Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1020
GGS:บทที่ 1020 ฝึก
ซูจิ้งได้กลับไปยังบ้านของตัวเองและตรงไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาเพื่อจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อ
ขยะห้วงเวลาฯกองนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้เขามากมายเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นหนูกลายพันธุ์ ซาลามันเดอร์แดง กิ้งก่างูเหล็ก หญ้าหวาน เครื่องยนต์หุ่นเกราะเบา ปืนเลเซอร์ ระบบโลกเสมือน และของอย่างอื่นอีก
แต่พอนึกถึงว่าช่วงสองสามวันมานี้เขานั้นยังไม่เจอของดีๆอะไรเลยนั้นทำให้เขารู้สึกเซ็งๆอยู่บ้าง แต่ยังไงซะเขาเองก็ยังคาดหวังว่าจะเจอของดีๆจากขยะห้วงเวลาฯสุดยอดทหารจ้าวนักรบกองนี้อยู่ดี
แน่นอนว่าสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดนั่นก็คือหุ่นยนต์เกราะเบาแบบครบทั้งตัว ถึงแม้ว่าโอกาสที่จะเจอนั้นช่างต่ำเติ้ยเรี่ยดินขนาดไหนก็ตาม แต่เขาเองก็ยังไม่ละทิ้งความหวังเพราะว่าขยะฯกองโลหะนั้นยังเหลืออีกตั้งครึ่งกอง
ต่อให้ไม่มีแต่ก็คงจะเจออะไรดีๆอยู่บ้างแหล่ะนะ
แต่ถึงจะรู้สึกแบบนั้นแต่สิ่งแรกที่เขาทำนั้นกลับเป็นกลายไปดูเสี่ยวไป๋ที่กำลังซ่อมขยะฯกองกระดาษอยู่ ตอนนี้เสี่ยวไป๋ได้ซ่อมแซมขยะกองกระดาษไปเกินครึ่งแล้ว
ซูจิ้งได้หยิบกระดาษที่เสี่ยวไป๋ซ่อมเสร็จแล้วมาดูอย่างรวดเร็ว
ตัวอักษรที่เขาพบนั้นมีความชัดเจนและสมบูรณ์ดีทำให้ซูจิ้งนั้นเพลิดเพลินกับการอ่านไม่น้อยเลย ด้วยทักษะการอ่านของเขาในตอนนี้ทำให้เขานั้นสามารถอ่านข้อความในกระดาษแต่ละแผ่นได้อย่างรวดเร็ว
ความเร็วของเขานั้นหากจะเทียบกับคนธรรมดาแล้วก็คงจะเป็นเขาอ่านหนังสือจบได้หนึ่งเล่มได้ทั้งๆที่คนอื่นถึ่งจะอ่านได้จบหน้าก็เท่านั้นเอง
ซูจิ้งได้ดูกระดาษนับร้อยแผ่นอย่างรวดเร็ว แต่เพียงไม่นานนักเขาก็ต้องชะงักในทันที นั่นก็เพราะมีคำบางคำในกระดาษที่สะดุดตาเขาอย่างมาก
ถ้าเขาจำไม่ผิดนั้น คำเหล่านี้ถูกกล่าวถึงหลายครั้งหลายหนมากในห้วงเวลาฯสุดยอดทหารกล้าจ้าวนักรบ
ตัวเอกของเรื่องที่ชื่อเย่ซ่งนั้น มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขานั้นต้องเข้ารับการฝึกฝนในฐานะนักล่า
ถึงจะบอกว่าเป็นนักล่าก็จริงแต่สิ่งที่นักล่าต้องทำนั้นคือการควบคุมปัจจัยต่างๆที่มีผลต่อสิ่งที่จะล่า ความสามารถของเพวกเขานั้นเปรียบได้ดั่งนักเพาะพันธุ์สัตว์ที่ต้องมีความรู้ทางชีววิทยา สัตววิทยา เภสัชศาสตร์ และความรู้อื่นๆด้านชีววิทยา
หากจะให้ยกตัวอย่างล่ะก็นักล่าเหล่านี้ก็คงเปรียบได้ดั่งพ่อครัวเฉพาะทางก็ว่าได้ พวกเขาแต่ละคนนั้นจะมีความสามารถเฉพาะทางในการจัดการวัตถุดิบที่แตกต่างกันไป
คนเหล่านี้จะรู้ดีว่าวัตถุดิบแต่ละอย่างมีความพิเศษด้านไหน ต่อให้เขานั้นมีวัตถุดิบชนิดเดียวแต่ก็มีวิธีเตรียมวัตถุดิบก่อนการล่าที่ทำให้สัตว์ที่ล่ามีรสชาติที่หลากหลายและไม่เป็นอันตรายเมื่อกินเข้า
หากจะยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดก็คงจะเป็นการใช้พืชท้องถิ่นบางชนิดให้แก่สัตว์ที่จะล่าก่อนการล่าเพื่อให้วัตถุดิบที่ได้นั้นมีคุณภาพดี
ดีขนาดที่ว่าต่อให้เป็นวัตถุดิบราคาถูกแต่สามารถขายได้ราคาแพงได้ยิ่งกว่าเนื้อสังเคราะห์ที่ราคาแพงมากอย่างง่ายดาย นี่ยังไม่พูดถึงการเตรียมวัตถุดิบที่มีสรรพคุณทางยาและเครื่องเคียงที่นักล่าเหล่านี้ต้องรู้จักเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ซูจิ้งถืออยู่ในตอนนี้นั้นน่าจะเป็นเพียงคู่มือของนักล่าเท่านั้น แน่นอนว่าคู่มือนี้ไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากมายนัก ดีไม่ดีนี่น่าจะเป็นคู่มือสำหรับนักล่าระดับฝึกหัดด้วยซ้ำ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ซูจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะเปิดดูคู่มือนี้อย่างรวดเร็ว
หลังจากดูไปได้พักหนึ่ง ซูจิ้งก็พอจะสรุปได้ว่ากระดาษชุดนี้น่าจะมีประมาณร้อยแผ่น เนื้อหาของมันนั้นเป็นการแนะนำสิ่งต่างๆเกี่ยวกับการเป็นนักล่า เท่าที่ดูถึงแม้ว่าจะมีกระดาษบางแผ่นที่ยังขาดหายไปบ้างแต่โดยรวมแล้วรายละเอียดของเนื้อหานั้นถือว่าดีเลยทีเดียว
“นี่แสดงให้เห็นความต่างระหว่างสุดยอดนักล่าและนักล่าระดับล่างจริงๆ สุดยอดนักล่านั้นล้วนแล้วแต่มีเคล็ดลับในการล่าที่ไม่ประสงค์จะเผยแพร่ออกไปง่ายๆ
กระดาษเหล่านี้สมควรจะเป็นคู่มือแนะนำนักล่าระดับต้นเท่านั้น แน่นอนว่าคู่มือนี้ถูกเผยแพร่ออกในวงกว้างเรียกได้ว่าหาได้ง่ายๆเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามคู่มือนี้ก็ยังถือได้ว่าเป็นตำราล้ำค่าบนโลกมนุษย์อย่างแน่นอน”
ซูจิ้งบ่นกับตัวเองพลางเรียบเรียงเนื้อหาต่างๆของคู่มือนี้ภายในจิตใต้สำนึกของตัวเองอย่างรวดเร็ว จากคู่มือทั้งร้อยแผ่นนี้เขานั้นเลือกออกมาได้ยี่สิบถึงสามสิบแผ่น โดยกระดาษที่เขาเลือกมานั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดเตรียมเครื่องปรุง
หลังจากนั้น ซูจิ้งได้เข้าไปยังพื้นที่ระบบนิเวศเสมือนและตรงไปยังพื้นที่ที่เขาใช้เพาะเลี้ยงสิ่งมีชีวิตที่ได้จากห้วงเวลาฯยอดทหารจ้าวนักรบ
ลำดับแรก เขาได้ตรงไปยังพืชชนิดหนึ่งที่เขาได้เจอเป็นต้นแรกๆ พวกมันนั้นมีสีแดงกระจ่าง ดูแวววับ ใบเรียวยาวและมีเส้นใบเลี้ยงที่หนาแต่มีท่อน้ำเลี้ยงที่แดงเข้มจนม่วง
บนยอดของพวกมันนั้นมีผลที่มีรูปร่างคล้ายกับเชิงเทียนที่มีสีเหลืองไม่ก็สีแดงทั้งลูก เจ้าผลเหล่านี้นั้นดูหนักอย่างมากจนราวกับว่าลำต้นอันผอมแห้งนี้แทบจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว
ซูจิ้งได้เคยลองชิมผลเทียนนี้มาก่อนแล้วหนหนึ่ง ตอนนั้นเขากินผลที่แตกอยู่แล้ว ตอนนั้นภายในผลเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงเพลิง แต่กลิ่นของมันนั้นถึงแม้จะไม่หอมมากแต่ก็ทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกผ่อนคลายและจิตใจสงบได้
ก่อนหน้านี้ซูจิ้งเคยคิดว่าจะนำเจ้าผลไม้เชิงเทียนนี้ไปทำน้ำหอมแต่ตอนนี้เขาพบวิธีการที่เหมาะสมกับผลไม้นี่ที่สุดแล้ว
เจ้าต้นนี้เรียกว่าเฟยเย่เจียว(หอมชื่นใจ) เป็นพืชที่ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องปรุงที่ใช้กันทั่วไปในห้วงเวลาฯยอดทหารฯ ผลของมันคือช่วยให้อาหารที่ปรุงมีความหอมที่ลึกล้ำมากขึ้น
ถัดจากนั้นซูจิ้งได้เดินไปยังพืชที่มีใบสีน้ำเงินที่พริ้วไหวราวกับเป็นก้อนเมฆ ก่อนหน้านี้ซูจิ้งยังไม่พบอะไรเกี่ยวกับต้นไม้ต้นนี้เลยแม้แต่น้อย
แต่หลังจากที่เขาได้อ่านคู่มือนักล่าทำให้เขาก็ได้รู้ว่าพืชชนิดนี้มีชื่อว่าเมฆสีน้ำเงิน ความพิเศษของมันนั้นคือกลิ่น ต่อให้กลิ่นของมันนั้นไม่ได้แรงมากแต่ก็มีฤทธิ์ในการทำให้เคลิบเคลิ้มและหลงใหล
ปกติแล้วเจ้าต้นนี้ถูกนำไปใช้ในการทำเป็นน้ำหอมที่มีชื่อว่าน้ำเงินอ่อนซึ่งเป็นน้ำหอมที่เหมาะกับผู้หญิงที่ชอบกลิ่นน้ำหอมกลิ่นอ่อนๆ
นอกจากพืชสองต้นนี้ซูจิ้งยังพบพืชที่มีประโยชน์กับเขาอีกหลายต้น วิธีการใช้ประโยชน์พืชเหล่านี้ล้วนแล้วมาจากคู่มือนักล่าระดับเบื้องต้นทั้งสิ้น
พืชเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นพืชที่พบได้ทั่วไปของห้วงเวลาฯยอดทหารฯ จึงไม่แปลกที่จะพบพืชเหล่านี้เติบโตอยู่ในกองขยะในห้วงเวลาฯที่พวกมันจากมา
ด้วยการที่พืชเหล่านี้เป็นพืชทั่วไปทำให้มีรายละเอียดถูกบันทึกเอาไว้ในคู่มือนี้ค่อนข้างมาก หากว่าพืชเหล่านี้เป็นพืชเฉพาะถิ่นล่ะก็ รับรองเลยว่าไม่มีทางเลยที่ซูจิ้งจะได้ข้อมูลมาจากคู่มือนี้อย่างแน่นอน
“เจ้าคู่มือนักล่านี่น่าสนใจไม่เลวเลยจริงๆ ดูๆไปแล้วก็มีค่าพอที่จะศึกษามันอยู่ล่ะนะ ถึงแม้ว่าในคู่มือจะมีวิธีการผสมเครื่องเทศระดับพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังไงก็คงต้องขอลองหน่อยล่ะ” ตอนนี้ซูจิ้งค่อนข้างจะสนใจเนื้อหาในส่วนการผสมเครื่องปรุงด้วยวิธีต่างๆที่ได้บันทึกไว้อย่างมาก
กาผสมเครื่องปรุงเหล่นี้ไม่ได้ยากแต่อย่างใด วิธีการต่างๆล้วนแล้วแต่เขียนเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ถึงจะว่ามาแบบนั้นหากเป็นคนทั่วไปมาเห็นล่ะก็บอกได้เลยไม่ได้ง่ายเลยแม้แต่น้อย
นั่นก็เพราะสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนร่างกายมานั้นเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะใช้วิธีการที่บันทึกเอาไว้ แต่กับซูจิ้งนั้นกลับต่างออกไป
สำหรับเขานั้นวิธีการเหล่านี้ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ภายใต้การควบคุมโดยพลังจิตของเขานั้นทุกวิธีการทุกรายละเอียด เขาสามารถทำได้โดยไม่พลาดแม้แต่น้อย
ไม่นานนัก น้ำหอมจำนวนหนึ่งก็ถูกสร้างขึ้นมาโดยซูจิ้ง แต่ละกลิ่นนั้นมีความโดดเด่นและหอมเย้ายวนจนแม้แต่ซูจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะต้องสูดดมมันเข้าไปจนชุ่มปอด
เอาจริงๆซูจิ้งนั้นเป็นคนที่ไม่ได้ชอบน้ำหอมเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นน้ำหอมระดับสูงมากขนาดไหนก็ตามเขาก็เกลียดแทบจะเข้าไส้
สำหรับตัวเขานั้นถือว่าผู้หญิงนั้นมีกลิ่นหอมอันเป็นธรรมชาติที่หอมพออยู่แล้วไม่เห็นจะต้องไปหาอะไรมาเพิ่มเติมแต่อย่างใด แต่กลับน้ำหอมพวกนี้นั้นต่างกันออกไป ซูจิ้งนั้นหลงใหลพวกมันเลยก็ว่าได้
พวกมันเป็นกลิ่นหอมที่ได้มาจากวัตถุดิบธรรมชาติราวกับเป็นกลิ่นของดอกไม้ คงมีเพียงแค่น้อยคนนักที่จะไม่หลงใหลพวกมัน
นอกจากนั้นคนที่ได้กลิ่นเหล่านี้ก็จะทำให้พวกเขานั้นรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการที่พวกมันนั้นเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติจึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแล้ว พวกมันยังส่งเสริมให้จิตวิญญาณของผู้ใช้นั้นสดชื่นอยู่ตลอดเวลา
“น้ำหอมพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นน้ำหอมผู้หญิง ขนาดฉันยังชอบเลย พวกผู้หญิงเองก็คงจะชอบเสียยิ่งกว่า ฉันอยากหาคนมาลองจริงๆจะได้รู้ว่าจะถูกใจรึเปล่า” ซูจิ้งคิดอยู่ในในสักพักก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา
เขานั้น
เมื่อเขาลองหยิบออกมาดูก็พบว่าคนที่โทรมานั้นคือเชิงชิเหยา นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้ซูจิ้งต้องนิ่งเงียบไป
นี่เธอจะโทรหาฉันทำไมกันเนี่ย ซูจิ้งได้คิดขึ้นมา
เขากับเชิงชิเหยานั้นเคยเจอกันหลายครั้งแล้ว เธอเป็นนางแบบเรียวขาของบริษัทซือหยาเวชสำอาง ซูจิ้งเคยรักษารอยแผลเป็นบนขาให้เธอจนหาย
หลังจากนั้นเขาก็ได้พบเจอเธอตอนที่เธอหลงเข้าไปในเกาะร้างของเขาจนในที่สุดพ่อของเธอก็กลายเป็นหนึ่งในอาจาย์ที่สอนซูจิ้งวาดภาพเขียนพู่กันจีน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยได้พบเจอหรือติดต่อกันอีกเลย
ถึงจะยังนึกสงสัยแต่ซูจิ้งก็ยังรับสายอยู่ดี เขารับโทรศัพท์และพูดออกไปว่า “ว่าไงครับคุณเชิงสุดสวย ลมอะไรถึงทำให้คุณโทรหาผมได้กัน นี่ถือว่าเป็นเกียรติจริงๆ”
“ไม่ต้องมาปากหวานเลย ต่อให้สวยแค่ไหนก็เข้าบ้านคุณไม่ได้ง่ายๆอยู่ดี นี่ฉันไม่ได้สวยพอใช่รึเปล่าเลยทำให้เจ้านกแก้วสองตัวนี่ไม่ยอมไปบอกคุณเนี่ย” เชิงชิเหยาพูดออกมาอย่างเหลืออดและจิตตกในเวลาเดียวกัน
“อ้อโทษทีโทษที พอดีว่าผมยุ่งๆน่ะเลยสั่งมันไว้ไม่ให้ใครกวน รอแป๊บนะ” ซูจิ้งยิ้มออกมาก่อนจะวางสายและไปยังประตูหน้าบ้านในทันที
เขาได้พบเชิงชิเหยาที่สวมใส่ชุดสีน้ำเงินเข้ารูปพร้อมกระโปรงสั้น เธอนั้นยังสาวและสวยอยู่ ผิวของเธอขาวเนียนและเช่นเดิม เรียวขาของเธอยังยาวระหงษ์จนน่ามอง
ซูจิ้งได้พูดเชิงขอโทษออกไปว่า “โทษทีที่ให้รอนะ เข้ามาก่อนสิ”
“ต้องขอโทษจริงๆท่านเทพซูที่มากวน คุณนี่ยุ่งอยู่ตลอดเวลาเลยนะ” เชิงชิเหยาหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตามซูจิ้งเข้าไปในบ้านอย่างงามสง่า
ด้วยเรียวขาที่สูงยาวของเธอนั้นอยู่บนรองเท้าส้นสูงก็ยิ่งทำให้เธอดูมีราศีมากขึ้นไปอีก
“ว่าแต่คุณเชิงมาหาผมถึงที่นี่มีอะไรเหรอ” ซูจิ้งถามออกมา
“ในเมื่อคุณกำลังยุ่งอยู่ฉันเลยจะไม่อ้อมค้อมก็แล้วกัน คือฉันได้ยินมาว่าคุณนั้นได้เช่าเกาะร้างเอาไว้ฉันเลยอยากจะขอคุณไปเล่นที่เกาะนั่นหน่อยจะได้รึเปล่า” เชิงชิเหยาพูดออกมาในขณะที่กำลังจ้องมองซูจิ้งราวกับว่าอยากจะมองให้เห็นถึงความคิดของซูจิ้งเลยทีเดียว
ตอนนี้ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาก็ตาม แต่ในใจของเขาตอนนี้นั้นราวกับสัมผัสได้ถึงเค้ารางบางอย่าง
เขานิ่งอยู่พักหนึ่งพลางคิดในใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเชิงชิเหยาถึงอยากจะไปที่นั่นกันล่ะ หรือว่าเธอจะจำเรื่องอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นบนเกาะนั้นได้กัน