Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 57 กล้าเสนอราคาไหมล่ะ
ตอนที่ 57 กล้าเสนอราคาไหมล่ะ
‘นี่คืออะไรเหรอครับ’
หยางเฟิงส่งข้อความหาฉู่ขวง
หลินเยวียนกินข้าวเสร็จถึงเห็นข้อความ ตอบกลับไปว่า ‘ต้นฉบับที่บอกกับสำนักพิมพ์พวกคุณครับ คนที่ขอชื่อโหยวหรง บอกว่าเป็นหัวหน้าบ.ก.นิตยสารอ่านสนุก หรือว่าผมโดนโจรหลอกแล้ว?’
หลินเยวียนรู้สึกดีใจอยู่บ้าง
โชคดีที่ตนเองมีไหวพริบ ส่งต้นฉบับให้หยางเฟิงบรรณาธิการผู้รับผิดชอบเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ถ้าหากคนที่เรียกตัวเองว่าโหยวหรงไม่ใช่คนของคลังหนังสือซิลเวอร์บลู งั้นหลินเยวียนก็ไม่มีทางเสียหาย
‘เขาไม่ใช่โจรหรอก’
หยางเฟิงตอบไปหนึ่งประโยคด้วยความรู้สึกซับซ้อน
เมื่อเห็นว่าทางฉู่ขวงไม่ได้ตอบกลับ หยางเฟิงก็ผุดลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง ต่อสายหาหัวหน้าบรรณาธิการ “หัวหน้าเรื่องนี้ต้องให้คุณออกหน้าแล้ว โหยวหรงนัดรับต้นฉบับกับฉู่ขวงลับหลังพวกเรา!”
“อะไรนะ”
หัวหน้าบรรณาธิการปลายสายกระวนกระวายใจขึ้นมา น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความเดือดดาล “บ้านกันแดดกันฝนได้ แต่กันหัวขโมยในบ้านไม่ได้ โหยวหรงกล้าขอต้นฉบับจากฉู่ขวงลับหลังกองแฟนตาซีเยาวชนของพวกเรา ยังเห็นพวกเราในสายตาอยู่มั้ยเนี่ย ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ที่บริษัท เดี๋ยวจะไปคิดบัญชีที่แผนกนิตยสาร!”
หลายบริษัทหยุดประจำปีแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นทางคลังหนังสือซิลเวอร์บลูก็ยังมีคนเข้าเวรอยู่ คนที่ทำงานอยู่เป็นคนในเมืองซูโดยกำเนิด เงินเดือนเป็นห้าเท่าของช่วงปกติ ด้วยโบนัสหนักอึ้งเช่นนี้ ทำให้คนจำนวนมากยินดีทำงานในช่วงตรุษจีน
หลังจากวางสายลง
เหล่าสยงหัวหน้าบรรณาธิการกองแฟนตาซีเยาวชนเดินดุ่มไปยังแผนกนิตยสาร มองปราดเดียวก็เห็นโหยวหรง
ผู้รับผิดชอบของแผนกนิตยสาร “เหล่าโหยวพวกคุณทำเรื่องที่ไม่ค่อยเข้าท่าอยู่ใช่มั้ย ถึงกับขอต้นฉบับจากฉู่ขวงลับหลังพวกเราใช่มั้ย”
“เหล่าสยง คำพูดของพวกคุณนี่ไม่น่าฟังเอาซะเลย”
ตั้งแต่ที่ฉู่ขวงส่งต้นฉบับให้หยางเฟิง โหยวหรงก็รับรู้ได้ว่าแย่แน่ ดังนั้นจึงทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว “ผมกำลังจะแจ้งพวกคุณ แต่พวกคุณก็มาแล้ว นั่งลงดื่มชาก่อนเถอะ ทุกคนก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันทั้งนั้น”
“คุณอย่ามาเสแสร้งหน่อยเลย”
เหล่าสยงเองก็ไม่ได้ใส่ใจสายตาพิลึกโดยรอบ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสของฉู่ขวงต้อง
ส่งต้นฉบับหนึ่งแสนตัวอักษรทุกเดือน ตอนนี้ยอดขายของเรื่องนี้สูงขนาดไหนคงไม่ต้องให้ผมบอก แต่คุณกลับมาเรียกต้นฉบับกับเขาตอนนี้ นั่นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสร้างสรรค์ผลงานของเขาหรอกหรือ”
“เรื่องนี้จะโทษผมไม่ได้หรอกนะ”
โหยวหรงวิตกขึ้นมา “ต่อให้ผมไม่ขอต้นฉบับจากเขา เขาก็โพสต์นิยายสั้นลงในปู้ลั่วอยู่ดี ผมถูกใจคุณภาพของ
นิยายสั้นที่เขาเขียนมาก ถ้าจะให้โพสต์อ่านฟรีในปู้ลั่ว ทำไมไม่เผยแพร่ในอ่านสนุกของพวกเรา นี่เป็นนิตยสารระดับท็อปของบริษัทเลยนะ”
“เขาอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ”
ไฟโทสะของเหล่าสยงยิ่งลุกโหมขึ้นมา “แต่คุณกลับพยายามให้เขาสนใจเขียนนิยายสั้น คนเราน่ะมีพลังจำกัด
เขาเขียนนิยายสั้นให้พวกคุณ จะเอาแรงที่ไหนไปเขียนปรินซ์ออฟเทนนิส”
“เขายินดีทำเอง”
โหยงหรงกระแอม
เรื่องพวกนี้ควรจะแจ้งก่อนก็จริงอยู่ แต่โหยวหรงรู้ว่าเพื่อรับประกันว่าเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิสจะตีพิมพ์ได้อย่างสม่ำเสมอ เหล่าสยงจะไม่ยอมอย่างแน่นอน ฉะนั้นจึงคิดจะประหารก่อนรายงานทีหลัง นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายผลกลับย้อนหาตัวซะเอง
“คุณคิดจะแย่งคนใช่มั้ย”
“บริษัทเดียวกันทั้งนั้น จะแย่งทำไมล่ะครับ”
“ผมว่าคุณอิจฉาผลงานของพวกเรา!”
“เหล่าสยง คุณพูดแบบนี้เกินไปแล้วนะ”
ในตอนนี้หัวหน้าบรรณาธิการทั้งสองโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว ในเมื่อทะเลาะกันขึ้นมาต่อหน้าพนักงาน สุดท้ายก็ถูกบรรณาธิการบริหารเรียกพบ ทั้งสองฝ่ายถึงได้สงบศึกกันชั่วคราว ทว่าบรรณาธิการบริหารก็ปวดเศียรเวียนเหล้าเหมือนกัน “หยุดทะเลาะกันก่อน เอาต้นฉบับมาให้ผมดูหน่อย”
ไม่นานหยางเฟิงก็ส่งต้นฉบับให้บรรณาธิการบริหาร
ต้นฉบับนี้ชื่อว่า ‘ของขวัญแห่งเมไจ’ มีเพียงสามพันตัวอักษร ฉะนั้นบรรณาธิการบริหารอ่านจบภายในช่วงเวลาอันสั้น
ทว่าสิ่งที่ทำให้เหล่าสยงกับโหยวหรงแปลกใจก็คือ…
หลังจากที่บรรณาธิการบริหารอ่านต้นฉบับจบ ก็เงียบงันไปชั่วครู่
อ่านอีกรอบให้ละเอียดถี่ถ้วน
ทั้งสองคนตะลึงงันไปอีก
เป็นเพราะบรรณาธิการบริหารซึ่งได้ชื่อว่าเคร่งขรึมไม่ยิ้มแย้ม ในยามนี้ขอบตาแดงระเรื่อ ถึงขั้นแอบปาดน้ำตาเบาๆ
บรรณาธิการบริหารโกรธจนร้องไห้เลย?
ตอนนี้ทั้งสองกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว
โหยวหรงพูดอย่างตกประหม่า “บ.ก.บริหารเป็นอะไรเหรอครับ ช่วงตรุษจีนแล้ว เรื่องที่พวกเราเถียงกันก็แค่ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ คุณไม่ต้องเจ็บใจถึงขนาดนี้ก็ได้”
“นั่นสิ”
ตอนนี้เหล่าสยงไม่กล้าตอแยแล้ว “ก็แค่ต้นฉบับเองครับ ในเมื่อฉู่ขวงตกลงแล้ว งั้นทางผมก็จะไม่พูดอะไรอีก เขากล้ารับก็แปลว่าเขามั่นใจว่าจะจัดการทั้งสองงานได้”
ทั้งสองไม่เคยเห็นบรรณาธิการบริหารเป็นแบบนี้มาก่อน
บรรณาธิการบริหารลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจทั้งสองคน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “จองตั๋วเครื่องบินกลับบ้านให้ผมหนึ่งใบ ผมต้องการไฟลต์เร็วที่สุด”
“บ.ก.บริหาร…”
เหล่าสยงและโหยวหรงกังวลอย่างเห็นได้ชัด
เดิมทีบรรณาธิการบริหารพูดเสียดิบดีว่าปีนี้จะไม่กลับบ้านช่วงตรุษจีน แต่เป็นเพราะทั้งสองคนมีเรื่องกันจนทำให้เขาโมโหจนร้องไห้!
แม้แต่งานก็ไม่สนใจแล้ว!
บรรณาธิการบริหารกวาดตามองทั้งสองด้วยดวงตาแดงก่ำ “พวกคุณรู้ไหมว่าตอนที่ผมเริ่มธุรกิจมันลำบากขนาดไหน”
“หา?”
บรรณาธิการบริหารไม่ใส่ใจท่าทางสับสนของทั้งสอง พูดกับตนเองว่า “จำได้ว่าในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด
ผมกับภรรยากินหมั่นโถวกับน้ำเปล่าประทังชีวิต หลังจากนั้นภรรยาผมได้งานทำความสะอาดในโรงอาหารของโรงเรียน ช่วงกลางวันของทุกๆ วันผมเลยใช้เหตุผลว่าไปเยี่ยมเธอ เข้าไปในโรงอาหารของโรงเรียนเพื่อกินข้าวฟรี ต้มน้ำแกงกินฟรี กลิ่นมันหอมจริงๆ เลยละ”
เหล่าสยงถามต่ออย่างลืมตัว “หลังจากนั้นล่ะครับ?”
บรรณาธิการบริหารยิ้มน้อยๆ “จากนั้นก็ภรรยาของผมก็ได้เข้าไปอยู่ในวิลล่าหลังใหญ่หรูหรา ได้กินอาหารเลิศ
รสหลากหลายอย่าง แต่เธอก็ต้องอยู่ดูแลพ่อแม่ของผมในวิลล่า เวลาที่กินอาหารอันโอชะ ก็มักจะกินอย่างโดดเดี่ยวเสมอ พวกคุณคิดว่าพวกผมเมื่อก่อนหรือว่าตอนนี้มีความสุขมากกว่ากัน ปีใหม่แล้ว ผมคิดถึงภรรยา ผมต้องกลับไปอยู่กับครอบครัว พวกคุณเป็นคนในพื้นที่ ทำงานหนักหน่อยก็แล้วกัน ขอร้องละ”
พูดจบ บรรณาธิการบริหารก็ค้อมหลังให้พวกเขาน้อยๆ แล้วหันหลังเดินจากไป
โหยวหรงตะโกนเรียกด้วยความสับสน “บ.ก.บริหาร…”
บรรณาธิการบริหารชะงักฝีเท้าทันใด “อื้อ แล้วช่วยขอลายเซ็นของฉู่ขวงให้ผมหนึ่งชุดนะ บอกเขาว่าผมเป็นแฟนหนังสือ”
ครั้งนี้ บรรณาธิการบริหารเดินออกไปแล้วจริงๆ
แต่เหล่าสยงกับโหยวหรงกลับมองหน้ากัน ต่างคนต่างตระหนักได้ว่าสิ่งที่ทำให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็คือข้อพิพาทของทั้งสองคน
เพราะบรรณาธิการบริหารอยู่ที่คลังหนังสือซิลเวอร์บลูมาตั้งหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ยอมรับอย่างเปิดเผยว่าตนเป็นแฟนหนังสือของนักเขียนสักคนในสังกัดของบริษัท
นิยาย!
เป็นเพราะนิยาย!
ทั้งสองได้สติกลับมาทันที ไม่ได้ทะเลาะกันอีกต่อไป เพียงแต่ให้หยางเฟิงส่งของขวัญแห่งเมไจไปให้
นี่อาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้บรรณาธิการบริหารเปลี่ยนความคิด
หลังจากที่เหล่าสยงกลับไป
โหยวหรงรีบเปิดอ่านของขวัญแห่งเมไจอย่างอดรนทนไม่ไหว เขาอยากรู้ว่าในนิยายเรื่องนี้เขียนอะไร ถึงกับทำให้บรรณาธิการบริหารไม่สนใจแม้แต่งาน
นิยายสั้นมาก
ระหว่างที่อ่านนิยาย โหยวหรงกลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาแปลกๆ แต่อย่างใด
แต่ถึงอย่างนั้นเมื่ออ่านมาถึงตอนสุดท้าย โหยวหรงก็กดขมับทั้งสองข้างบนศีรษะอย่างห้ามไม่อยู่ ส่งเสียงโอดครวญอย่างปวดร้าว
“อ๊า!”
ทีนี้เขาก็เข้าใจถึงท่าทางพิลึกของบรรณาธิการบริหารแล้ว พลังของเรื่องนี้น่ากลัวเหลือเกิน คนที่เคยประสบพบ
เจอเรื่องราวที่คล้ายคลึงกันมักจะหลั่งน้ำตาเมื่อได้อ่านเรื่องราวของคนอื่น โดยเฉพาะยามที่เผชิญหน้ากับนิยายซึ่งมีตอนจบซาบซึ้งกินใจอย่างเรื่องของขวัญแห่งเมไจ!
“หัวหน้า เกิดอะไรขึ้นครับ”
มีพนักงานเอ่ยแสดงความเป็นห่วงอย่างอดไม่ได้
โหยวหรงนั่งแผ่ลงบนเก้าอี้ “ฉู่ขวงบอกฉันว่าอ่านนิยายจบแล้วค่อยเสนอราคา…นิยายแบบนี้ฉันจะกล้าเสนอราคามั้ยล่ะ…”
………………………………………………..