Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 552 ทำงานคือทำงานไม่ได้
หลังจากหลินเยวียนผลิตภาพยนตร์ไม่กี่เรื่อง เขาก็มีทีมงานประจำแล้ว
สมาชิกหลักของทีมงานกองถ่านนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะพ่อบ้านอย่างโปรดิวเซอร์เสิ่นชิง และผู้ช่วยงานอย่างผู้กำกับอี้เฉิงกง
อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวแทนหลินอนุมัติโปรเจ็กต์ภาพยนตร์เรื่องใหม่นี้ เห็นได้ชัดว่าทีมงานของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ผู้กำกับเปลี่ยนจากอี้เฉิงกงเป็นตู้อั้น แน่นอนว่าอี้เฉิงกงจึงอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้
ถึงแม้ในใจของอี้เฉิงกงจะรู้ดี
ว่าในแง่ของความสามารถในการกำกับภาพยนตร์ ตนเทียบไม่ได้กับผู้กำกับตัวท็อปซึ่งทางบริษัทอุตส่าห์ดึงตัวมาจากฉีโจว
ยิ่งไปกว่านั้น…
เพื่อที่จะเป็นผู้กำ กับเรื่องชีวิตอัศจรรย์ของพาย ตู้อั้นถึงขั้นยอมเป็นผู้ช่วยงานให้กับตัวแทนหลิน ความเสียสละในครั้งนี้ยิ่งใหญ่จริงๆ
เพราะภายใต้สถานการณ์ปกติ
ผู้กำกับระดับตู้อั้นไม่มีทางยอมก้มหัวให้ใคร
ดังนั้น หากบอกว่าเสียเปรียบ ไม่เพียงอี้เฉิงกงที่เสียเปรียบ แต่ตู้อันก็เสียเปรียบมากเช่นกัน
เสิ่งชิงไม่ถูกเปลี่ยนตัว
ทว่าเมื่อเห็นว่าในภาพยนตร์เรื่องใหม่ หลินเยวียนเลือกตู้อั้น ไม่ได้เลือกอี้เฉิงกง ในใจของเสิ่นชิงก็พลอยรู้สึกเศร้าขึ้นมาเช่นกัน
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ร่วมงานกันมานาน เสิ่นชิงและอี้เฉิงสร้างมิตรภาพที่ดีต่อกัน ฉะนั้นเขาจึงยังคงดื่มสุราเพื่อปลอบใจเพื่อนเก่าของตน
“ตัวแทนหลินคงรู้สึกว่าสไตล์ของหนังเรื่องนี้เหมาะที่จะให้ตู้อั้นถ่ายทำมากกว่า ถ้าในอนาคตเจอหนังเรื่องที่เหมาะกับคุณ เขาก็จะมาเรียกคุณไปร่วมงาน เดี๋ยวผมจะไปคุยกับตัวแทนหลินอีกที…”
“ไม่ต้องยุ่งยากหรอก”
อี้เฉิงกงยิ้มขมขื่น “ผมไม่ได้คิดจะโทษตัวแทนหลินหรอก เขาช่วยผมมามากแล้ว ครั้งนี้ที่ไม่ถูกเลือกเป็นเพราะความสามารถของผมเอง ผมหวังว่าหนังของของตัวแทนหลินจะถ่ายทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ผม ผมเองจะได้ใช้เวลาช่วงนี้พัฒนาฝีมือของตัวเองด้วย จะพยายามตามตัวแทนหลินให้ทัน”
จะเห็นได้ว่า
ภาพยนตร์หลังจากนี้ของตัวแทนหลินจะมีสเกลที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน เกณฑ์ความสามารถของผู้กำกับย่อมสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ถ้าหากระดับของอี้เฉิงกงยังคงหยุดอยู่กับที่ไปตลอด เห็นทีไม่ช้าก็เร็วจะเขาย่อมตกขบวน
ในขณะนั้น
จู่ๆ โทรศัพท์มือถือของอี้เฉิงกงก็ดังขึ้น เขาจึงหยิบออกมาดู และเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย อี้เฉิงกงก็สร่างเมาขึ้นมาทันที เสิ่นชิงซึ่งอยู่ด้านข้างมีสีหน้าเคร่งขรึม
เป็นโทรศัพท์จากตัวแทนหลิน
อี้เฉิงกงกระแอม ก่อนจะกดรับสาย
เขาคิดโดยสัญชาตญาณว่าตัวแทนหลินคงโทรมาปลอบใจตน ปรากฏว่าเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย อี้เฉิงกงก็ตกตะลึงไปทันใด และเขายังคงสับสนเล็กน้อยหลังจากวางสาย
“เป็นยังไง”
เสิ่นชิงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ผมว่าแล้วเชียว ตัวแทนหลินไม่ลืมคุณหรอก เขาไม่ใช่คนที่จะมาปลอบใจคน ถ้าเขามาปลอบใจคุณก็ชัดเจนแล้วว่าเขายังให้ความสำคัญกับคุณมาก”
“ไม่ใช่…”
“งั้นมีเรื่องอะไร”
อี้เฉิงกงสูดสมหายใจเข้าลึก พูดด้วยความตื่นเต้น “ตัวแทนหลินบอกว่ามีบทภาพยนตร์เรื่องใหม่จะให้ผมกำกับ อีกสักระยะหนึ่งเขาจะส่งบทมาให้ผม หนังสองเรื่องต่อไปของเขาจะเริ่มผลิตทีละเรื่อง!”
“พระเจ้าช่วย!”
เสิ่นชิงประหลาดใจ และรู้สึกดีใจจนลิงโลด
“ยินดีด้วย ตัวแทนหลินเขียนบทเรื่องใหม่เพื่อชดเชยให้คุณ เขาให้ความสำคัญกับคุณมาก!”
“ใช่แล้ว!”
อี้เฉิงกงเสียงดังขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความเมามายพลุ่งพล่านในใจอีกครั้ง ชั่วขณะนั้นเขาเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ “ผมต้องถ่ายภาพยนตร์เรื่องใหม่ออกมาให้ดี จะไม่ทำให้ตัวแทนหลินผิดหวังเป็นอันขาด!”
……
อันที่จริง นี่ไม่ใช่การปลอบใจอี้เฉิงกง เหตุผลหลักคือหลินเยวียนคาดการณ์ว่าชีวิตอัศจรรย์ของพายอาจต้องใช้เวลานานในการผลิต ทิ้งช่วงสุญญากาศค่อนข้างยาว เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากให้อี้เฉิงกงกำกับเรื่องอื่นในระหว่างนี้
เมื่อพิจารณาจากระดับความยาก ช่วงเวลาในการเข้าฉายของภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องสามารถหลีกเลี่ยงกันได้
อย่างไรก็ตาม หลินเยวียนยังไม่ได้ตัดสนใจว่าจะสร้างภาพยนตร์เรื่องใด เขาวางแผนว่าจะเลือกจากคลังภาพยนตร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน
วันรุ่งขึ้น
หลินเยวียนใช้เวลาในสตูดิโอการ์ตูนของตนอย่างที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก
ในเวลานี้ เรื่องบันทึกมรณะอัปเดตมาจนถึงช่วงสุดท้าย คาดว่าจะจบบริบูรณ์ก่อนปลายปีนี้
หลังจากวาดการ์ตูนอยู่หลายชั่วโมง
หลินเยวียนจึงเขียนยอดนักสืบโฮล์มส์ต่อ
นิยายชุดนี้มีการเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง ความคืบหน้าในการอัปเดตนั้นสอดคล้องกับนิยายชุดปัวโรต์ก่อนหน้านี้ อิทธิพลของโฮล์มส์ค่อยๆ ขยายตัว ผู้คนมองโฮล์มส์ในระดับเดียวกับปัวโรต์มากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นทำให้หลินเยวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อุปาทานหมู่อันที่จริงเป็นสิ่งที่น่ากลัว ผู้อ่านในโลกนี้ยอมรับปัวโรต์ได้ก่อน ถ้าหากต้องการให้ทุกคนยอมรับโฮล์มส์อีก จึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าปัวโรต์ไม่ได้กลบความเปล่งประกายของโฮล์มส์ ตัวละครทั้งสองให้กลิ่นอายของความสำเร็จร่วมกัน เพราะความสัมพันธ์ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องกัน
และนี่คือแผนของหลินเยวียนด้วย
ในนิยายชุดยอดนักสืบโฮล์มส์มักให้โฮล์มส์เอ่ยถึงปัวโรต์เป็นครั้งคราว และตัวละครทั้งสองเกิดความใกล้ชิดกันมากขึ้นผ่านความนับถือซึ่งโฮล์มส์มีต่อปัวโรต์
เมื่อเขียนนิยายเสร็จ
ฟ้าก็มืดลงแล้ว
จินมู่ชงชาให้หลินเยวียน หลังจากนั้นจึงนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามของหลินเยวียน “นิยายชุดยอดนักสืบโฮล์มส์ของหัวหน้าน่าจะยังไม่ถึงครึ่งทางใช่ไหมครับ”
หลินเยวียนพยักหน้า
จินมู่เข้าใจทันที “งั้นก็ไม่น่าทันแล้ว”
“ทันอะไรครับ”
“การคัดเลือกเทพสูงสุดของวงการนิยายแฟนตาซีจะเริ่มต้นปลายปีนี้ ต้นปีหน้าจะประกาศรายชื่อ ที่จริงหัวหน้ามีคุณสมบัติพอจะผ่านเกณฑ์ แต่เป็นเพราะช่วงสองปีที่ผ่านมานี้หัวหน้าเขียนนิยายสืบสวนสอบสวนมาตลอด…”
เทพสูงสุด?
หลินเยวียนอึ้งไปเล็กน้อย
เขาจำได้ว่าตนเคยได้รับรางวัลมหาเทพในสาขานี้
และเหนือรางวัลมหาเทพขึ้นไป แท้จริงแล้วยังมีการคัดเลือกรางวัลเทพสูงสุด
อย่างไรก็ดี ในตอนนั้นหลินเยวียนไม่ได้รับเลือกให้คว้าตำแหน่งเทพสูงสุดเนื่องจากปัญหาด้านคุณสมบัติ
ในเวลานี้เมื่อได้ฟังจินมู่พูด คุณสมบัติของตนคล้ายว่าจะพอผ่านเกณฑ์
“มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหมครับ?”
“แน่นอนครับ”
จินมู่ยิ้มตอบ “เทพสูงสุดคือกลุ่มที่นับว่าเป็นยอดพีระมิดของสาขาวรรณกรรมแฟนตาซี ยังไม่ต้องพูดถึงฉีฉู่เยี่ยน ในฉินโจวเรามีเทพสูงสุดแค่สี่คน เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งนี้ยากขนาดไหน เพราะฉะนั้นส่วนตัวผมแนะนำให้หัวหน้าพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการเขียนวรรณกรรมแฟนตาซี ถ้ามีนิยายแฟนตาซีอีกสักหนึ่งถึงสองเรื่อง และกลายเป็นเทพสูงสุดได้อย่างราบรื่น ผมก็จะสามารถเจรจาเงื่อนไขกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูได้…”
“ตัวอย่างเช่น?”
“หุ้น!”
จินมู่เอ่ยอย่างจริงจัง “ตอนนี้ส่วนแบ่งจากนิยายของหัวหน้าในคลังหนังสือซิลเวอร์บลูนับว่าสูงมากแล้ว ตั้งแต่เงื่อนไขต่างๆ ไปจนถึงสวัสดิการที่ได้รับจะเพิ่มไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว แต่ถ้าหัวหน้าสามารถคว้าตำแหน่งเทพสูงสุดมาได้ ผมคิดว่าเรามีโอกาสเข้าไปเป็นหุ้นส่วนในคลังหนังสือซิลเวอร์บลู คลังหนังสือซิลเวอร์บลูเติบโตไปในทางที่ดีมากในเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวโน้มของการเติบโตนับได้ว่าเป็นสำนักพิมพ์อันดับหนึ่งในฉินโจว ถ้าหัวหน้าได้ถือหุ้นของบริษัทนี้ จะได้รับผลตอบแทนที่เร็วกว่าส่วนแบ่งจากยอดขายนิยายอย่างแน่นอนครับ!”
หลินเยวียนดวงตาเป็นประกาย!
ที่แท้หลังจากที่ได้รับส่วนแบ่งระดับสูงสุดแล้ว ยังสามารถเข้าถือหุ้นของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูได้ด้วย และนั่นทำให้เขาพร้อมเคลื่อนไหว
ในระบบมีผลงานมากเหลือเกิน
ทุกวันนี้หลินเยวียนใช้เงินแลกเพลงบ้างเป็นครั้งคราว ต่อให้เป็นเพลงซึ่งยังไม่มีโอกาสได้ใช้ เขาก็ยังคงแลกอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้เงินส่วนหนึ่งของหลินเยวียนถูกระบบหักออกไป
เขายังต้องการเงิน!
เช่นนั้นทำไมไม่ลองเข้าไปถือหุ้นของคลังหนังสือซิลเวอร์บลูดูล่ะ?
ถ้าได้รับหุ้นมาแล้ว ความร่วมมือของตนกับคลังหนังสือซิลเวอร์บลูจะไม่ใช่เพียงงานพาร์ทไทม์อีกต่อไป
ในแง่หนึ่ง
หลินเยวียนในตอนนี้นับว่าเป็นจักรพรรดิแห่งงานพาร์ทไทม์
ไม่ว่าเซี่ยนอวี๋หรือฉู่ขวงล้วนนับว่าอยู่ในสถานะงานพาร์ทไทม์ของบริษัท ถึงแม้จะเป็นงานพาร์ทไทม์ ก็ทำให้บรรดาผู้บริหารเห็นเขาเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนได้ แต่เมื่อเทียบกันแล้ว การเป็นหุ้นส่วนนั้นหอมหวานยิ่งกว่า…
“หัวหน้าสนใจใช่ไหมครับ? ”
จินมู่มองออกว่าหลินเยวียนสนใจ จึงเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เมื่อเทียบกับการทำงานพาร์ทไทม์แล้ว การเป็นผู้ถือหุ้นเหมาะสมกว่าจริงๆ ครับ ถ้านักเขียนคนอื่นเกิดความคิดนี้ คลังหนังสือซิลเวอร์บลูย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นหัวหน้าละก็ ผมว่าไม่ใช่เรื่องยาก การคว้าตำแหน่งเทพสูงสุดจดหมายเสนอชื่อในการเจรจาเงื่อนไขของเรา พวกเขาไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ ในอนาคตสำนักพิมพ์ที่อยากร่วมงานกับเราคงต่อแถวไปถึงหานโจวแล้ว ประเด็นอยู่ที่ความแตกต่างของจำนวนหุ้นที่ได้รับเท่านั้นเองครับ”
หลินเยวียนพยักหน้าเต็มแรง!
เพื่อตอบสนองความกระหายของระบบ ทำงานคือทำงานไม่ได้ ชีวิตนี้ทำงานไม่ได้ จะให้ตนไปเป็นผู้บริหารของบริษัทก็ทำไม่เป็น ทำได้เพียงถือหุ้นเพื่อประทังชีวิต[1]…
————————
ปล. ตัวเอกเรื่องนี้จะไม่เป็นประธานบริษัท คาแร็กเตอร์ของเขาไม่เหมาะสม ดังนั้นหลังจากนี้เขาจะเข้าถือหุ้นบริษัทบางแห่ง นับว่าเป็นกึ่งประธานบริษัท
[1] ทำงานคือทำงานไม่ได้ ชีวิตนี้ทำงานไม่ได้ จะให้ตนไปเป็นผู้บริหารของบริษัทก็ทำไม่เป็น ทำได้เพียงถือหุ้นเพื่อประทังชีวิต เป็นการเขียนล้อจากข่าวเกี่ยวกับชายคนหนึ่งซึ่งถูกจับ เมื่อถูกนักข่าวถามว่าทำไมถึงไม่ไปหางานทำ ทำไมถึงมาขโมยของเช่นนี้ เขาตอบว่า ‘ทำงานคือทำงานไม่ได้ ชีวิตนี้ทำงานไม่ได้ จะให้ไปทำธุรกิจก็ทำไม่เป็น ทำได้แค่ขโมยของเพื่อประทังชีวิต กลับเข้าสถานกักกันก็เหมือนได้กลับบ้าน รู้สึกว่าในสถานกักกันดีกว่าอยู่บ้านอีก! ในนั้นใครๆ ก็เก่ง พูดจาก็เพราะ ผมชอบในนั้นมาก!’ ภายหลังคำพูดของเขากลายเป็นไวรัล และในปัจจุบันมักใช้เสียดสีความเพ้อฝันในชีวิตของมนุษย์เงินเดือน ซึ่งไม่อยากทำงาน และอยากรวยขึ้นมากะทันหัน แต่ในชีวิตจริงกลับต้องก้มหน้าก้มตาทำงานซึ่งค่าตอบแทนต่ำต่อไป