Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1019
GGS:บทที่ 1019 3 เรื่อง
หลังจากซูจิ้งได้ส่งมอบภาพวาดเครื่องยนต์ให้สถาบันวิจัยกาลเวลาฯไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ซูจิ้งก็ดูเหมือนจะยังกลัวว่าระดับการวิจัยเครื่องยนต์จะยังไม่เร็วพอ
ซูจิ้งจึงได้โทรหาเฉิงหนานและให้เธอนำข้อมูลของนักวิจัยมาให้เขาโดยหวังว่าจะเจอนักวิจัยดีๆเพื่อจะได้มาช่วยพวกเขาผลิตเงิน เขานั้นคาดหวังไว้ว่าหลังจากที่เครื่องยนต์นี้วิจัยเสร็จสิ้นเขาจะมีเงินเพิ่มขึ้นอย่างน้อยก็สักวินาทีละล้านหยวน
หลังจากนั้น ซูจิ้งได้เข้าไปยังห้องวิจัยที่เหล่านักวิจัยกำลังศึกษาชิ้นส่วนเครื่องจักรชนิดหนึ่งอยู่ ชิ้นส่วนนี้เป็นทรงกระบอกแข็งๆ
ส่วนท้ายของมันในตอนนี้เชื่อมต่อเข้ากับสายไฟ ส่วนหัวนั้นมีขนาดเล็กกว่าส่วนอื่น ขนาดของมันไม่ต่างจากปากกระบอกปืนธรรมดา
เมื่อซูจิ้งมาถึง นักวิจัยกำลังเปิดสวิสเพื่อถ่ายเทพลังงานเข้าไปในกระบอกดังกล่าว ตอนนั้นเองก็ได้มีแสงยิงจากกระบอกดังกล่าวไปยังแผ่นเหล็กที่ซ้อนกันไว้ที่วางห่างออกไปจากปากกระบอกประมาณสิบเซนติเมตร
เพียงไม่กี่อึดใจ แผ่นเหล็กที่ซ้อนกันไว้กลายเป็นรูสามแผ่นในช่วยพริบตา และหยุดลงที่แผ่นเหล็กแผ่นที่สี่
“เลเซอร์นี่ช่างแรงเสียจริง”
“นั่นสิ พลังเจาะทะลวงนี่น่าสะพรึงมาก”
เหล่านักวิจัยในห้องต่างตกตะลึงกันไปหมด ซูจิ้งที่เห็นดังนั้นเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เลเซอร์เครื่องนี้เขาพบมาในระหว่างที่คุ้ยหาเครื่องยนต์ของหุ่นเกราะเบาในตอนนั้น
ความจริงเขานั้นต้องการจะหาหุ่นเกราะเบาให้ครบทุกชิ้นส่วน ถึงแม้ว่าจะไม่หวังอะไรมากมายนักแต่สิ่งที่ได้มาตอนนี้ก็ยังถือว่าดีมากแล้วอยู่ดี
ตอนที่เขาพบเจอชิ้นส่วนต่างๆ เขาก็เลยเลือกที่จะทยอยส่งมายังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขา แน่นอนว่าเขาได้ทยอยหานักวิจัยที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางกับชิ้นส่วนที่เขานำมาอย่างต่อเนื่อง
ตัวยิงเลเซอร์ตัวนี้เองก็เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนที่เขาเจอ ชิ้นส่วนนี้เองก็สมควรจะเป็นหนึ่งในอาวุธของหุ่นยนต์เกราะเบา
โดยปกติแล้วหุ่นยนต์เกราะเบานั้นถึงแม้จะตัวเล็กกว่ารุ่นไหนๆแต่ก็ยังมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ที่ติดตั้งได้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นปืนเลเซอร์ กริชเลเซอร์ กริชแม่เหล็กไฟฟ้า ปืนสไนเปอร์ ปืนคลื่นเสียง มิสไซล์ระยะไกล ระอาวุธแบบอื่นอีก และปืนเลเซอร์นี้เองก็เป็นอาวุธที่สุดแสนจะธรรมดาเท่านั้นเอง
ถึงจะเป็นแบบนั้น ตัวยิงเลเซอร์ก็หาใช่สิ่งของธรรมดาบนโลกมนุษย์ แน่นอนว่าสิ่งนี้แม้แต่นักวิจัยชั้นนำของโลกเมื่อเห็นเครื่องยิงเลเซอร์เครื่องนี้ก็ยังต้องตกตะลึงและไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้เห็นอย่างแน่นอน
โลกใบนี้เองก็มีเลเซอร์นี้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าเทคโนโลยีทางด้านเลเซอร์ค่อนข้างจะธรรมดา หากว่าต้องนำมาเทียบกับตัวยิงเลเซอร์ตัวนี้คงเปรียบได้ไม่ต่างจากปืนฉีดน้ำอย่างแน่นอน
ซูจิ้งเองในตอนนี้ได้รู้สึกว่าเทคโนโลยีของเลเซอร์ตัวนี้ไม่สมควรจะทำให้มันจบแค่การเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังซะก่อนหน้าที่จะทำอะไรจำเป็นต้องเข้าใจหลักการของมันเสียก่อน
“หัวหน้าซู” เหล่านักวิจัยทั้งหลายที่เห็นซูจิ้งต่างก็โค้งคำนับให้เล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าการวิจัยจะเป็นไปได้ด้วยดีนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ครับมันเป็นไปได้ด้วยดีเลย เครื่องยิงเลเซอร์ตัวนี้ทางหลักการแล้วมันไม่ได้ต่างจากเลเซอร์ทั่วไปที่พวกเราเห็นกันครับ
เพียงแต่ว่าตอนนี้เรายังไม่เข้าใจทฤษฏีที่เครื่องยิงเลเซอร์ตัวนี้ใช้สักเท่าไหร่นักเพราะว่ามันล้ำกว่าเทคโนโลยีเลเซอร์ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน”
“โอเค งั้นฉันจะให้พวกนายเริ่มการทดลองขั้นถัดไปได้ แต่ว่าไม่ต้องเร่งรีบล่ะ ยังไงซะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยก่อนเป็นอย่างแรก”
“เยี่ยม พวกผมจะทำให้ดีที่สุดครับ”
หลังจากนั้นซูจิ้งได้ออกจากห้องวิจัยเลเซอร์และตรงไปยังห้องวิจัยที่อยู่ข้างๆ นักวิจัยในห้องนั้นกำลังหมกมุ่นอยู่กับการวิจัยอย่างเคร่งเครียด
หากแต่มองเพียงแวบแรกนั้นพวกเขามีการแต่งตัวและท่าทางไม่ต่างอะไรจากนักศึกษาเลยแม้แต่น้อย
เรียกได้ว่าบรรยากาศภายในห้องต่างจากห้องวิจัยเลเซอร์อย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามสำหรับซูจิ้งแล้วการที่พวกเขานั้นมีท่าทางแบบนี้ นักวิจัยเหล่านี้เหมาะสมกับคำว่านักวิจัยเสียยิ่งกว่านักวิจัยในห้องเลเซอร์ซะอีก
“การวิจัยถึงไหนแล้วล่ะ” ซูจิ้งได้ถามออกมา
“ยังไม่สมบูรณ์ครับ” นักวิจัยคนหนึ่งได้ตอบออกมาด้วยท่าทีที่ซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่
ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งได้เดินเข้ามาแล้วพูดออกมาว่า “หัวหน้าครับ ในเมื่อสิ่งที่หัวหน้านำมานั้นเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แล้วงั้นก็หมายความว่าต้องมีใครสักคนในโลกนี้ได้ศึกษาระบบโลกเสมือนได้แล้วสินะครับ
เขาเป็นใครที่ไหนกันแน่ แล้วหากเราวิจัยได้แล้วนำมาเป็นของตัวเองแบบนี้ หากเขามาเรียกร้องที่หลังจะไม่หมากันหมดเหรอครับ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องสนใจหรอกน่า แค่วิจัยเจ้าสิ่งนี้ให้สำเร็จเร็วที่สุดก็พอแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมา
“พวกเราจะพยายามให้เร็วที่สุดครับ” นักวิจัยจำนวนหนึ่งได้รีบตอบรับซูจิ้งในทันที
สิ่งที่นักวิจัยแล้วนี้กำลังศึกษาอยู่นั้นก็คือระบบโลกเสมือน ระบบนี้เองก็เป็นระบบพื้นฐานของห้วงเวลาฯสุดยอดทหารเจ้านักรบเช่นเดียวกัน แต่เมื่อมันมาอยู่ในโลกนี้ก็ได้เป็นหนึ่งในวิทยาการล้ำยุคที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้
โลกใบนี้เองก็มีแนวคิดนี้อยู่เช่นเดียวกัน แถมหลักการทำงานยังคล้ายกันคือการสวมใส่หมวกแล้วนำเพียงสติเข้าไปในโลกเสมือนนี้ บรรยากาศในโลกเสมือนเองสมควรจะไม่แตกต่างไปจากโลกจริงเลยแม้แต่น้อย
ซูจิ้งนั้นความจริงแล้วเขานั้นยังไม่มีความคิดที่อยากจะปล่อยวิทยาการล้ำยุคเหล่านี้ให้โลกได้รับรู้แต่อย่างใด แต่ยังไงซะหากว่าเขาเตรียมตัวเอาไว้ก่อนสำเร็จได้ก็เป็นการดีกว่าอยู่แล้ว
เพราะเมื่อถึงเวลาต้องใช้ล่ะก็ แน่นอนว่าเทคโนโลยีโลกเสมือนนี้สามารถทำอะไรได้มากมายนัก
หลังจากพูดคุยกับนักวิจัยในส่วนโลกเสมือนเสร็จสิ้น ซูจิ้งก็ได้เดินไปยังห้องถัดไป ที่นั่นเองก็มีนักวิจัยจำนวนหนึ่งที่มีท่าทียอมแพ้ในบางสิ่ง
พวกเขานั้นได้ล้อมรอบวัตถุอย่างหนุ่งที่มีรูปร่างคล้ายจาน เส้นผ่าศูนย์กลางของมันนั้นอยู่ที่ประมาณ 10 เซนติเมตร
อย่างไรก็ตาม พวกเขานั้นยังไม่แน่ใจว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ รู้เพียงแต่ว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่คล้ายกับเครื่องฉายภาพเท่านั้น
“หืม? ยังทำให้มันทำงานไม่ได้อีกรึ” ซูจิ้งถามออกมา
“ยังเลยครับ ไม่แน่ใจว่ามันพังไปแล้วรึเปล่า” นักวิจัยจำนวนที่ได้ยินซูจิ้งถามก็ได้แต่ส่ายหัวไปมา
“อืมมมม น่าจะยังไม่ถึงขั้นนั้นนะอย่าพึ่งด่วนสรุปไปว่ามันพังจะดีกว่า แต่ต่อให้เป็นแบบนั้นแล้วพวกนายก็คงจะซ่อมมันได้ล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“…เอ่อ พวกเราจะพยายามให้ดีที่สุดครับ” นักวิจัยหลายๆคนก็ทำได้เพียงพูดออกมาอย่างอิดออด พวกเขาเองก็ได้ศึกษาส่วนประกอบต่างๆจนพอจะรู้แล้วว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นเครื่องฉายภาพ แต่พวกเขานั้นยังหาวิธีเปิดมันไม่ได้เท่านั้น
หากว่ามันเสียจริงๆล่ะก็พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่ามันเสียตรงไหนกันแน่ เมื่อไม่รู้ว่าเสียตรงไหนแล้วจะซ่อมมันได้ยังไงกัน
ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาพอจะทำได้นั้นก็เป็นเพียงแค่การศึกษาส่วนประกอบที่ละชิ้นและเช็คดูว่ามีส่วนไหนที่ไหม้หรือว่ามีส่วนไหนที่น่าจะขาดไปรึเปล่า
สิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้นไม่ต่างไปจากสัตวแพทย์ที่พยายามจะชุบชีวิตม้าตายซาก หากไม่นับรวมปฏิสสาร ระบบประสาทเทียม ระบบปัญญาประดิษฐ์ และเครื่องยนต์หุ่นเกราะเบาแล้ว
สถาบันวิจัยแห่งนี้ถือได้ว่ายังมีเทคโนโลยีล้ำยุคที่กำลังศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาอยู่อีกสามอย่าง การที่สถาบันวิจัยหนึ่งจะมีการวิจัยเทคโนโลยีที่สุดแสนจะล้ำยุคแบบนี้เพียงแค่หนึ่งก็ถือว่าสุดยอดเกินไปแล้ว แต่การมีถึงสามอย่างนี่เป็นอะไรที่หาได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก
จึงไม่แปลกที่เมื่อเฉิงหนานและหวังจ้าวได้ยินว่าซูจิ้งนั้นทุ่มเม็ดเงินลงไปในงานวิจัยของเขานั้นจึงอยู่กันอย่างไม่สุข เอาจริงๆพวกเขานั้นไม่รู้ว่าทำไมซูจิ้งต้องทุ่มเทเงินลงมามากมายขนาดนี้
หากให้พูดอีกอย่างแล้วการทำของซูจิ้งในสายตาของทั้งสองก็คงไม่ต่างไปจากการทำอะไรหลายๆอย่างในเวลาเดียวกันแล้วผลที่ได้ออกมานั้นก็มีแต่ความว่างเปล่าและไม่ได้อะไรเลย
แต่กับซูจิ้งแล้วแน่นอนว่าย่อมไม่เป็นไปตามคำกล่าวนี้อย่างแน่นอน
หลังจากเข้าไปตรวจงานในห้องต่างๆเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งก็เตรียมตัวที่จะออกจากสถาบันวิจัยกาลเวลาฯ
แต่เพียงแค่เขาก้าวออกมาจากห้องวิจัยเท่านั้นเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ได้ดังขึ้น
เมื่อเห็นว่าเป็นอันจือฮ่าวโทรมาเขาเองก็นิ่งๆไปพักหนึ่ง เขาและอันจือฮ่าวนั้นได้รู้จักตอนที่เขาพาพ่อที่มีอาการALSมารักษาจนหาย
หลังจากนั้นเขาก็ได้ตัดสินใจซื้อหุ้นของกลุ่มทุนห้วงเวลาในทันทีจึงถือได้ว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็ว่าได้ แต่เขาแค่สงสัยเฉยๆว่าอันจือฮ่าวนั้นมีอะไรกันแน่
ถึงจะสงสัยอยู่แต่ซูจิ้งก็รับสายอย่างไม่รังเกียจแต่อย่างใด
“สวัสดีครับคุณซู ตอนนี้คุณยุ่งอยู่รึเปล่า” อันจือฮ่าวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคารพ
“โอ้ คุณอัน ผมพึ่งจะตรวจงานเสร็จเนี่ยแหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“วันมะรืนนี้คุณพอจะว่างรึเปล่าครับ คืออออ…ผมอยากจะขอเชิญคุณไปงานเลี้ยงสักหน่อยน่ะ” อันจือฮ่าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หืม? งานเลี้ยงอะไรล่ะนั่น” ซูจิ้งถามออกมาด้วยความสงสัย
“มันเป็นงานเลี้ยงของชนชั้นสูงน่ะครับ คุณซูน่าจะพอได้ยินชื่อฟูฮงซิ่วอยู่บ้าง เขานั้นเป็นในคุณชายสี่เหมือนกัน เขาเองก็จะไปด้วยเช่นเดียวกัน หากคุณไม่เคยได้ยินชื่อก็น่าจะพอรู้รถยนต์ยี่ห้อฮงเหอบ้างนะครับ” อันจือฮ่าวพูดออกมา
“…ใช่ฮงเหอออโต้โมบิลที่เป็นหนึ่งในสุดยอดบริษัทของจีนนั่นรึเปล่า หากว่าใช่ก็คงจะบอกว่าไม่เคยได้ยินไม่ได้ล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาพลางคิดถึงเรื่องฉายาคุณชายสี่ที่เป็นฉายาเด็กน้อยที่ชาวเน็ตที่ไม่มีอะไรทำบางคนได้ตั้งขึ้นมา
แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ยังไงซะแต่ละคนที่ได้ฉายานี้มานั้นไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาเล่นๆเฉยๆเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าพวกเขานั้นล้วนแล้วแต่มีเบื้องหลังที่น่าสะพรึงกลัวทั้งสิ้น
แม้แต่ฟูฮงซิ่วคนนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาเองนั้นไม่ได้ดีไปกว่าฮัวหยุนชูเลย ไม่สิต้องบอกว่าเขานั้นเทียบฮัวหยุนชูไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ถ้าให้บอกตรงๆคือเขานั้นเป็นพวกคุณหนูเจ้าสำราญเพียงต่อว่าเขานั้นมีพ่อที่อยู่ในระดับเดียวกับพ่อของฮัวหยุนชู จึงอาศัยอำนาจของพ่อก่อเรื่องไปทั่วจนทำให้แม้แต่พ่อของเขาก็ยังอนาจใจ
“ผมพอจะรู้มาว่าคุณซูกำลังหานักวิจัยที่มีอัจฉริยะภาพทางด้านเครื่องยนต์อยู่ แล้วบริษัทของฮงเหอเองก็มีเครื่องยนต์ชั้นเลิศที่ผลิตด้วยตัวเอง ผมว่าเป็นโอกาสอันดีที่คุณซูได้ผมนักวิจัยของบริษัทนั้นได้
“เดี๋ยวนะ คุณรู้ได้ยังไงว่าผมกำลังมองหานักวิจัยที่เก่งเรื่องเครื่องยนต์เนี่ย”ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผมแค่บังเอิญเห็นข้อมูลนักวิจัยที่คุณต้องการจ้างเท่านั้นเองน่ะ” อันจือฮ่าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็ไม่คิดว่าเรื่องแค่นี้จะเรียกความสนใจจากซูจิ้งได้
“ก็ดี เอาเป็นว่าผมจะไปก็แล้วกัน ส่งที่จัดงานมาให้ผมด้วยล่ะ” หลังจากคิดไปสักพัก ซูจิ้งก็ได้ตัดสินใจที่จะไปนั่นก็เพราะว่ามีโอกาสอย่างมากที่ในงานนี้จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์ของกลุ่มทุนฮงเหอเข้าร่วมไม่น้อยอย่างแน่นอน
เขาหวังเพียงอย่างเดียวว่าคนพวกนั้นจะเก่งจริงเท่านั้นเอง