหาหรอก แต่อีกฝ่ายคือหลี่ลี่จื้อไงล่ะ คุณหนูของบ้านประธานกรรมการเชียวนะ!
อาจารย์ปฏิเสธแบบไม่ลังเลเลย?
ถ้าประธานกรรมการโกรธขึ้นมาจะทำยังไง
อ่า ไม่สิ ถ้าเป็นอาจารย์ละก็ ประธานกรรมการคงไม่พูดอะไรมาก แต่การปฏิเสธแบบไม่ไว้หน้าแบบนี้จะไม่เป็นไรจริงๆ น่ะหรือ?
“อ๋า?”
หลี่ลี่จื้ออึ้งไปชั่วขณะ เธอไม่ได้โมโห แต่หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
นี่คือความรู้สึกของการถูกปฏิเสธใช่ไหมนะ?
ตั้งแต่เด็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกคนปฏิเสธ
หลินเยวียนคิดว่าการปฏิเสธไปตรงๆ อาจทำให้รู้สึกเจ็บปวด จึงเอ่ยเสริมไปด้วยเจตนาดี “พรสวรรค์ของคุณไม่พอน่ะครับ ผมอยากได้ลูกศิษย์ที่ฝีมือดีสักหน่อย”
เฟิงซั่วกุมขมับ
เซวียเหลียงก้มหน้ามองปลายเท้า
นี่อาจารย์กำลังปลอบใจอยู่เหรอ
ปลอบใจจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย?
จะนั่งฟังนอนฟัง ก็เหมือนกับกำลังพูดแทงใจดำหลี่ลี่จื้อซะมากกว่า
ถึงจะได้ยินมาตลอดว่าเจ้าหญิงตัวน้อยคนนี้ไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน เป็นมิตรกับทุกคน แต่ถูกอาจารย์วิจารณ์แบบนี้ ก็คงต้องมีหัวเสียกันบ้างล่ะมั้ง?
แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งสองก็คิดผิดอีกครั้ง
หลี่ลี่จื้อยังคงไม่โมโห ทว่าร่างกายรู้สึกชาวาบ ในใจรู้สึกอับอายอย่างพรรณนาไม่ได้
นี่มัน…
ความรู้สึกของการถูกตำหนิ?
อื้ม ตั้งแต่เด็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนตำหนิ
เธอเอ่ยเสียงสูงขึ้นเล็กน้อยอย่างทนไม่ไหว “ฉันจะพยายาม”
“…”
หลินเยวียนปฏิเสธคนไม่เก่ง แต่เรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงระดับความยากของภารกิจ หลินเยวียนไม่มีทางอย่างยอมอ่อนข้อให้หรอก “หลังจากนี้ไปพยายามที่อื่นนะครับ”
เฟิงซั่วกับเซวียเหลียงไม่กล้าหายใจแล้ว
ไม่ใช่เพราะพวกเขาหวาดกลัว แต่เป็นเพราะอาจารย์คนนี้ใจแข็งเกินไปต่างหาก
หลี่ลี่จื้อยังไม่ยอมรามือ “ฉันจ่ายเงิน…”
“เท่าไหร่ครับ”
หลินเยวียนเงยหน้าขึ้นทันที สายตาจับจ้องไปยังหลี่ลี่จื้อ
แววตานี้ทำให้หลี่ลี่จื้อสะดุ้งโหยง เธอผงะถอยไปอย่างห้ามไม่อยู่ “เงินค่าขนมของฉัน จ่ายให้คุณหมดเลย…”
“ขอโทษด้วยครับ”
หลินเยวียนผิดหวัง เงินค่าขนมจะสักเท่าไหร่?
หลี่ลี่จื้อเอ่ยเสียงเบา “ถ้าหนึ่งล้านไม่พอละก็…ฉัน…”
“เท่าไหร่นะครับ”
สายตาของหลินเยวียนกลายเป็นคมปลาบขึ้นมา
เสียงของหลี่ลี่จื้อแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “หนึ่งล้าน…”
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ โสตประสาทของหลินเยวียนก็ดีขึ้นมาเป็นพิเศษ
และเป็นเพราะหลินเยวียนได้ยิน สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปทันที
คอร์รัปชั่นนี่นา!
เงินค่าขนมหนึ่งล้านหยวน!
นี่มันกี่เท่าของน้องสาวฉันเนี่ย
เงินนี้ฉันต้องรับไว้ ได้มาแล้วจะได้เอาไปซื้อขนมเปี๊ยะไส้ไข่แดงให้น้อง!
ชั่วขณะนั้น จู่ๆ หลินเยวียนก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา
เมื่อเทียบกับหลี่ลี่จื้อแล้ว ชีวิตของน้องสาวช่างลำบากตรากตรำ พี่ชายอย่างตนช่างไร้ความสามารถ!
ด้านข้าง
เฟิงซั่วและเซวียเหลียงมองหน้ากัน นึกไม่ถึงว่าลูกสาวประธานกรรมการจะถึงกับพูดเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นเด็กสาวที่มีแต่คนชื่นชม ถูกอาจารย์ตำหนิยังไม่โกรธเคือง ช่างเป็นคนที่อ่อนโยนเสียยิ่งกระไร!
“ผมรับก็ได้ครับ”
หลินเยวียนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ตั้งแต่นี้ต่อไป คุณเป็นลูกศิษย์คนที่สามของผม”
“หา?”
หลี่ลี่จื้อสับสนเล็กน้อย เดิมทีเธอกำลังจะยอมแพ้อยู่รอมร่อ นึกไม่ถึงว่าหลินเยวียนจะเปลี่ยนใจ
“ศิษย์น้องหญิง ฉันคือศิษย์พี่รองของเธอ!”
เฟิงซั่วอดใจไม่ไหว อยากเรียกคำนี้มาตั้งแต่ที่เขาได้พบกับหลี่ลี่จื้อแล้ว
“ฉันคือศิษย์พี่ใหญ่ สวัสดีศิษย์น้องหญิง”
เซวียเหลียงยิ้มบาง ในเมื่อเข้าเป็นศิษย์ในสำนักของอาจารย์คนเดียวกัน หลี่ลี่จื้อในสายตาของเขา จึงไม่ใช่คุณหนูบุตรสาวประธานกรรมการอีกต่อไป
ประธานกรรมการเป็นเพียงผู้นำของบริษัท แต่อาจารย์คือเทพเจ้าในใจของเขา!
เฟิงซั่วเองก็มีความคิดคล้ายคลึงกัน เพราะฉะนั้นท่าทีของเฟิงซั่วจึงไม่แข็งกร้าวอย่างเมื่อก่อนอีกต่อไป
“สวัสดีค่ะศิษย์พี่ทั้งสอง”
หลี่ลี่จื้อเอ่ยอย่างว่าง่าย ก่อนจะหันไปทางหลินเยวียน น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย “สวัสดีค่ะอาจารย์…”
“เริ่มเรียนกันเถอะครับ”
หลินเยวียนโบกมือ เฟิงซั่วและเซวียเหลียงรู้กฎดี อาจารย์จะสอนทีละคนเท่านั้น ทั้งสองจึงเดินออกไปพร้อมกัน
ในขณะเดียวกัน
หลินเยวียนก็เปิดใช้การ์ดตัวละคร
ทันใดนั้นหลี่ลี่จื้อก็สัมผัสได้ว่า อาจารย์คนนี้ของตน คล้ายกับเปลี่ยนไป…
……………………………………………..
[1] ถังไท่จง หนึ่งในจักรพรรดิองค์ที่สองแห่งราชวงศ์ถัง นามเดิมคือหลี่ซื่อหมิน ถูกเรียกว่าหลี่เอ้อร์ (หมายถึง ‘หลี่คนที่สอง’) เนื่องจากเป็นโอรสคนรองของจักรพรรดิถังเกาจู่ ซึ่งกำเนิดจากพระนางหลี่เยวียน