Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน - ตอนที่ 603 ไม่ว่าง
‘ฉู่ขวงเป็นเทพสูงสุดแล้ว!’
‘ก่อนหน้านี้ทุกคนบอกว่าคุณภาพและสถิติของหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวงต้องเทียบเท่ากับคนขุดสุสานสองเรื่องถึงจะมีความหวังในการรับเกียรติในฐานะเทพสูงสุด ปรากฏว่าเขาทำได้จริง แถมอิทธิพลของบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศยังไม่ใช่แค่เทียบเท่ากับคนขุดสุสานสองเรื่องแล้ว…’
‘นิยายเรื่องนี้ระดับตำนาน!’
‘ตอนนี้ฉู่ขวงกลายเป็นเทพสูงสุดที่มีจำนวนผลงานน้อยที่สุดในวงการนิยาย ที่จริงเทพสูงสุดคนอื่นพยายามกันหลายปีและตีพิมพ์ผลงานมากมายกว่าจะประสบความสำเร็จ มีแค่เขาที่มีผลงานสี่ชิ้นก็ขึ้นเป็นเทพสูงสุดเลย!’
‘แฟนบรรพกาลไปไหนหมดแล้ว’
‘ฮ่าๆๆ เกินไปแล้วนะ นี่คือการเหยียบเท้าแฟนบรรพกาลชัดๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้แฟนบรรพกาลคิดจะข่มบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศด้วยอิทธิพลของซีรีส์เพื่อระบายความโกรธอยู่หรือเปล่า?’
‘…’
เรื่องนี้เป็นความจริง
เมื่อเห็นการว่าฉู่ขวงทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งเทพสูงสุดด้วยบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ แฟนบรรพกาลย่อมรู้สึกหดหู่ใจ แต่พวกเขากลับไม่สามารถตอบโต้ได้
คำวิจารณ์ของมืออาชีพต่อบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศนั้นเหนือกว่าบรรพกาลจริงๆ !
ทั้งยังได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสมาคมวรรณศิลป์!
บรรพกาลหิวกระหายเหลือทน
ความได้เปรียบเดียวของบรรกาลในขณะนี้คือเผยแพร่ออกมานาน และมีอิทธิพลมากกว่าบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
ดังนั้นจุดเดียวที่จะพลิกกลับมาได้คืออาศัยซีรีส์!
ก่อนที่ซีรีส์บรรพกาลเวอร์ชันใหม่จะลงจอ แฟนบรรพกาลจึงอยู่ในสภาวะนอนรับคำถากถาง
‘รอให้ซีรีส์บรรพกาลออกมาก่อนเถอะ แล้วแฟนบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศจะต้องคุกเข่าแน่นอน!’
นี่คือความคิดเห็นโดยรวมของแฟนบรรพกาลอาวุโส
คนกลุ่มนี้มีความเชื่อมั่นต่อซีรีส์บรรพกาลเป็นอย่างมาก!
ส่วนซีรีส์บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศซึ่งกำลังถ่ายทำอยู่นั้น แฟนคลับไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใด
มีฐานผู้ชมบรรพกาลรออยู่
นิยายบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศเพิ่งตีพิมพ์ออกมาได้นานเท่าไหร่กัน?
พวกเขาต้องสะสมพลังอย่างเงียบเชียบ เตรียมพร้อมสำหรับการตอบโต้ จากนั้นจึงทำให้ทุกคนตกตะลึง!
หลินเยวียนไม่มีความตั้งใจจะเผชิญหน้ากับแฟนบรรพกาลเป็นการชั่วคราว
เรื่องนั้นต้องรอหลังจากซีรีส์บันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศถ่ายทำเสร็จ
หลังจากจินมู่เจรจากับคลังหนังสือซิลเวอร์บลู ในที่สุดเขาก็เข้าถือหุ้นหนังสือซิลเวอร์บลูได้สำเร็จ!
แม้ว่าเขาจะถือหุ้นเพียงห้าเปอร์เซ็นต์ แต่ก็กลายเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นสิบกว่าคนของหนังสือซิลเวอร์บลู
คนทำงาน มีจิตวิญญาณแห่งการทำงาน การทำงานทำให้เราเป็นยอดคน…
แต่ถ้าสามารถเป็นผู้ถื อหุ้นได้ ใครเล่าจะอยากเป็นคนทำงานให้ผู้อื่น?
ทว่าเรื่องที่ฉู่ขวงเข้าถือหุ้นในหนังสือซิลเวอร์บลูนั้นเป็นไปอย่าเงียบเชียบ ไม่มีใครรู้ว่าสถานะของฉู่ขวงเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน
กลายเป็นผู้ถือหุ้น สำหรับหลินเยวียนแล้วไม่ได้ส่งผลกระทบใดในชีวิต
โดยพื้นฐานแล้วหุ้นส่วนของบลูสตาร์นั้นไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ เว้นเสียแต่ว่ามีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น
โดยส่วนใหญ่แล้ว หลินเยวียนเพียงแค่นั่งรอเงินปันผลประจำปีของเขา
นี่คือข้อดีของการเป็นผู้ถือหุ้นแต่ไม่เป็นผู้บริหาร
เรื่องการดำเนินงานของบริษัท ให้ผู้บริหารคลังหนังสือซิลเวอร์บลูเป็นกังวลไปก็แล้วกัน
เพื่อเฉลิมฉลองที่ตนได้เป็นเทพสูงสุด หลินเยวียนจึงมอบวันพักผ่อนให้ตนเองหนึ่งวัน
เขาพักผ่อนที่สตูดิโอเช่นเดิม และสอนหลัวเวยวาดภาพอย่างผ่อนคลายเป็นเวลาสองชั่วโมง
เมื่อเรียนจบ หลัวเวยเอ่ยเตือน “คุณลืมอะไรไปหรือเปล่าคะ”
หลินเยวียนชะงัก “อะไรครับ”
หลัวเวยถอนหายใจอย่างจนใจ “นับว่าฉันเข้าใจว่าทำไมอิ่งจือถึงกลายเป็นเงาจืดจาง คุณจะเริ่มเขียนการ์ตูนเรื่องใหม่เมื่อไหร่คะ”
นับตั้งแต่บันทึกมรณะจบลง อิ่งจือก็ไม่ได้วาดการ์ตูนเรื่องใหม่มาเป็นเวลานาน
ราวกับเขาลืมไปเสียสนิทว่ายังมีตัวตนในฐานะอิ่งจืออยู่
และครั้งล่าสุดที่อิ่งจือทำงาน ก็เพื่อวาดภาพโปรโมตบันทึกการเดินทางสู่ประจิมทิศ
“ไม่ว่างครับ”
หลินเยวียนเอ่ยตอบอย่างจริงจัง ด้วยท่าทางของคาวบอยที่งานล้นมือ
อันที่จริง เขาเพียงแค่ขี้เกียจ ช่วงนี้ไม่อยากวาดการ์ตูนเท่านั้นเอง
“เข้าใจแล้วค่ะ”
หลัวเวยพยักหน้า
เธอรู้สึกว่าหลินเยวียนไม่ได้ไม่ว่าง เขาเพียงแค่ไม่มีแรงบันดาลใจ แต่อายที่จะยอมรับ
ศิลปินล้วนเป็นเช่นนี้
หลังจากวาดการ์ตูนเรื่องหนึ่งเสร็จแล้ว จะต้องพักผ่อนสักพักเพื่อขบคิดถึงผลงานใหม่
ในทางกลับกัน เมื่อก่อนหลินเยวียนปล่อยนิยายเรื่องใหม่แต่ติดต่อกัน แต่ละเรื่องเชื่อมต่อกันอย่างราบรื่น ราวกับว่าแรงบันดาลใจของเขาไม่มีวันหมด นั่นเป็นสิ่งที่ผิดปกติ
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เร่งเร้า แต่กลับเข้าอกเข้าใจ
อิ่งจือก็เป็นคน การปล่อยผลงานใหม่จำเป็นต้องมีแรงบันดาลใจและแนวคิดเช่นกัน
“ความรู้สึกของการแอบอู้งานก็ไม่เลวจริงๆ ”
หลินเยวียนนั่งอยู่บนโซฟาในสตูดิโอ ดื่มชาและท่องอินเทอร์เน็ตไปพลาง รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ
พักผ่อนสักครู่ท่ามกลางชีวิตอันวุ่นวาย
ในขณะนั้นเอง
จินมู่ก็เข้ามา
สีหน้าของจินมู่แลดูเคร่งขรีม “หัวหน้า เห็นข่าวในอินเทอร์เน็ตหรือยังครับ”
“ข่าวอะไร”
“มีคนส่งคำท้าประชันวรรณกรรมถึงคุณ!”
หลินเยวียนนึกสงสัย ‘นักเขียนจากหานโจวเหรอครับ?’
หลังจากทวีปใหม่ผนวกรวม ตราบใดที่คุณมีความเข้าใจเกี่ยวกับแวดวงวัฒนธรรมฉินฉีฉู่เยี่ยน คุณจะได้ยินชื่อของฉู่ขวงอย่างแน่นอน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จึงเป็นเรื่องปกติเหลือเกินที่มีคนส่งคำท้าประชันวรรณกรรมมาถึงหลินเยวียน
“ไม่ใช่ครับ”
จินมู่ยิ้มขื่น “นักเขียนนิทานยาวจากเยี่ยนโจว ไป๋เจี๋ย”
ชาวเยี่ยนอีกแล้วหรือ?
หลินเยวียนตกตะลึง
แล้วก็ไป๋เจี๋ย ชื่อนี้ให้ความ รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
น่าจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนสินะ น่าจะเป็นบุคคลระดับปรมาจารย์
“ทำไมนักเขียนจากเยี่ยนโจวถึงจ้องจะเล่นงานผมไม่ยอมปล่อยแบบนี้ล่ะ”
หลินเยวียนเอ่ย ในการประชันวรรณกรรมแดนนิทานก่อนหน้านี้ ฉู่ขวงทำผลงานได้อย่างงดงาม
ภายหลังเขายังเอาชนะอาจารย์อาหู่ด้วยนิทานขนาดยาวเรื่องซูเค่อกับเป้ยถ่า
นึกไม่ถึงว่าหลังจากพ่ายแพ้ในการประชันวรรณกรรมมาหลายครั้ง เยี่ยนโจวยังคงไม่ยอมจำนน เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขามองว่าฉันเป็นหัวโจกของฝั่งผู้ร้าย?
สมแล้วที่เป็นทวีปแห่งการต่อสู้
แต่ละคนเป็นตัวตึงทั้งนั้น
ถ้าไม่ได้กำลังต่อสู้ ก็กำลังจะต่อสู้
“ในเพลงของคุณร้องว่ายังไงครับ ก็แค่เริ่มต้นใหม่ วงการนิทานของเยี่ยนโจวก็คิดจะเริ่มต้นใหม่เหมือนกัน!”
จินมู่เริ่มหยอกล้อ
เมื่อเห็นว่าหลินเยวียนไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง รอยยิ้มของจินมู่จึงจางลงเล็กน้อย
“ไป๋เจี๋ยต่างจากอาหู่ ในวงการนิทานขนาดยาวของเยี่ยนโจว อาหู่นับว่าฝีมือยอดเยี่ยม แต่ไม่อาจนับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนไป๋เจี๋ยเป็นอันดับหนึ่งในวงการนิทานขนาดยาวของเยี่ยนโจวทั้งในด้านอิทธิพลและยอดขาย ตอนที่คุณเอาชนะอาหู่ด้วยเรื่องซูเค่อกับเป้ยถ่า ไป๋เจี๋ยอยากประชันวรรณกรรมกับคุณ แต่ตอนนั้นผลงานเขายังไม่เสร็จ ตอนนี้เขียนเสร็จแล้ว จึงเกิดความคิดจะแก้แค้นให้กับวงการนิทานเยี่ยนโจว”
หลินเยวียนจัดการวงการนิทานเยี่ยนโจวจนเละเทะ
จนกระทั่งในวันนี้ เมื่อมีการเอ่ยถึงเรื่องนี้ในเยี่ยนโจว พวกเขายังคงอกสั่นขวัญแขวน
ในเวลานั้นมีเสียงเรียกร้องมากมายจากผู้คน ขอให้มือหนึ่งแห่งวงการนิทานยาวจากเยี่ยนโจวอย่างไป๋เจี๋ยออกโรงเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของชาวเยี่ยนโจว
ในความคิดของชาวเยี่ยนโจว ถ้าหากต้องการเฟ้นหานักเขียนนิทานยาวสักคนซึ่งเอาชนะฉู่ขวงได้ มีเพียงไป๋เจี๋ยเท่านั้น
ไป๋เจี๋ยในเวลานั้น ยังเขียนผลงานไม่เสร็จ จึงไม่ได้ส่งเสียงใด
ด้วยเหตุนี้ ทันทีทีผลงานสำเร็จ ไป๋เจี๋ยจึงลุกขึ้นมาท้าทายฉู่ขวง
จินมู่วิเคราะห์อย่างจริงจัง “ประจวบเหมาะกับในเวลานี้คุณได้รับตำแหน่งเทพสูงสุดในวงการนิยายแฟนตาซี ไป๋เจี๋ยคงอยากใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้จัดการคุณ”
หลินเยวียนตอบ “ผมไม่ประชันกับคนเยี่ยนโจวแล้ว”
ชาวเยี่ยนโจวมีแต่พวกตัวตึงกระหายการสงคราม ถ้าครั้งนี้หลินเยวียนตอบรับ ต่อให้ชนะแล้ว หลังจากนี้คงมีชาวเยี่ยนโจวส่งคำท้าประชันวรรณกรรมมาถึงตนอีก
เป็นเช่นนี้ต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
เขาไม่อยากกลายเป็นหัวโจกวายร้ายในสายตาของชาวเยี่ยนโจว
จินมู่พยักหน้า “งั้นคุณตอบไปสักหน่อยแล้วกันครับ”
การปฏิเสธการประชันวรรณกรรมไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ทำลายภาพลักษณ์ของฉู่ขวงไม่ได้
ธรรมเนียมการประชันวรรณกรรมของเยี่ยนโจว แรกเริ่มทุกคนยังคงรู้สึกแปลกใหม่
แต่เมื่อเวลาผ่านไป นักเขียนในแต่ละทวีปต่างเริ่มทนไม่ไหว ฉะนั้นในระยะนี้จึงมีนักเขียนหลายคนปฏิเสธการประชันวรรณกรรมของชาวเยี่ยน
“อื้ม”
หลินเยวียนล็อกอินเข้าบัญชีของฉู่ขวง และเห็นคำท้าประชันวรรณกรรมซึ่งไป๋เจี๋ยเมนชันถึงตน
หลินเยวียนกดแป้นพิมพ์บนโทรศัพท์มือถืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะกดโพสต์
“ตอบแล้ว?”
“ตอบแล้ว”
“เร็วขนาดนั้นเลย?”
จู่ๆ จินมู่ก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมา
เขากดเข้าปู้ลั่วทันใด อ่านข้อความตอบกลับของฉู่ขวง ปรากฏว่าฉู่ขวงตอบกลับไปเพียงสามคำ
‘ไม่ว่างครับ’
แววตาที่จินมู่มองไปยังหลินเยวียนนั้นแปลกประหลาดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ไม่ว่างครับ?
สามคำนี้….
ทำไมถึงประชดประชันปานนี้ ?
ถึงแม้จินมู่จะรู้ว่าหลินเยวียนจะไม่ได้จงใจ
‘ไม่ว่างครับ’ ของหลินเยวียนนั้นมีความหมายตรงตามตัวอักษร
เช่นเดียวกับที่หลินเยวียนตอบเมื่อปรมาจารย์วงการนิยายผู้โด่งดังทั้งเก้าในเยี่ยนโจวประกาศสงครามกับฉู่ขวงในเวลาเดียวกัน ฉู่ขวงตอบกลับทันทีว่า
‘ยังมีใครอีกไหมครับ’
ถึงแม้ประโยคสั้นๆ นี้ จะเต็มไปด้วยความหมายเชิงประชดประชัน แต่จินมู่รู้ว่าฉู่ขวงไม่ได้มีเจตนาประชดประชัน
แต่ชาวเยี่ยนนั้นไม่เข้าใจ!
ทันทีที่เห็น ‘ไม่ว่างครับ’ พวกเขาจินตนาการไปทันทีว่าฉู่ขวงเอ่ยสามคำนี้ด้วยสีหน้าเหยียดหยาม คล้ายกับว่าฉู่ขวงไม่เห็นวงการนิทานเยี่ยนโจวอยู่ในสายตา!
กล่าวให้ชัดเจนคือ
นอกเหนือจากผู้คนรอบตัวซึ่งเข้าใจบุคลิกของหลินเยวียน ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าใครได้เห็นสามคำนี้ ก็ล้วนนึกเชื่อมโยงเช่นนั้นเหมือนกัน
เช่นเดียวกับประโยคคลาสสิก ‘ยังมีใครอีกไหมครับ’ ของหลินเยวียนในช่วงการประชันวรรณกรรมแบบหนึ่งต่อเก้า
ใครจะไม่คิดว่าเป็นการประชดบ้าง?
คุณอวดดีเกินไปหรือเปล่า?
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ต่อให้คิดจะปฏิเสธการประชันวรรณกรรม ด้านคำพูดก็ควรขัดเกลาให้อ้อมค้อมสักหน่อย!
จินมู่คลึงขมับ
ครั้งนี้วงการนิทานเยี่ยนโจวยิ่งไม่ชอบฉู่ขวงขึ้นไปอีก
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
หลินเยวียนเห็นสีหน้าของจินมู่แปลกพิลึก
การฝึกฝนนำไปสู่ความรู้ที่แท้จริง
ไม่มีเวลานั้นเป็นเหตุผลที่ดี ทั้งประนีประนอมทั้งใช้ได้ผลจริง ตนเพิ่งใช้เหตุผลนี้ตอบหลัวเวยไป
จินมู่จนใจ
เขายิ่งรู้สึกว่าคำว่า ‘ไม่ว่าง’ ของหลินเยวียนนั้นไม่มีความหมายอื่นจริงๆ
ทันทีที่คิดได้
ในใจของจินมู่จึงกระจ่าง ทันใดนั้นเขาจึงคลี่ยิ้ม
“ไม่มีปัญหาครับ”
ไม่มีปัญหาจริงๆ !
ไม่ว่าเหตุผลในการปฏิเสธของฉู่ขวงในครั้งนี้จะอวดดีอย่างไร มีหรือจะอวดดีได้เท่า ‘ยังมีใครอีกไหมครับ’ ในครั้งก่อน
ถึงจะไม่มีเจตนาก็เถอะ
แต่ประโยคว่า ‘ยังมีใครอีกไหมครับ’ ก่อนหน้านี้ของฉู่ขวง สามารถสร้างภาพลักษณ์ที่อวดดีและเย่อหยิ่งให้ฉู่ขวงได้สำเร็จ
ปัจจุบันนี้ สำหรับในวงการฉู่ขวงนั้นบ้าบิ่นสมชื่อ!
บ้าบิ่นเสียยิ่งกว่าชาวเยี่ยน!
ด้วยบุคลิกอันอวดดีและเย่อหยิ่งเช่นนี้ ต่อให้ฉู่ขวงบอกว่า ‘ไม่ว่าง’ ทุกคนย่อมยอมรับได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น
จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ประโยคนี้มีความเป็นฉู่ขวงมาก!
คนเขาไม่ได้บ้าบิ่นแบบนี้เป็นวันแรกสักหน่อย!
ถึงขั้นที่มีคนยกย่องฉู่ขวงด้วยเหตุผลนี้!
คนคนหนึ่ง ตราบใดที่มีความสามารถ ไม่ว่าจะเย่อหยิ่งแค่ไหน หลายคนจะมองข้ามไป
ถึงอย่างไรผู้คนต่างชื่นชอบผู้แข็งแกร่งที่บ้าบิ่นไม่หวั่นเกรง!
แม้ว่าเรื่องนี้ล้วนเป็นความเข้าใจผิดของผู้คนก็ตาม
อย่างไรเสียบนโลกออนไลน์ ข้อความส่วนมากล้วนวิเคราะห์ได้เพียงผิวเผินเท่านั้น
เช่นเดียวกับข้อความเหล่านี้ ซึ่งมีความหมายโดยในที่แตกต่างกัน เมื่อพูดด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างกัน
ในความเป็นจริง
หลังจากฉู่ขวงปฏิเสธคำท้าประชันวรรณกรรมของไป๋เจี๋ยด้วยเหตุผลว่า ‘ไม่ว่างครับ’ ปฏิกิริยาของชาวเน็ตนั้นเป็นไปดังที่จินมู่คาดการณ์ไว้…