Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 981
GGS:บทที่ 981 โรคที่ไม่มีทางรักษา
ซูจิ้ง ลูฉิงหมิน และหมอคนอื่นๆ ตอนนี้ได้ออกมารับแขกสุดพิเศษที่ต้องการเข้ารับการรักษาจากซูจิ้งในคลีนิกพิเศษแห่งโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน
คนที่เข้ามาเป็นชายวัยกลางคนที่นั่งลงบนรถเข็น ร่างกายและแขนขาเล็กลีบและมีอุปกรณ์ประคองศรีษะสวมเอาไว้ ชายคนนี้ได้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนคอยเข็นรถเข็นให้และหญิงสาวอีกคนหนึ่งเดินมาข้างๆอย่างใกล้ชิด ทั้งสองคนมาที่นี่ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
“หมอซูคะ คุณหมอทุกท่านคะ ได้โปรดช่วยรักษาสามีของฉันที” หญิงวัยกลางคนที่เพิ่งลงมาจากรถด้วยท่าทีอิดโรยได้รีบเดินเข้ามาหาด้วยความเร็วเท่าที่เป็นไปได้แล้วพูดออกมา
“ฉันว่าเคสนี่เราจะทำอะไรไม่ได้นะ” ลูฉินหมิงได้ถอนหายใจออกมา ส่วนหมอคนอื่นเองก็ทำได้เพียงแค่ส่ายศรีษะแทบจะทุกคนไป และต่างพลางนึกในใจว่าในวันนี้สถิติการรักษา100%ของคลีนิกพิเศษแห่งนี้คงจะจบลงแล้วสินะ
ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นนั้นป่วยเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้ โรคนี้เป็นหนึ่งในห้าที่หมอทั่วทั้งโลกให้การยอมรับว่าไม่มีวันรักษาหาย
เป็นโรคที่ถือได้ว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงยิ่งกว่าโรคทางสายตา โรคไข้เย็น และภาวะการมีบุตรยาก โรคนี้เรียกอย่างเป็นทางการว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Amyotrophic Lateral Sclerosis ,ALS)
โรคALSนี้เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับเซลล์ประสาทนำคำสั่ง นอกจากนี้ยังมีชื่ออีกอย่างหนึ่งที่คนน่าจะรู้จักมากกว่านั่นก็คือโรคมนุษย์น้ำแข็ง
เหตุผลที่มันเป็นที่รู้จักในชื่อนี่นั้นก็เป็นเพราะว่าเมื่อผู้ป่วยมีอาการจะมีอาการสั่นราวกับถูกแช่เอาไว้ในน้ำแข็งหรือหิมะ และคนๆนั้นจะสูญเสียการควบคุมในทันที
อย่างไรก็ตามโรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบฉับพลัน แต่จะค่อยๆเกิดกับบางส่วนของร่างกายจนทำให้ร่างกายอ่อนแอลงตามลำดับ
สาเหตุของอาการมาจากอาการบาดเจ็บของระบบสื่อประสาทอาจจะเป็นส่วนบนหรือส่วนล่าง ผลของมันคือการทำให้เกิดอาการอ่อนแรงลง และจะทำให้ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบ และกระตุก รวมทั้งอาจมีอาการแข็งเกร็งอีกด้วย
ที่ก่อนหน้านี้มีการรณรงค์ที่เรียกว่า “Ice Bucket Challenge” ที่เป็นที่นิยมกันเมื่อไม่กี่ปีก่อนเองก็เป็นผลพวงมาจากโรคนี้
เป้าหมายของการรณรงค์นี้คือการกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักถึงคนที่ป่วยและอาจจะป่วยโรคนี้แต่ยังไม่รู้ตัว เพื่อช่วยกันบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้ และด้วยอาการหนาว สั่น เกร็ง หลังจากราดตัวด้วยถังน้ำแข็งนี้จึงเป็นที่มาของชื่อโรคที่รู้จักกันในใช่ โรคมนุษย์น้ำแข็ง
บนโลกนี้มีคนที่ป่วยเป็นโรคนี้จำนวนมาก หนึ่งในคนที่น่าจะรู้จักกันดีก็คือสตีเฟ่นฮอกกิ้น นักฟิสิกข์ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลแห่งยุค
เขานั้นเป็นผู้ค้นพบปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การแผ่รังสีฮอว์คิง” (Hawking Radiation) ซึ่งหมายถึงการที่หลุมดำเกิดการรั่วไหลของพลังงานจนค่อย ๆ ระเหยหมดไปได้ในที่สุด
และอีกหนึ่งคือ “ทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง” (Theory of everything ) ที่เสนอว่าจักรวาลมีวิวัฒนาการมาตามกฎเกณฑ์ที่แน่นอนชุดหนึ่ง และแนวคิดนี้ได้รับความนิยมกันไปทั่ว
นอกจากนี้เขายังได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับกาลเวลาที่มีชื่อว่า “ประวัติย่อของกาลเวลา” (A Brief History of Time) และได้รับความนิยมจนสามารถขายออกไปได้กว่า 10 ล้านฉบับทั่วโลก
นี่จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าเขานั้นเป็นหนึ่งในนักฟิสิกข์คนสำคัญของโลกใบนี้ต่อมาจากนิวตันและไอน์สไตน์จนได้ฉายาว่า “ผู้ไขความลับแห่งจักรวาล”
อย่างไรก็ตามอัจฉริยะผู้นี้ไม่สามารถต้านทานต่อโลกภัยได้ นั่นก็เพราะเขาเองก็ป่วยเป็นโลก ALS นี้ด้วยเช่นกัน เขาต้องมีชีวิตอยู่บนรถเข็นมานานกว่าครึ่งศตวรรษและก็ยังไม่อาจหาทางรักษาอาการนี้ได้
เมื่อตอนที่เขาอายุได้ 21 ปี แพทย์ตรวจพบว่าเขามีอาการของโรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อมชนิดหนึ่ง ซึ่งต่อมาทำให้เขาเป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว และต้องใช้รถเข็นวีลแชร์ตลอดชีวิต
ในตอนนั้นแพทย์ได้บอกเขาว่าจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2-3 ปีเท่านั้น แต่ในภายหลังปรากฏว่าเขามีอาการทรุดลงช้ากว่าที่คาดมาก
อย่างไรก็ตามอาการบาดเจ็บดังกล่าวส่งผลให้ร่างกายของเขาเป็นอัมพาตแข็งค้างไปเกือบตัวแบบถาวร เหลือเพียงอวัยวะบางส่วนที่ยังขยับได้
เขาสามารถขยับนิ้วสามนิ้ว ขยับศรีษะได้เล็กน้อย ไหล่ข้างหนึ่งถูกดึงให้สูงขึ้นด้วยเส้นประสาทในร่างสูงกว่าไหล่อีกข้างหนึ่ง ข้อมือขยับได้เล็กน้อย กำมือด้วยสามนิ้วได้ ข้อเท้ายังขยับได้ ปากบิดเบี้ยวเป็นรูปตัวเอส พอยิ้มได้บ้างเล็กน้อย และทุกครั้งที่เขายิ้มจะสามารถเห็นลักยิ้มอันเด่นชัดได้
ด้วยเหตุนี้โรคALSนี้เป็นหนึ่งในโรคที่ก่อปัญหาให้กับมนุษย์โลกในลำดับต้นๆ และเมื่อลูฉินหมิงและคนอื่นๆต้องมาพบเจอผู้ป่วยโรคนี้อยู่ตรงหน้าก็ทำได้เพียงแต่รู้สึกเจ็บใจไม่น้อยที่พวกเขาไม่อาจช่วยอะไรได้
พวกเขาเองก็พาลได้แต่คิดไปว่าต่อให้เป็นซูจิ้งก็ไม่น่าจะสามารถทำอะไรได้เช่นเดียวกัน หากว่าพวกเขาได้รู้ตัวก่อนก็คงจะปฏิเสธไปแล้ว
แต่นี่ผู้ป่วยกลับมาอย่างกระทันหันแถมมีท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยความหวังแบบนี้ พวกเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้ ที่ทำได้ก็มีเพียงการยืนฟังอยู่นิ่งๆเท่านั้น
“พวกเราจะพยายามรักษาอย่างสุดความสามารถครับ แต่ผมคิดว่าคุณควรจะรู้อยู่แล้วว่าโรคนี้ยากที่จะรักษา ผมไม่รับประกันนะครับว่าจะรักษาได้หายอย่างสมบูรณ์” ซูจิ้งพูดออกมา
ลูฉินหมิงที่ได้ยินตอนนี้พลันหันหน้าไปจ้องมองซูจิ้งในทีนที พลางนึกถึงคำพูดของซูจิ้งเมื่อครู่ว่าเมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ นี่เขาอยากจะลองดูจริงๆเหรอ แถมยังไม่ได้บอกว่ารักษาไม่ได้แต่เป็นอาจรักษาได้ไม่สมบูรณ์อีกด้วย
“พวกเรารู้ดีค่ะว่าหมอซูจะทำสุดความสามารถ” หญิงวัยกลางคนพยักหน้าด้วยสายตาที่มีน้ำซึมออกมา
“คุณหมอซู พ่อของพวกเราสามารถรักษาได้จริงๆเหรอ” ชายหนุ่มและหญิวสาวที่อยู่หลังรถเข็นได้ถามออกมาในขณะที่จับจ้องไปยังซูจิ้งตาไม่กระพริบราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ถึงแม้พวกเขาจะมาด้วยความหวังว่าพ่อของพวกตนจะได้รับการรักษาจนหาย แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าโรคนี้เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้หาย
ถ้าให้พูดตรงๆที่พวกเขามานี่ก็ไม่ได้หวังอะไรมากนักเพียงเพราะทนคำรบเล้าของผู้เป็นแม่ของตนไม่ได้
แต่ตอนนี้สิ่งที่ทั้งสองคิดสงสัยที่สุดก็คือซูจิ้งจะหาทางสูบเงินพวกเขาไปอย่างช้าๆและสุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้เลย
“ผมเองก็ขอบอกความจริงก่อนก็แล้วกันว่าตอนนี้ผมเองกำลังคิดค้นยาตัวใหม่อยู่ และมันมีสรรพคุณในการรักษาอาการบาดเจ็บที่ดีมาก แต่ผมนั้นยังไม่เคยใช้จริงๆกับมนุษย์ นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่บอกไว้ว่าผมไม่รับปากว่าจะหายดี” ซูจิ้งพูดออกมา
“นี่มันไม่ได้หมายความว่าจะใช้พ่อของเราเป็นหนูทดลองหรอกเหรอ” หญิงสาวได้พูดออกมาพร้อมยกคิ้วสูงด้วยความตกใจ
“หมอซู นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ” ชายหนุ่มได้พูดออกมาด้วยท่าทีโกรธเคือง
“ฮ่าวน้อย ได๋น้อย ใจ..เย็นๆ..ก่อน” คราวนี้เป็นชายวัยกลางคนที่นั่งรถเข็นได้เปล่งเสี่ยงออกมาอย่างยากลำบาก ถึงแม้เขาจะยังขยับปากพูดได้แต่ก็ไม่ได้ชัดมากนัก เขานั้นยังพอที่จะขยับดวงตาและปากได้แต่ส่วนที่เหลือนั้นแข็งทื่อไปหมดแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาพูดได้ไม่ชัดนัก
“กับโรกทีม่ายมีทาที่ใคจะรัดสาได้แบบนีแตลูคจะให้หมอเทดาทีเปนแสงแหงความหวังคนนีรัดสาได้สาเรจ100%อีเนียนะ ภ่อมีชีวิด้วยสภาพนี้มานาเกนปายแล้จะลอดูหนอยจาเปนอะไรไป อยางนอยก็ยังไดสูกับโลคนีกอนตายก็ยางดีกวานอนลอควาตายไปทังอยางนี” (พูดไม่ชัดเข้าใจนะ)
ชายวัยกลางคนผู้นี้แม้จะตกอยู่ในภาพที่ยากลำบากจากโรคภัยแต่ก็ยังมีท่าทีสงบราวกับเตรียมใจไว้แล้ว นี่ทำให้ซูจิ้งถึงกับพยักหน้ายอมรับในใจแกร่งของเขา
“หมอซู อยาไปสนจายลูคผมเลย ผมญินดีรับการรากสา ชวยรากสาผมที ตอใหคุนรักสาไมไดผมก็ไม่โทดคุน” ชายวัยกลางคนยังพูดออกมาแสดงความตั้งใจของตัวเองอย่างยากลำบาก
“เดี๋ยวก่อนสิ” ชายหนุ่มได้พูดออกมาในทันที และนี่เองทำให้เขาได้เห็นสายตาผู้เป็นพ่อของเขาจ้องมองอย่างไม่สบอารมณ์
ชายหนุ่มคนนั้นได้นั่งชันเข่าก่อนจะพูดกับพ่อของตนเองว่า “พ่อ ผมเข้าใจพ่อว่าตอนนี้พ่อรู้สึกยังไงและผมเข้าใจความคิดของพ่อ
แต่พ่อไม่คิดถึงพวกเราบ้างเหรอ พวกเราจะยอมให้พ่อรับการรักษาด้วยวิธีการที่เราไม่รู้จักได้ยังไง หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาล่ะ หากว่ามันรักษาหายได้จริงล่ะก็ผมจะไม่ห้ามพ่อเลยแม้แต่น้อย…เอาอย่างนี้ผมมีวิธีแล้ว”
“วิทีคือ…” ชายวัยกลางคนถามออกมาอย่างสงสัย
“ผมจะหาคนที่ป่วยเป็นALSมาให้คุณซูลองรักษาก่อน หากว่าพวกเขารักษาหายได้ผมถึงจะยอมให้พ่อรักษา” ชายหนุ่มพูดออกมา
ซูจิ้งที่ได้ยินดังนั้นถึงกับคิ้วกระตุกในทันทีก่อนที่จะนิ่งคิดไปชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงได้พูดออกมาว่า
“ก็ได้ ผมไม่มีปัญหาแต่ว่ามีสองเงื่อนไข อย่างแรกผู้ป่วยที่พามานั้นต้องยินยอมพร้อมใจที่จะมาด้วยตัวเอง ห้ามฝืนบังคับมาโดยเด็ดขาด
อย่างที่สอง ผมนั้นจะต้องทุ่มเทเวลา พลังงาน และตัวยาในการรักษาคนไข้ที่คุณพามา คุณจะต้องเป็นคนรับผิดชอบค่ารักษาของคนไข้คนนั้นจำนวนหนึ่งร้อยล้านหยวน
และแน่นอนว่าผมต้องทุ่มเทเวลา พลังงาน และตัวยาในการรักษาพ่อของคุณด้วยวิธีการเดียวกัน และแน่นอนว่าผมจะคิดค่ารักษาพ่อของคุณอีกหนึ่งร้อยล้านหยวน”
“ไม่มีปัญหา” ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายนี่ทำให้ชายวัยกลางคนเองก็ถึงกับพูดไม่ออกราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเรื่องต้องลงเอยแบบนี้
“ตกลง” ซูจิ้งยื่นมือออกมาจับมือกับชายหนุ่มเป็นสัญญาลักษณ์ว่าเห็นด้วยกับข้อตกลงร่วมกัน นี่เป็นเรื่องดีสำหรับเขานั่นก็เพราะว่าเขานั้นมีคนไข้เพิ่มเติมมาให้ฝึกปรือฝีมือ แน่นอนว่าถึงแม้ซูจิ้งจะมั่นใจว่ารักษาได้อยู่แล้ว แต่มีคนไข้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อฝีมือของเขามากขึ้นเท่านั้น
หลังจากตกลงกันได้แล้ว ถึงแม้ทางฝั่งของผู้ป่วยจะยังไม่คิดจะรักษาในตอนนี้แต่พวกเขาก็ได้แอดมิดชายวัยกลางคนผู้นี้ไว้ในห้องพักผู้ป่วยพิเศษของโรงพยาบาลกังเฟิงแห่งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ลูฉินหมิงที่อยู่ในเหตุการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะถามซูจิ้งออกมาว่า “อาจิ้ง คุณแน่ใจเหรอว่าจะลองรักษาโรคที่ไม่มีทางรักษานี้ดู คุณรู้รึเปล่าว่าโรคนี้เป็นปัญหาในระดับโลกเลยนะ”
“ผมรู้สิ ผมเลยอยากจะขอให้ลุงลูช่วยแนะนำผมหน่อย” ซูจิ้งพูดจบก็ได้นำตำราเล่มหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก มันนั้นมีสภาพค่อนข้างใหม่ ที่หน้าปกมีตัวอักษรที่เขียนไว้ว่า “ตำราแพทย์ทั่วไป” เขียนอยู่บนปก
ลูฉินหมิงที่เห็นก็ทำได้เพียงนิ่งอึ้งไปพลางคิดในใจว่านี่มันตำราโบราณสมัยราชวงศ์ฮั่นฉบับคัดลอกรึเปล่า