Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1048
GGS:บทที่ 1048 สุดยอดสวนสัตว์ (3)
หลังจากผู้เข้าชมสวนสัตว์ได้ชื่นชมนกยูงขาวและตะพาบยักษ์อยู่อีกพักใหญ่ ฟานเว่ยเชินและซิ่วจงหงได้นำคนทั้งหมดไปยังสถานที่ต่อไป
ถึงแม้พวกเขาจะยังชื่นชมในความสวยงามของนกยูงขาวและความปลื้มปิติที่มีต่อตะพาบน้ำยังไม่หนำใจก็ตามและไม่อยากจะไปที่อื่นแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ในกลุ่มก็เลือกที่จะตามไป มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังคงอยู่ต่อ
เดินไปได้อีกพักหนึ่ง ทุกสายตาก็มายังส่วนถัดไป พวกเขานั้นได้เห็นดอกไม้มากมายและต้นไม้นานาชนิด มีเสียงนกที่ร้องเพลง และกลิ่มหอมของดอกไม้ที่เตะจมูก แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ยังไม่เห็นเลยว่าสัตว์ที่อยู่ที่นี่คือสัตว์ชนิดใด
“ส่วนนี้มีอะไรเหรอ” บางคนมองอยู่นานแต่ก็ไม่พบอะไรจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ใจเย็นๆก่อนนะ แค่รออีกนิด” ฟานเว่ยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ซิ่วจงหงเองในตอนนี้ก็ได้เปิดประตูรั้วเข้าไปก่อนที่จะโยนเมล็ดธัญพืชต่างๆเข้าไปในกระสวยให้กระจายไปโดยรอบ และไม่มีใครสนใจแม้แต่น้อยว่าที่โปรยไปนั้นคือข้าวสีน้ำเงินที่ราคาอย่างต่ำก็ชั่งละพันเข้าไปแล้ว
ไม่นานนัก หนูกลุ่มหนึ่งก็ได้ปีนลงมาจากต้นไม้ พวกมันนั้นมีลำตัวส่วนบนสีน้ำตาลดำแต่มีส่วนล่างสีขาว ลักษณะของพวกมันดูปุกปุยและน่ารักกว่าหนูทั่วไปอย่างมาก
พวกมันทำจมูกฟุตฟิตสักพักก่อนที่จะรุมล้อมกินธัญพืชต่างๆอย่างอย่างรวดเร็วและเพลิดเพลิน
“หนูเหรอ สัตว์แบบนี้เนี่ยนะมาอยู่ในสวนสัตว์”
“หนูพวกนี้มันมีอะไรดีกัน อย่างมากพวกมันก็แค่ดูน่ารักหน่อยก็เท่านั้นเองนี่นา สวนสัตว์อื่นยังไม่ใจกล้าหน้าหนาขนาดนี้เลย แล้วทำไมซูจิ้งถึงกล้าได้กัน”
“หนูพวกนี้จะไม่ถูกดูแลดีไปหน่อยเหรอ พวกมันเป็นสัตว์คุ้มครองนะฉันว่า”
“ฉันลองดูในรายการสัตว์คุ้มครองระดับโลกแล้วนะ ไม่เห็นเจ้าหนูนี่อยู่ในรายการเลย อย่าว่าแต่ระดับหนึ่งเลย ระดับสามก็ไม่เห็น”
“ผู้อาวุโสฟาน นี่…หนูพวกนี้อยู่ในพวกนั้น….ใช่ไหม?” ชายแก่คนหนึ่งถามออกมา นี่ทำให้ทุกๆคนหันมองฟานเว่ยเชินเป็นตาเดียว
“อืม… หนึ่งในนั้น”ฟานเว่ยพยักหน้าเบาๆพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“หนูพวกนี้มันแปลกยังไงล่ะ”
“ฉันว่าฉันรู้จักพวกมันนะ คุ้นๆว่าเคยได้ยินแต่นานมากจนนึกไม่ออก”
“ไม่ใช่ว่าพวกมันคือหนูป่าออสเตรเลียเท้าขาวที่เคยพูดถึงกันหรอกหรือนั่น” ชายวัยกลางคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงบางเบาเพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
“ไร้สาระ จะเป็นไปได้ยังไงกัน” ชายแก่คนหนึ่งยกมือมาโบกไปมาตรงหน้าของเขา
“อะไรคือหนูป่าออสเตรเลียเท้าขาวกันครับ? แล้วทำไมมันถึงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะใช่พวกมันล่ะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งถามออกมาอย่างสงสัย
“หนูป่าออสเตรเลียเท้าขาวนี้ก็ตรงตามชื่อของมันนั่นแหล่ะ มันเป็นสัตว์ถิ่นของประเทศออสเตรเลีย เหตุผลที่ว่าเป็นไปไม่ได้นั้นเพราะพวกมันถูกประกาศว่าสูญพันธุ์ตั้งแต่ช่วงต้นยุคศตวรรษที่ยี่สิบ”
“ผมลองดูในเอ็นไซโครพิเดีย(สารานุกรม)แล้วนะ พบข้อมูลของมันจริงๆ หนูป่าออสเตรเลียเท้าขาวพวกนี้ถูกประกาศและยืนยันว่าสูญพันธุ์ไปมากกว่าร้อยปีแล้ว
จากข้อมูลที่บันทึกไว้นั้น หนูป่าเท้าขาวออสเตรเลียควรจะมีขนาดที่เล็ก ขนลู่ ครึ่งบนมีสีน้ำตาลดำส่วนครึ่งล่างมีสีขาว อ้อนี่มีภาพของพวกมัน….” หลังจากที่ลองเปิดเอ็นไซโครพิเดียของไป่ตู้ดูแล้ว พวกเขาที่เห็นว่าภาพที่บันทึกกับสิ่งที่เห็นนั้นเหมือนกันอย่างกับแกะก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอุทานทั้งน้อยใหญ่ออกมา
ขนที่ลู่และนุ่ม ครึ่งบนสีน้ำตาลดำครึ่งล่างสีขาว จะบอกว่าที่อยู่ต่อหน้าทุกคนในตอนนี้คือสิ่งมีชีวิตที่หลุดออกมาจากรูปที่เห็นเลยก็ว่าได้ นี่ทำให้ทุกคนต่างสับสนในทันที
ชายแก่และชายวัยกลางคนที่บอกออกมาก่อนหน้านี้ว่าเป็นไปไม่ได้นั้น ทั้งสองก็ได้ลองดูในข้อมูลเช่นเดียวกันแต่พวกเขาก็ทำได้แค่เพียงพูดไม่ออกเท่านั้น
ทั้งสองต่างก็อยู่ในวงการสวนสัตว์และก็ได้ยินมากับหูว่าหนูป่าเท้าขาวออสเตรเลียนั้นสูญพันธุ์ไปแล้วจริงๆจึงได้กล้าจะบอกออกมาว่าเป็นไปไม่ได้
แต่ถึงแม้จะบอกว่าหนูป่าเท้าขาวออสเตรเลียสูญพันธุ์ไปแล้วกว่าร้อยปีแต่กับสิ่งที่เห็นตรงหน้าพวกเขาก็คือสัตว์ที่มีลักษณะของหนูป่าเท้าขาวออสเตรเลียจริงๆทำให้พวกเขานั้นตกตะลึงจนเถียงต่อไม่ออก
ฉินซูหลาน โจวหลัน เฉินฮง เฉินเจียเหยา หลิวหยิน และคนอื่นๆในตอนนี้ต่างก็หาข้อมูลในสมาร์ทโฟนของตัวเองเพื่อมาเทียบกับสิ่งที่เห็น แต่ยิ่งเห็น พวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
“พระเจ้า นี่มันหนูป่าเท้าขาวออสเตรเลียของจริง” ฉินซูหลานได้อุทานออกมา
“เป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นซูจิ้งก็ไม่มีทางจะคืนชีพให้สัตว์สูญพันธุ์ได้หรอก” โจวหลันเองก็พูดออกมาด้วยท่าทีไม่เชื่อแม้แต่น้อย แต่ในตอนนี้คำพูดของเธอเป็นอะไรที่พูดไปก็เท่านั้นเพราะยังไงซะพวกเขาก็เห็นมันอยู่ต่อหน้า
“มันก็คงจะจริงที่กับคนอื่นจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้กับพี่จิ้งล่ะนะ” ฉินซูหลานได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นแบบสุดๆในขณะที่จ้องมองไปยังหนูป่าเท้าขาวออสเตรเลีย เหตุที่เขากล้าพูดออกมาแบบนี้ได้เต็มปากเต็มคำนั้นนั่นก็เพราะเขาได้นับถือซูจิ้งอย่างหมดหัวใจนั่นเอง
“ครั้งนี้ฉันว่าเขาเล่นใหญ่เลยนะ” จูเจียนฮัวได้พูดออกมาอย่างประหลาดใจ
“มันไม่ใช่แค่เล่นใหญ่หรอก กับเรื่องนี้คงจะเป็นการเล่นจนทำให้ทั่วทั้งโลกตกตะลึงอย่างแน่นอน” เฉินฮงพูดออกมา
ที่เขากล้าพูดออกมาแบบนี้นั้นก็เพราะว่ามนุษย์ได้ก่อมลพิษออกมามากมายจากโรงงานอุตสาหกรรม ทำการล่าและฆ่าเพื่อความสนุกสนาน และยังมีเหตุผลโง่ๆอีกมากมายที่ทำให้สัตว์หลายสายพันธุ์นั้นได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
เรียกได้ว่ามีสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องสูญพันธุ์ไปเพราะมนุษย์เลยก็ว่าได้ กว่ามนุษย์จะตระหนักถึงปัญหาและต้องการยื่นมือเข้าช่วยเหลือก็สายเกินไปแล้ว
สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วนั้นจะไม่มีวันกลับมาอีก ต่อให้เทคโนโลยีการโคลนนิ่งจะล้ำหน้า แต่อย่างน้อยๆในตอนนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะฟื้นคืนชีวิตให้กับสายพันธุ์เหล่านั้น นี่คือความอัปยศหนึ่งของมนุษย์เลยก็ว่าได้
การที่ได้เห็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วมาปรากฏตรงหน้าแบบนี้ คนที่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วจึงไม่แปลกที่จะตื่นเต้นแบบนี้
ตอนนี้อีกหลายๆคนจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมสัตว์ที่เห็นตรงหน้าพวกเขาจึงไม่ได้อยู่ในรายการสัตว์ป่าคุ้มครอง นั่นก็เพราะพวกมันนั้นถูกบอกว่าสูญพันธุ์ไปแล้วนั่นเอง หากว่าพวกมันสูญพันธุ์ไปแล้วจะไปปกป้องผีกันรึยังไง
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกมันมาปรากฏกายต่อหน้าพวกเขาแล้วแบบนี้ พวกมันก็สมควรจะถูกขึ้นบัญชีคุ้มครองลำดับหนึ่งอย่างแน่นอน เพราะพวกมันนั้นหายากยิ่งกว่าแพนด้ายักษ์ของจีนซะอีก
“นั่นๆ มีหนูอีกฝูงหนึ่งออกมาจากพงหญ้าด้วย”
“แปลกจัง ทำไมพวกมันเดินล่ะ”
ฝูงชนที่เห็นฉากนี้ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นไม่ได้เพราะยังมีความตื่นเต้นที่ค้างคาจากหนูป่าเท้าขาวออสเตรเลียอยู่
หนูกลุ่มใหม่นี้มีขนาดเท่ากับหนูบ้านธรรมดา พวกมันมีขาหน้าที่สั้นมาก แต่กลับมีขาหลังที่ยาวและดูแข็งแรงกว่าหนูทั่วไป เอาจริงๆพวกมันก็ไม่เชิงเดินแต่เป็นกึ่งๆคลานออกมา หลังจากนั้นพวกมันก็ได้กระโดดด้ยสองขาหลังเหมือนจิ้งโจ้เลยทีเดียว
“รีบหากันเร็วว่าพวกมันคือตัวอะไร”
“โอ้ พระเจ้า มันเหมือนตัวมาร์มอตจัง”
คราวนี้ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครคิดจะดูแคลนสิ่งมีชีวิตใหม่ที่อยู่ภายในสวนสัตว์ของซูจิ้งอีกต่อไปต่อให้พวกมันจะดูเหมือนหนูก็ตาม
ทุกคนต่างก็ลองค้นหาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ตเพราะกลัวว่าจะทำได้เพียงแค่เห็นหน้าพวกมันแต่ไม่รู้จักว่าจริงๆแล้วพวกมันถือตัวอะไรกันแน่
และในที่สุดพวกเขาก็เจอมัน พวกมันนั้นเหมือนหนูพื้นเมืองของออสเตรีเลียที่เคยเล่าขานกันอย่างกับแกะ และแน่นอนว่ามันเองก็ได้ขึ้นชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยปีเช่นเดยวกัน
หนูชนิดนี้เรียกได้ว่ามีชื่อเสียโด่งดังมากเพราะมันมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างจากหนูชนิดอื่นอย่างสิ้นเชิง ผู้คนต่างก็เรียกขานมันว่า หนูจิงโจ้ เหตุเพราก็เพราะวิธีการที่มันไปไหนมาไหนนั่นเอง
“พระเจ้าเถอะ สัตว์สูญพันธุ์อีกหนึ่งเหรอ บ้าไปแล้ว”
“โลกนี้ต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ หรือว่าฉันกำลังฝันไป”
“ตอนนี้ฉันคิดว่าสิ่งที่ตัวเองรู้กับที่ทั่วทั้งโลกคิดคงจะต้องกัปตาลปัตรแล้วแน่ๆ”
“ซูจิ้งนั้นคือพระเจ้าแน่ๆ ตะพาบยักษ์นั่นฉันยังพอเข้าใจได้ แต่นี่….นี่คือสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วนะ เขาทำได้ยังไงกัน”
ถึงแม้ว่าหนูสองสายพันธุ์ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นจะน่าดึงดูดไม่เท่านกยูงขาวและตะพาบน้ำยักษ์อย่างเทียบกันไม่ได้
แต่เมื่อพวกมันนั้นได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วนั้น นี่ทำให้ไม่อาจที่จะคิดว่าพวกมันเป็นแค่หนูไปได้เลยแม้แต่น้อย และหากพูดถึงความหายากแล้วนั้นเรียกได้ว่าพวกมันย่อมมีชื่อเสียงสูงเทียมฟ้าในทันทีที่มีคนรู้
นั่นก็เพราะหากต้องการที่จะเห็นเจ้าหนูทั้งสองพันธุ์นี้ ในโลกนี้คงจะมีที่นี่ที่เดียวแล้วจริงๆที่พวกมันยงคงอยู่