Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1038
GGS:บทที่ 1038 นิยม
ในตอนเช้าตรู่ ถังฮ่าวได้ตื่นขึ้นเพราะเสียงโทรศัพท์ทำให้เขานั้นอารมณ์ไม่ดีเลยสักนิด เมื่อเห็นว่าเป็นถังเสี่ยวหยู เขาก็ได้บ่นพิมพำออกมาว่า “ยัยเด็กนี่โทรมาเช้าเกินไปไหมเนี่ย” หลังจากบ่นเสร็จก็ได้รับโทรศัพท์ทันที
“คุณลุง มีเรื่องดีๆล่ะ…” ถังเสี่ยวหยูได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแจ่มใส
“เกิดอะไรขึ้น หลานมีแฟนเหรอ” ถังฮ่าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่นะไม่ไม่ คนพวกนั้นก็แค่ตามหนูต้อยๆก็เท่านั้นเอง หากหนูอยากมีแฟนจริงๆล่ะก็…. เดี๋ยวสิ หนูไม่ได้รู้สึกดีเพราะเรื่องนั้นซะหน่อย เป็นพี่จิ้งต่างหาก เขาปล่อยข้าวสีน้ำเงินออกมาขายแล้วนะ ตอนนี้ลุงสามารถซื้อหามาไว้ใช้กินได้ทุกๆวันแล้ว” ถังเสี่ยวหยูพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“โอ้….” ถังฮ่าวลืมตาตื่นในทันทีที่ได้ยินและแจ่มใสราวกับจะส่องไฟออกมาได้ ทุกๆครั้งที่ภัตตาคารปลาหญ้าสวรรค์เปิดพื้นที่พิเศษ เขาเองก็หาโอกาสไปกินอยู่บ่อยครั้งมาก
นอกจากพวกมันจะอร่อยแล้วยังทำให้ค่างกายของเขามีสุขภาพที่ดีขึ้นมาก ต่อให้เขาต้องกรีดเลือดซื้อกินก็ไม่พลาดเลยสักครั้งที่ที่นั่นเปิด
เขายังจำได้ดีว่าข้าวสีน้ำเงินนั้นมีสองเกรดคือเกรดปกติและเกรดคัดพิเศษ และนี่เองทำให้เขาต้องกรีดเลือดเข้าเนื้อไปไม่น้อยจนยากจะลืมเลือน และในที่สุดเขาก็ถามออกมาว่า “ราคาล่ะ”
“เกรดธรรมดาหนึ่งหมื่นหยวนต่อชั่ง เกรดคัดพิเศษหนึ่งแสนหยวนต่อชั่ง พ่อหนูรู้เรื่องนี้แล้วเหมือนกันแล้วเขาสั่งให้ซื้อแบบธรรมดาสามสิบกิโลและเกรดพิเศษอีกหนึ่งกิโล ลุงจะเอาด้วยรึเปล่า” ถังเสี่ยวหยูถามออกมา
ถังฮ่าวที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งเงียบไปนาน พลางคิดขึ้นว่าแพงโคตรและอดจะบ่นออกมาไม่ได้ว่านี่ข้าวหรือไข่มุกกันเนี่ย
แต่เมื่อนึกถึงว่าราคานี้ถูกมากเมื่อเทียบกับการไปนั่งกินที่พื้นที่พิเศษของภัตตาคารในแต่ละมื้อแล้วทำให้เขานั้นยอมรับขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
“หลานนี่น่ารักจริงๆ มีเรื่องดีๆแล้วบอกลุงตลอดเลย บอกพ่อหนูว่าซื้อแบบธรรมดาให้ลุงสามสิบกิโลและแบบคัดพิเศษหนึ่งชั่งนะ” ถังฮ่าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลังจากเขาสั่งซื้อข้าวสารสีน้ำเงินกับถังเสี่ยวหยูแล้ว ในวันนั้น ถังฮ่าวก็ได้ไปบ้านถังเสี่ยวหยูเพื่อจะนำข้าวกลับมา
ทันทีที่เข้าไปในสวนหย่อม เขาก็ได้กลิ่นหอมหวลและแรงกล้า กลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่เขาไม่ได้สัมผัสมานานแสนนานเลยก็ว่าได้
เขาสูดหายใจลึกๆอย่างสดชื่นและพูดออกมาว่า “โอ้ มาถึงก็เริ่มทำกินกันเลยเหรอเนี่ย กลิ่นนี้ต้องเป็นข้าวสีน้ำเงินอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ตอนแรกฉันนึกว่าการหุงข้าวนี่หากไม่ใช่คุณซูลงมือเองจะไม่ได้เรื่องอะไรซะอีก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ฝีมือของคุณซูเลย ข้าวนี่มันมีกลิ่นหอมในตัวมันเองจริงๆ” พ่อของถังเซี่ยวหยูอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมออกมา
“มันต้องอร่อยแน่ๆ ตอนนี้หนูมีน้ำลายอยู่เต็มปากแล้วอ่ะ” ถังเสี่ยวหยูพูดออกมาพลางพยักหน้าเป็นไก่จิกข้าวสาร
“ฮ่าฮ๋าฮ่า ไม่ใช่แค่เต็มปากหรอก มันไหลออกมาแล้วต่างหาก” ถังยี่เองก็ได้หัวเราะออกมาเมื่อเห็นน้องสาวตัวเองยืนน้ำลายไหล นี่ทำให้ถังเสี่ยวหยูรีบเอามือปาดน้ำลายที่ไหลออกมาในทันที
ทันทีที่กับข้าวเสร็จและนำมาวางกลางโต๊ะ ทุกๆคนอดไม่ได้ที่จะเริ่มกินกันในทันที ผลก็คือแต่ละคนต่างก็กินกันอย่างสนุกปากและแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลยสักพักใหญ่
“อาโร่ยยยยยยย นี่เป็นมื้อที่อร่อยจริงๆ” ถังเสี่ยวหยูพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“แถมกินแล้วยังรู้สึกอบอุ่นราวกับมีพลังอีกด้วย นี่ต้องเป็นเพราะข้าวกับเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากข้าวนี่แน่ๆ” ถังยี่ได้พูดออกมาอย่างเพลิดเพลิน
“ชั่งและหนึ่งหมื่นหยวนนี่ ถ้าเทียบกับการที่ต้องซื้อชุดอาหารในพื้นที่พิเศษของภัตตาคารแบบนั้นนี่ถือว่าคุ้มแล้วจริงๆ” แม่ของถังเสี่ยวหยูก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ช่างสมราคาจริงๆ คราวหน้าฉันจะซื้ออีกห้าสิบชั่งจะได้มีไว้อุ่นใจสักร้อยชั่ง” ถังฟู่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ผมว่าจะตุนไว้อีกสักสองร้อยนะ” ถังฮ่าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ด้วยความอร่อยของข้าวสีน้ำเงินนั้นก็ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกินในทันทีที่ข้าวมาส่งที่บ้าน อีกทั้งข้าวนี่ไม่เพียงจะอร่อยแถมยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย นี่ทำให้พวกเขานั้นรู้สึกว่าคุ้มค่าแล้วจริงๆ
“หัวหน้า มีอะไรจะใช้ผมหรือครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งได้เข้ามาในห้องสำนักงานแห่งหนึ่ง
“โอ้…เสี่ยวหลินนี่เอง ช่วยฉันเตรียมรถบรรทุกสักคันและหาคนขนของให้หน่อยสิ”
“หัวหน้าจะขนอะไรหรือครับ” ชายหนุ่มถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ตอนนี้ข้าวสีน้ำเงินวางขายแล้วน่ะ ฉันว่าจะซื้อตุนไว้หลายๆร้อยชั่งเก็บไว้ที่บ้านน่ะ” ผู้อาวุโสหวู่พูดออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่หนุ่มน้อยตอนนี้ได้มองบนในทันใด
นั่นก็เพราะว่าเขาเองก็รู้จักข้าวสีน้ำเงินนี้เช่นเดียวกัน มันถูกทำเป็นข่าวถ่ายทอดไปทั่ว และแน่นอนว่าเขาย่อมรู้ถึงราคาอันสูงเสียดฟ้าของมันเช่นเดียวกัน
นี่จึงทำให้เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าสาบส่งออกมาเมื่อเห็นข่าวนี้ และลั่นปากออกมาว่าไม่มีคนโง่ที่ไหนที่จะซื้อหาด้วยเงินขนาดนั้นเพียงเพื่อได้ลิ้มรส ไม่นึกว่าหนึ่งในจะมีหัวหน้าของเขาที่จะซื้อ
แถมไม่ใช่น้อยๆอีกต่างหาก นั่นก็เพราะเขาพึ่งจะได้ยินมากับหูว่าเขาจะซื้อหลายร้อยชั่ง นี่หากว่าเขาจะซื้อตามที่พูดจริงล่ะก็เขาต้องจ่ายเงินไม่น้อยกว่าล้านหยวนอย่างแน่นอน
คนรวยในโลกนี้ล้วนแล้วแต่ทำสิ่งที่ยากจะเข้าใจได้จริงๆ
“โอ้…ข้าวสีน้ำเงินนั่นฉันส่งคนไปซื้อแล้วนะ” อันจือฮ่าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“พี่จะซื้อไว้กี่ชั่งล่ะนั่น” น้องสาวของอันจิฮ่าวถามออกมา
“สั่งไปสองร้อยชั่งน่ะ ยังไงซะถ้าเก็บดีๆก็ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้วนี่นา อีกอย่าง พวกเราควรซื้อเก็บไว้เพื่อว่าของจะหมดซะก่อน” อันจิฮ่าวพูดออกมา
“โอ้ว…….ข้าวสีน้ำเงินออกวางขายสักที….” ฉินซูหลานและหลิวฉิงที่รู้เรื่องนี้ต่างก็ดีใจจนเนื้อเต้นที่เห็นข่าวนี้
ตอนที่ภัตตาคารของซูจิ้งเปิด ทั้งสองนั้นยุ่งมากจนหาเวลาไปกินฝีมือของซูจิ้งไม่ได้เลยสักครั้งเดียว
พอจะว่างจะว่างก็ปรากฎว่าซูจิ้งนั้นเปลี่ยนวันเปิดพื้นที่พิเศษของภัตตาคารเป็นวันเสาร์อาทิตย์ มาตอนหลังทั้งสองก็ไม่ว่างซะอีกจนทำให้ในที่สุดก็ไม่ได้กินสักที
ในที่สุดทั้งสองทนไม่ไหวจนต้องโดดงานไปกินได้แค่มือเดียว และมื้อนั้นเป็นมื้อที่ล้ำค่าสำหรับทั้งสอง และนั่นทำให้ทั้งสองได้รู้จักกับข้าวสีน้ำเงินและจดจำจนฝังใจ
พอมาตอนนี้เมื่อได้ยินว่าข้าวสีน้ำเงินถูกนำมาขายในตลาดในที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสองจะดีใจเมื่อได้ยิน
โดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ฉินซูหลานได้ซื้อข้าวสีน้ำเงินเกรดธรรมดาสามสิบชั่ง ส่วนหลิวฉิงได้ซื้อข้าวธรรมดาไปที่สี่สิบชั่ง
ถึงแม้ทั้งสองจะถือว่าเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวยอยู่บ้าง แต่ด้วยราคาขนาดนี้เพียงเท่านี้ก็คือว่ากรีดเนื้อเถือหนังได้แล้ว
แน่นอนว่ายังมีเหล่าคนรวยอีกมากมายทั้งที่เคยและไม่เคยไปยังพื้นที่พิเศษของภัตตาคารของซูจิ้งต่างก็แห่แหนกันสั่งซื้ออย่างจ้าละหวั่น
ถึงแม้จะมีหลายๆคนที่ไม่เคยได้ไปกินที่นั่นแต่ก็ยังกล้าที่จะซื้อไปลองทำกินกันเองดู แต่เพียงพวกเขาได้กินไปมื้อหนึ่งก็ผมว่ามันคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปอย่างมากและยินดีที่จะกลับไปซื้ออย่างช่วยไม่ได้
“นี่พี่ชาย ที่นี่ขายข้าวสีน้ำเงินใช่รึเปล่าครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบถึงสามสิบปีได้ถามขึ้นมา เขานั้นใส่ชุดที่ดูธรรมดาสามัญมากๆ และพูดขึ้นมาในขณะที่ก้าวเข้าไปในร้าน
“ใช่แล้วล่ะ” คนขายพนักหน้ารับ
“เอ่อออ…เป็นไปได้รึเปล่าครับถ้าผมจะซื้อซักขีดสองขีด” ชายหนุ่มคนนั้นเกาหัวแกรกและมีท่าทีเอียงอายเล็กน้อยในขณะที่ถามออกมา
ชายคนนี้มีชื่อว่าโจวจือหยุน เขานั้นเป็นคนธรรมดาที่ทำงานสุจริต เงินเดือนของเขานั้นถือได้ว่าสูงมากเมื่อเทียบกับคนทั่วไป
เขาได้รับเงินเดือนเดือนหนึ่งมากกว่าสองหมื่นหยวนและปีๆหนึ่งเขาได้รับโบนัสประมาณสามหมื่นถึงสี่หมื่นหยวนเลยทีเดียว
นอกจากนี้เขายังมีอีกสถานะหนึ่ง นั่นก็คือแฟนคลับพันธุ์แท้ของซูจิ้ง เขาเองก็ได้ยินเรื่องข้าวสีน้ำเงินนี้เลยนึกอยากจะลองดูบ้าง
ความจริงเขาเองก็อยากจะสนับสนุนซูจิ้งมานานแล้วแต่มีเพียงข้าวสีน้ำเงินนี้เท่านั้นที่เขาพอจะเข้าถึงได้
“ได้ค่า…” คนขายพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“งั้นผมขอสักขีดนึงแล้วกันครับ” โจวจิหยุนได้นำเงินออกมาหนึ่งพันหยวน หลังจากซื้อข้าวเสร็จ เขาก็ไปยังตลาดเพื่อซื้อผักสด ก่อนที่เขาจะตรงกับไปยังบ้านเช่าของเขา
เขาจัดการซาวข้าวและหุงมันในทันที หลังจากนั้นเขาก็ได้หันไปทำกับข้าว ในขณะที่กับข้าวยังไม่เสร็จดีนั้น เขาก็ได้กลิ่นข้าวที่หุงสุกอยู่ในหม้อที่ลอยโชยมา
นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นนี้เข้าไปจนชุ่มปอดจนเขานั้นลืมไปว่ากำลังเตรียมจะทำกับข้าวและได้ใช้ช้อนตักข้าวกินอย่างอดไม่ได้ไปหนึ่งคำ
หลังจากนั้นเขาก็หยุดมือไม่ได้และตักข้าวเข้าปากไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงชั่วขณะหนึ่ง เขารู้สึกมีความสุขที่ได้กินข้าวสีน้ำเงินนี้มากจนน้ำตาเกือบไหลออกมา เขารู้สึกมีความสุขจนรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีอะไรดีๆรออยู่อีกเยอะเลยจริงๆ
ไม่นานนัก เขาก็ได้กินข้าวจนหมดหม้อน้อยๆของเขา จนไม่ให้เหลือเลยแม้แต่เม็ดเดียวทั้งๆที่ไม่ได้กินกับกับข้าวเลยด้วยซ้ำ
“มันอร่อยจนทำให้มีความสุขได้เลยจริงๆ ไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมมันถึงมีราคาถึงชั่งละหมื่นหยวน” ใบหน้าของโจวจือหยุนในตอนนี้แสดงออกถึงอารมณ์ที่หวั่นไหว ตัวเขานั้นนอกจากการใช้เงินซื้อของกินในการจีบสาวแล้ว นี่ถือว่าเป็นมื้ออาหารที่หรูหรามื้อหนึ่งในชีวิตเขาเลยทีเดียว
ในตอนนั้นเขาหมดเงินไปกับการกินอาหารในภัตตาคารระดับสูงที่มีค่าอาหารอยู่ที่จานละหนึ่งพันหยวนเลยทีเดียว
ถึงแม้ในตอนนั้นมันจะอร่อยก็จริง แต่เมื่อเทียบกับข้าวสีน้ำเงินเพียงขีดเดียวนี้ช่างเทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าเขานั้นจะต้องซื้อข้าวสีน้ำเงินนี้อย่างแน่นอน แต่เขาก็คงจะกินทุกมื้อไม่ไหวจริงๆ ถึงแม้จะแพงไปหน่อยแต่สักเดือนสองเดือนหนหนึ่งก็ยังถือได้ว่าพอจ่ายไหวอยู่เหมือนกัน อย่างมากก็แค่เก็บเงินจากส่วนอื่นก็เท่านั้นเอง
นอกจากโจวจือหยุนแล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่ได้ลองและมีความคิดแทบจะไม่ต่างกันเลยสักนิด ตอนนี้ชื่อเสียงของข้าวสีน้ำเงินนั้นพุ่งสูงขึ้นราวกับหน่อไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่สูงขึ้นได้เพียงชั่ววันเดียว และนี่เองก็ทำให้หลายๆคนเริ่มยอมรับกับการกระทำของซูจิ้งมากขึ้น
แน่นอนว่ายอดขายของข้าวสีน้ำเงินเองก็พุ่งขึ้นตามจนทำให้แม้แต่คนที่เคยออกมาดูถูกเหยียดหยามและสาบส่งในตอนแรกทั้งในโลกทั่วไปและโลกอินเตอร์เน็ตต้องนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง