Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 385 ปมในใจ
ตอนที่ 385 ปมในใจ
กลางดึก
ศาสตราจารย์อันโอบกอดภรรยา เข้าสู่ห้วงนิทรา
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบจากนอกหน้าต่าง ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องครืน พร้อมกับเสียงฝนที่ตกพรำๆ
ฝนตกแล้ว
ศาสตราจารย์อันสะดุ้งตื่นขึ้นทันที มองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง
เขาย่องออกนอกห้องนอน ยังไม่ทันได้สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ก็มาถึงด้านนอกประตู และสุนัขในบ้านไม่ได้นอนหลับและเริ่มส่งเสียงร้องมาทางศาสตราจารย์อัน
“โอ๋ๆๆ ไม่ต้องกลัว…”
มือขวาของศาสตราจารย์อันคลำไปรอบๆ คล้ายกับกำลังหาร่ม แต่กลับหาไม่เจอ เขาทำได้เพียงรีบวิ่งไปยังบ้านสุนัขท่ามกลางสายฝน และอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมา
ฝนเทกระหน่ำกว่าเดิม
ศาสตราจารย์อันใช้ร่างกายของตนกำบังสุนัขจากละอองฝน อุ้มมันเข้าไปในห้องหนังสือของตน หยิบผ้าขนหนูออกมาจากกล่อง และนำไปห่มตัวสุนัขไว้
“อาจหนาวหน่อยนะ”
เขาบอกกับลูกสุนัขด้วยรอยยิ้ม แต่ตนกลับจามออกมา
สุนัขเลียหลังมือของเขา ส่งเสียงหงิงๆ ราวกับกำลังปลอบใจอย่างเงอะงะ
หน้าจอภาพยนตร์
ผู้ชมกำลังดูฉากซึ้งนี้ด้วยแววตาเป็นประกาย
“ศาสตราจารย์อันใจดีมาก”
“ดูแล้วผมก็ปวดใจ”
“ที่แท้น้องหมาก็รักศาสตราจารย์มาก”
“ศาสตราจารย์อันอย่าป่วยนะ”
“เขาใช้ห้องหนังสือเป็นบ้านหมาซะแล้ว ที่จริงนับว่าเขาเคารพเงื่อนไขของภรรยาอยู่นะ ผู้ชายแบบนี้ดีจริงๆ”
“…”
ผู้หญิงบางคนแลดูประทับใจกับฉากนี้เป็นพิเศษ ทว่าเสน่ห์ของศาสตราจารย์อันกลับเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จากบทพูดและบุคลิกภาพ ซึ่งเข้ากับพล็อตเรื่องได้อย่างลงตัว
เขาคือผู้ชายที่อบอุ่น เป็นสุภาพบุรุษ มีวุฒิภาวะ และจิตใจดี
เจ้าตัวน้อยใช้เวลาคืนนั้นในห้องหนังสืออันอบอุ่น
เวลาเจ็ดโมงเช้า คุณนายอันตื่นนอน ก็พบว่าศาสตราจารย์อันสวมแว่นตา นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
“วันนี้คุณตื่นนอนเร็วจัง”
“ใช่ครับ”
“เมื่อคืนเหมือนว่าฝนจะตกนะคะ”
“ฮัดชิ่ว…”
“คุณเป็นหวัด? ”
คุณนายอันเดินไปยังปากประตูด้วยความสงสัย แต่กลับพบว่าสุนัขกำลังกระดิกหางอย่างเงียบเชียบ
ที่จริงแล้ว ศาสตราจารย์อันตั้งใจตื่นแต่เช้า เพื่อส่งเจ้าตัวน้อยกลับไปในบ้านสุนัขแต่เช้าตรู่ เพื่อไม่ให้ภรรยาของเขารู้
สีหน้าของเขาสุขุมเยือกเย็น ด้วยทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยม ภรรยาจึงมองพิรุธไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
เธอจ้องมองไปยังลานบ้านหลังสายฝนกระหน่ำ จากนั้นก็มองไปยังสุนัข คุณนายอันกัดริมฝีปาก หันหลังกลับไปกล่าว
“คุณอย่าลืมกินยาแก้หวัด”
“กินแล้วครับ”
“วันนี้จะพาไปส่งไหม”
“ไปครับ”
“ทางที่ดีควรจะเป็นแบบนั้น”
ภรรยายังคงไม่อยากให้เก็บสุนัขไว้ ศาสตราจารย์อันทำได้เพียงออกไปตามหาเจ้าของของมัน
ในช่วงเช้าเขาติดแผ่นพับตามถนนและตรอกซอกซอย ช่วงบ่ายไปศูนย์พักพิงสัตว์เลี้ยงเพื่อถามข่าวคราว และแม้แต่ติดต่อเพื่อนฝูงซึ่งมีสัตว์เลี้ยงที่บ้าน เพื่อไต่ถามว่าพวกเขาต้องการเลี้ยงสุนัขหรือไม่…
ปรากฏว่าผ่านไปหลายวัน ก็ไม่บังเกิดผล
ศาสตราจารย์อันทำได้เพียงใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป พาสุนัขเข้าห้องหนังสือทุกวันในขณะที่ภรรยาของเขาหลับ และส่งมันกลับไปที่บ้านในเช้าวันรุ่งขึ้น
ในทางกลับกัน เมื่อลูกสาวของศาสตราจารย์อันมาเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้าน เธอก็ถูกความน่ารักของเจ้าตัวเล็กดึงดูดทันที เอ่ยด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“หนูชอบ! มันชื่ออะไรเหรอคะ”
คุณนายอันชำเลืองมองศาสตราจารย์อัน “มันชื่อว่า ‘พรุ่งนี้จะเอาไปส่ง’”
ศาสตราจารย์อันยิ้มอย่างอ่อนโยน
ลูกสาวไม่ได้สนใจคำประชดประชันของแม่ เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ให้มันชื่อเสี่ยวปาดีไหมคะ”
รอยยิ้มของศาสตราจารย์อันนิ่งค้าง
มือซึ่งกำลังชงกาแฟของคุณนายอันพลันหยุดชะงัก ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาไปหยุดที่บ้านสุนัขที่เพิ่งซ่อมแซมเสร็จ
“แปดปีแล้ว”
จู่ๆ ลูกสาวก็เอ่ยเสียงเบา “แปดปีพอดีตั้งแต่ที่เสี่ยวเฮยจากไป บางทีมันอาจเป็นเสี่ยวเฮยที่กลับชาติมาเกิดก็ได้นะคะ เราน่าจะเลี้ยงมันจนโต…”
สีหน้าของคุณนายอันนิ่งสงบ
ศาสตราจารย์อันกลับผุดยิ้มขึ้นมาทันใด “งั้นก็ชื่อเสี่ยวปาแล้วกัน แม่คิดว่าไง”
“แล้วแต่ ถึงยังไงมันก็คงไม่ได้อยู่ที่นี่นานหรอก”
คุณนายอันวางกาแฟซึ่งมีไอลอยกรุ่น หันหลังสาวเท้ากลับไปในห้อง ก่อนจะซุกหน้าลงบนที่นอน
ผ่านไปสักพัก คุณนายอันก็ลุกขึ้นเปิดลิ้นชัก หยิบรูปภาพใบหนึ่งออกมา
ในภาพเป็นภาพหมู่ของครอบครัวสามคน และที่ข้างขาของทั้งสามคนมีสุนัขตัวหนึ่ง
เดิมที เมื่อแปดปีก่อน ครอบครัวของศาสตราจารย์อันเลี้ยงสุนัขตัวหนึ่ง เพียงแต่เนื่องจากเหตุผลบางประการ สุนัขตัวนั้นก็จากโลกนี้ไป
คุณนายอันไม่ยอมเลี้ยงสุนัขอีก เพราะเธอกลัวว่าจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอีกครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะการปรากฏตัวของสุนัขตัวนี้ทำให้เธอหวนนึกถึงสัตว์เลี้ยงที่เธอรัก
“เป็นแบบนี้นี่เอง”
“คุณนายอันมีเหตุผลที่ไม่อยากเลี้ยงหมา”
“ผมเข้าใจนะ ผมเคยเลี้ยงแมวอยู่ตัวหนึ่ง ตอนหลังมันหนีไป แล้วก็หาไม่เจออีกเลย ผมร้องไห้อยู่ตั้งนาน หลังจากนั้นก็ไม่กล้าเลี้ยงแมวอีกเลย”
“คุณนายอันก็ไม่ได้รังเกียจอะไรขนาดนั้นหรอก”
“เพราะที่ผ่านมาเคยให้ความรักกับน้องหมาตัวนั้น เลยปฏิเสธน้องหมาตัวใหม่แบบนี้สินะ ความรู้สึกแบบนี้ถ้าไม่เจอกับตัวไม่เข้าใจหรอก”
“ศาสตราจารย์อันพาน้องกลับบ้านมา เพราะอยากปลอบใจภรรยาหรือเปล่า?”
“ผู้ชายอ่อนโยนแบบนี้ ถึงได้ใส่ใจขนาดนี้ไงล่ะ”
“…”
ผู้ชมต่างรู้สึกเห็นอกเห็นใจคุณนายอันขึ้นมา ความเห็นอกเห็นใจนี้ค่อยๆ เข้าปกคลุมความเย็นชาที่คุณนายอันมีต่อสุนัข
“เสี่ยวปา!”
เพราะลูกสาวตั้งชื่อให้ ศาสตราจารย์อันจึงพลอยเรียกสุนัขว่าเสี่ยวปาไปด้วย
เขาพยายามทำความเข้าใจนิสัยของเสี่ยวปา ทั้งยังเล่นสนุกด้วยกัน ในช่วงกลางวันขณะศาสตราจารย์อันบรรเลงเปียโน เสี่ยวปาจะคอยฟังอย่างเงียบเชียบ บางทีก็เข้าไปเลียโน้ตเพลง
สไตล์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ช่างจืดชืด
เรื่องราวที่บรรยายก็ไม่ได้มีความตื่นเต้นมากนัก
ทว่าผู้ชมกลับไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่าย แต่กลับรับชมอย่างเพลิดเพลิน ทั้งโรงฉายภาพยนตร์เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและชื่นมื่น
ทุกคนยินดีที่จะเชื่อว่านี่คือเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งซึ่งได้รับการปลอบโยนจากการปรากฏตัวของเสี่ยวปา หลังจากสูญเสียสุนัขอันเป็นที่รักไปแปดปี
ภาพยนตร์ใช้วิธีให้เด็กบรรยาย เป็นเทคนิคการเล่าเรื่องแบบย้อนอดีต
ภาพสโลว์โมชันเป็นครั้งคราว หรือใช้การถ่ายทำแบบลองเทคซึ่งเพิ่มความรู้สึกสมจริง ตลอดจนการไล่ตามระยะชัดลึกตามธรรมชาติในภาพยนตร์อบอุ่นหัวใจ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ถูกเล่าในยี่สิบนาทีแรกผ่านเรื่องราวของคนและสุนัขอย่างสงบสุขเป็นที่สุด
เพลงประกอบเริ่มต้นด้วยเปียโนจังหวะเนิบช้าเป็นหลัก
บางครั้งในภาพยนตร์ มุมมองของสุนัขจะปรากฏเป็นสีดำ ขาว และเทา ซึ่งทำให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงความรู้สึกของเสี่ยวปามากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ปมในใจของคุณนายอันไม่อาจคลายได้ง่ายดายนัก
ในช่วงบ่ายวันหนึ่งในครึ่งเดือนต่อมา
เธอลองขับไล่เสี่ยวปาออกจากบ้านเป็นครั้งแรก
ในฐานะผู้หญิงที่มีเหตุผล เธอไม่ต้องการถูกครอบงำด้วยความใจอ่อน
เสี่ยวปายืนอยู่หน้าประตู หันหน้าไปทางประตูที่ปิดสนิท จากที่เห่าเสียงดัง กลายเป็นเสียงครางหงิงๆ และในที่สุดก็ล้มลงบนพื้น แต่มันไม่มีความตั้งใจที่จะจากไปแม้แต่น้อย
เมื่อถึงจุดนี้ กล้องตัดไปยังด้านหลังประตู
จากนั้น ผู้ชมก็พบว่าหลังจากปิดประตู คุณนายอันไม่ได้กลับไปที่ห้องในทันที หากแต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เธอไม่ได้ใจแข็งเหมือนที่ปรากฏ
เวลาล่วงเลยถึงช่วงเย็น
ในที่สุดคุณนายอันก็ขยับตัว เธอมองออกไปข้างนอกผ่านช่องประตูอย่างระมัดระวัง ทว่าชั่วขณะนั้นกลับสบตาเข้ากับสายตาของเสี่ยวปาที่มองมา
“โฮ่ง โฮ่ง!”
เสี่ยวปาร้องออกมาด้วยความดีใจ
จู่ๆ คุณนายก็อันน้ำตาเอ่อท้น เธอหันหลัง และเดินกลับไปที่ห้องด้วยฝีเท้าที่แน่วแน่และมั่นคง
ยังไม่เปลี่ยนใจ?
เสี่ยวปาจะถูกปล่อยทิ้งไว้แบบนี้?
ผู้ชมบางคนรู้สึกเหลือทน
จากนั้นในชั่ววินาทีต่อมา ลำแสงก็พลันวาบผ่านหัวใจของผู้ชม ทำให้ขอบตาของพวกเขาร้อนผ่าวขึ้นมา!
แกร็ก
เสี่ยวปาใช้ศีรษะของมันเปิดประตู เดินกลับไปยังลานบ้าน พร้อมทั้งร้องออกมาอย่างดีอกดีใจ ในจังหวะเปียโนที่เร่งรัวขึ้นมาฉับพลัน เสียงร้องของมันเปี่ยมไปด้วยความสุข และอาทิตย์อัสดงในวันนี้งดงามเหลือเกิน!
ที่แท้…
สุดท้ายแล้วคุณนายอันก็ปลดล็อกกลอนประตู เพียงแต่งับประตูไว้ แสร้งว่าประตูยังคงล็อกอยู่เท่านั้นเอง
……………………………………………