Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1025
GGS:บทที่ 1025 เก็บเกี่ยว
สุดยอดน้ำหอมนี้สำหรับซูจิ้งถือได้ว่าเป็นผลกำไรที่ได้รับจากขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศสุดยอดทหารจ้าวนักรบอย่างแท้จริง
แน่นอนว่าการใช้ประโยชน์จากขยะห้วงเวลาฯกองนี้ไม่ใช่เพียงแค่นี้นั่นก็เพราะที่เขาทำไปนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของคู่มือนักล่าระดับเบื้องต้นเท่านั้น
“แก่นแท้ของคู่มือนักล่าเล่มนี้หลักๆแล้วคือการควบคุมสภาพแวดล้อมของสิ่งมีชีวิต มันการควบคุมทั้งสัตว์ พืช จุลินทรีย์ เอนไซม์ และสิ่งชี้วิตอื่นๆ ช่างเป็นคู่มือที่คุ้มค่าจริงๆที่ได้เรียนรู้มัน”
ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและมีความสุขในขณะที่ยังอ่านไปยังเนื้อหาส่วนต่างๆ ก่อนที่เขานั้นจะโยนคู่มือนี้เข้าไปเก็บไว้ในกระเป๋ามิติของตัวเอง
หลังจากเก็บคู่มือนักล่าฯ ซูจิ้งก็ได้เดินออกจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า จนในที่สุดตัวเขาในตอนนี้ก็พร้อมที่จะไปเจอกับอันจือฮ่าวที่สนามบินตามที่ได้นัดกันเอาไว้แล้ว
“อืมมมมม หรือฉันจะลองใช้วิธีนั้น”
ก่อนที่ซูจิ้งจะออกเดินทาง เขานั้นก็เหมือนกับนึกอะไรได้บางอย่าง เมื่อตัดสินใจได้ ซูจิ้งก็ได้นำของสองสิ่งออกมาจากกระเป๋ามิติ หนึ่งคือผ้าเช็ดหน้าไหมสีทอง อีกหนึ่งคือหนังแปลงโฉม
เขาได้โยนผ้าเช็ดหน้าไหมสีทองขึ้นไปบนฟ้าก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่าง เพียงไม่นาน ผ้าเช็ดหน้าไหมสีทองก็ได้แปลเปลี่ยนไปเป็นชายร่างยักษ์ที่มีความสูงมากกว่าสี่ถึงห้าเมตร
ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้ใช้หนังแปลงโฉมกับชายร่างยักษ์คนนี้ในทันทีนี่ทำให้ชายร่างยักษ์กลายเป็นชายหนุ่มรูปหล่อที่มีความสูงเพียง 1.8 เมตรราวกับใช้เวทย์มนต์เลยทีเดียว
“ไม่ว่าเห็นยังไงก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่ดีแหะ”
ซูจิ้งเองทีเห็นสิ่งที่ตัวเองทำกลับถอดถอนหายใจออกมาเพราะไม่คุ้นชิน เพียงผ้าผืนเล็กๆผืนหนึ่งกลับแปรเปลี่ยนเป็นชายร่างยักษ์สูงกว่าสี่ถึงห้าเมตร
ด้วยหนังเล็กๆชิ้นหนึ่งกลับแปรเปลี่ยนชายร่างยักษ์สูงเสียดฟ้าเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสูงแค่ 1.8 เมตร
ไม่ว่าได้เห็นกี่ครั้งก็ต้องรู้สึกอัศจรรย์อยู่ในใจอยู่แล้ว ยิ่งเขาตรวจสอบหนุ่มหล่อที่อยู่ตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกพิศวงยิ่งกว่าเดิม
นั่นก็เพราะถึงแม้ว่าชายร่างยักษ์จะแปลเปลี่ยนเป็นหนุ่มหล่อไปแล้ว แต่ความแข็งแกร่งของชายคนนี้ก็ไม่ได้แปรเปลี่ยนตาม แถมยังไม่เหลือเค้าลางของชายร่างยักษ์เมื่อกี้ไว้ซะอีก
บอกได้เลยว่าต่อให้เขาปล่อยชายหนุ่มคนนี้ไปเดินเตล็ดเตร่ก็เชื่อได้เลยว่าไม่มีคนสงสัย จะมีก็เพียงสงสัยในความหล่อเหล่าเท่านั้น
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เพื่อความปลอดภัยแล้วซูจิ้งก็คิดไว้แล้วว่าในครั้งนี้เอาเป็นทดลองให้ทหารผ้าไหมทองนี้ติดตามเขาดูก่อน หากเกิดอะไรขึ้นเขาจะได้จัดการรับมือได้อย่างทันท่วงที
ซูจิ้งได้ขับรถไปยังสนามบิน เมื่อไปถึงก็พบอันจือฮ่าวรออยู่เรียบร้อยแล้วโดยเขานั้นมาคนเดียว
เมื่อซูจิ้งเดินไปหา อันจือฮ่าวก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นชายที่ยืนอยู่ข้างหลังซูจิ้ง
เขานั้นตกตะลึงในความหล่อเหลาของชายคนนี้ทั้งๆที่ตัวเองเป็นผู้ชายทั้งแท่งในทันทีที่เห็น นั่นก็เพราะชายหนุ่มคนนี้ดูหล่อเหลาและคมสันราวกับรูปปั้นมีชีวิตเลยก็ว่าได้
“คุณซูครับ คนนี้คือ…” อันจือฮ่าวถามออกมา
“เขาเป็นบอดี้การ์ดและคาดหวังจะให้เป็นคนขับรถของฉันด้วยน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“โอ้…” อันจือฮ่าวพยักหน้าพลางคิดอยู่ในใจว่าซูจิ้งไปหาบอดี้การ์ดควบคนขับรถหล่อเหลาแบบนี้มาจากที่ไหนกันแน่ นี่เขาไม่กลัวว่าบอดี้การ์ดจะแย่งความเด่นจากตัวเองเลยรึไงกัน
ตอนแรกเขาก็ว่าจะส่งแฟนของเขาหรือไม่ก็น้องสาวมาแทนเพราะกลัวซูจิ้งอึดอัด แต่พอมาเห็นบอดี้การ์ดของซูจิ้งแล้วบอกได้เลยว่าดีแล้วที่ไม่ส่งมา
อย่างไรก็ตามสิ่งที่อันจือฮ่าวสงสัยก่อนหน้านี้เรื่องที่ว่าบอดี้การ์ดของซูจิ้งจะแย่งซีนซูจิ้งไปนั้นเป็นเรื่องที่คิดไปเองอย่างมาก
นั่นก็เพราะว่าความเด่นดังของซูจิ้งนั้นไม่ได้โดนแย่งไปแต่อย่างใด เอาจริงๆความเด่นของเขากับเพิ่มสูงขึ้นไปอีกด้วยซ้ำ ตอนนี้ชายหนุ่มคนนี้เปรียบได้ดั่งไม้ประดับของซูจิ้งไปแล้ว
“เฮ้อออ… เป็นฉันเองสินะที่โดนแย่งความเด่นดังไปน่ะ”
อันจือฮ่าวได้นึกขึ้นมาในทันทีที่เริ่มสังเกตเรื่องนี้ได้ ตัวเขาเองก็ถือได้ว่าเป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งเหมือนกัน
แต่หากว่าเมื่อเทียบกับสองคนนี้บอกได้เลยว่าช่างห่างไกลนัก เรื่องนี้เขาไม่ได้คิดไปเองอย่างแน่นอน
เพราะตลอดทางที่พวกเขาเดินมานั้น สาวๆทั้งหลายต่างพูดถุงซูจิ้งและหนุ่มหล่อคนนี้แค่สองคนเท่านั้น ไม่มีใครพูดถึงเขาเลยแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าในระหว่างนี้คนที่เห็นซูจิ้งก็ได้อาศัยจังหวะนี้เข้ามาขอลายเซ็นกันเป็นเรื่องปกติ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปในที่สุดก็ถึงเวลาที่เครื่องบินออก เพียงแต่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี พวกเขาก็มาถึงยังเมืองข้างๆเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาตรงไปยังโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง และที่นั่นคือสถานที่จัดงานเลี้ยงที่เป็นเป้าหมายของพวกเขาในครั้งนี้
ตอนที่พวกของซูจิ้งไปถึงก็เป็นเวลาสองทุ่มเข้าไปแล้ว ตอนนี้แขกเหรื่อภายในงานค่อนข้างจะหนาแน่น คนในงานนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเหล่าคนดัง คนรวย ผู้มีอำนาจ หรือไม่ก็ตัวแทนจากตระกูลใหญ่ แน่นอนว่างานนี้ไม่มีที่ให้กับคนทั่วไปเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม การมาถึงของกลุ่มของซูจิ้งนั้นได้ทำให้หลายๆคนอดไม่ได้ที่จะประหม่า
หลายๆคนเองถึงกับโค้งคำนับทักทายเขาด้วยท่าทีอันนอบน้อม แน่นอนว่ามีอีกหลายๆคนที่ประหลาดใจเหมือนกันพวกเขานั้นไม่คิดว่าคนอย่างซูจิ้งจะมาในงานนี้ได้
นั่นก็เพราะว่าถึงแม้ตอนนี้ซูจิ้งมีอำนาจที่แข็งแกร่งอยู่ในมือก็จริง แถมเขานั้นยังมีตำแหน่งเป็นคุณชายสี่ที่ชาวเน็ตนั้นยกย่องให้ดีที่สุดในหมู่คนที่มีฉายานี้
อย่างไรก็ตามซูจิ้งนั้นยังถือได้ว่ามีสถานะที่แตกต่างจากคุณชายสี่อีกสามคนอย่างมาก นั่นก็คือพวกเขานั้นเป็นคุณชายสี่ตามตำแหน่งในตระกูลของตัวเองแต่กำเนิด แต่กับซูจิ้ง เขานั้นเป็นคุณชายสี่เพราะการรับเข้ามาอยู่ในตระกูล นี่ทำให้เหล่าคุณชายสี่ที่แท้จริงจงเกลียดจงชังซูจิ้งอย่ามาก
แต่ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นสร้างขุมอำนาจด้วยตัวเองจนเหนือกว่าใครแม้แต่พ่อของคุณชายสี่อีกสามคนก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ แม้แต่เรื่องเงินก็ไม่ได้ด้อยกว่าแม้แต่น้อย
ยังไม่รวมถึงการที่เขานั้นเป็นหมอเทวดาที่สามารถควบคุมได้ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ชีวิต และความตาย ต่อให้คุณชายสี่ที่แท้ทั้งสามจะเกลียดชังยังไงก็ไม่กล้าทำอะไรเขาอยู่ดี
“สวัสดีคุณซู” ชายวัยกลางคนที่เป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งได้เข้าทักทายด้วยความเป็นกันเอง
“ไม่คิดเลยนะคะว่าคุณซูจะมาร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย ยินดีที่ได้พบค่ะ” หญิงสาวที่แต่งตัวดูดีมีไสตล์คนหนึ่งได้เข้ามาทักทายเช่นเดียวกัน
“คุณซูครับ ดีจริงๆที่ได้พบคุณในวันนี้” ชายหนุ่มที่พึ่งจะแสดงท่าทางโอ้อวดต่อหน้าหญิงสาวกลุ่มหนึ่งได้รีบเข้ามาทักทายซูจิ้งทันทีด้วยอาการประหม่า
เห็นได้ชัดว่าเขานั้นอยากจะรู้จักซูจิ้งอย่างมาก แต่เขาเองก็ต้องวางตัวอยู่นั่นก็เพราะว่าหากมีอะไรพลาดไปเขาจะเข้าหาคนกลุ่มอื่นไม่ติด
ซูจิ้งเองก็ทำเพียงพยักหน้าและกล่าวทักทายไปเพียงเท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้อันจือฮ่าวได้รู้สึกว่าการที่เขาพาซูจิ้งมาที่นี่ในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นกำไรของเขาแล้วจริงๆ
ถึงแม้ว่าตระกูลของเขานั้นจะไม่ด้อยไปกว่าใครหลายคนในในโลกภายนอก แต่ในที่นี้โดยส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านี้ก็อยู่ในระดับที่สูงกว่าเขามากนัก
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ในระดับเดียวกับเขา การที่เขาได้มายืนอยู่ข้างๆซูจิ้งแบบนี้ได้ทำให้เขานั้นเป็นที่กล่าวถึงได้อย่างดี
ในตอนนี้เอง มีคนกลุ่มหนุ่มที่ยืนมองเหตุการณ์นี้อยู่ค่อนข้างไกลก็ได้จับกลุ่มคุยกันในขณะที่มองซูจิ้งตาเขม็ง
“ซูจิ้งนั้นมีชื่อเสียงที่ดีจริงๆ นายเห็นคนนั้นไหม ชายวัยกลางคนคนนั้นเป็นนักธุรกิจที่ติดอันดับหนึ่งในร้อยสุดยอดนักธุรกิจของประเทศจีน การที่คนอย่างเขายังต้องแสดงท่าทีเคารพซูจิ้งแสดงว่าซูจิ้งไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
หญิงสาวสวยคนนั้นเองก็มีเบื้องหลังไม่ธรรมดานะ เธอเป็นเศรษฐีนีพันล้านทีเราพึ่งจะพูดถึงกันเมื่อกี้นี้ ปกติแล้วเธอเป็นคนที่ไม่เคยเสนอตัวเข้าหาใครแบบนี้เลยนะ การที่คนระดับเธอยังเข้าไปอ่อยซูจิ้งแบบนี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ อ้ะแล้วก็ไอ้หนุ่มคนที่พึ่งจะเข้าไปกระดิกหางใส่ซูจิ้งคนนั้นน่ะ ปกติเขาเป็นคนที่ยโสโอหังมากเลยนะนั่น การที่คนแบบนั้นไปออดอ้อนซูจิ้งราวกับจะขอเป็นสัตว์เลี้ยงแบบนี้ เห็นได้เลยว่าตอนนี้ชื่อเสียงของซูจิ้งนั้นไม่ธรรมดา ”
“ฮืมมมม ฟูฮงซิ่วที่เป็นเจ้าของงานนี่เขาก็เป็นคุณชายสี่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ขนาดเขามาถึงนี่แล้วคนพวกนี้ยังไม่ได้มีท่าทีแบบนี้เลยนะ”
“ก็ไม่แปลกล่ะนะ หากว่านายนับอำนาจของพ่อเขาเข้าไปด้วยก็ถือว่าเทียบกันได้อยู่ แต่หากพูดถึงความเก่งกาจส่วนตัวล่ะก็บอกได้เลยว่าแม้แต่ฟูฮงซิ่วก็ยังห่างไกลจากซูจิ้งนัก
จะบอกว่าถ้าเทียบกันตัวต่อตัวล่ะก็ออร่ามันต่างชั้นเกินไปก็ได้นะ”
“อีกอย่าง ซูจิ้งนั้นไม่เพียงมีขุมอำนาจและพลังเงินแล้ว เขานั้นยังเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ ปรมาจารย์กู่จิ้ง เทพเจ้าโรงครัว นักฝึกสัตว์ ปรมาจารย์หมากล้อม ปรมาจารย์การวาดภาพ ปรมาจารย์การเขียนอักษร หมอเทวดา และปรมาจารย์ด้านอื่นอีก แน่นอนว่าคนเก่งกาจหลากความสามารถอย่างนี้ย่อมมีคนนิยมชมชอบอยู่แล้ว”
ณ โซฟาอีกที่หนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังหัวร่อต่อกระซิกกับหญิงสาวมากมายที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยกัน ทันทีที่เขารู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในงานนั้นเปลี่ยนไปก็ได้มองไปยังทิศทางที่น่าจะเป็นต้นเหตุ
เมื่อชายหนุ่มคนนี้ได้เห็นซูจิ้ง เขานั้นขมวดคิ้วในทันที
ในขณะเดียวกัน ซูจิ้งก็เห็นชายหนุ่มคนนี้จึงได้ดึงอันจือฮ่าวให้ตรงมายังทิศทางของชายหนุ่มจ้องมองในทันที
หญิงสาวที่นักร่วมโต๊ะเดียวกับชายหนุ่มที่เห็นดังนั้นก็ได้รีบเขยิบถอยห่างชายหนุ่มในทันที
แม้แต่คนอื่นที่สังเกตเห็นเหตุการเองก็เริ่มพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นแต่พวกเขาก็เลือกที่จะมองดูอยู่ห่างๆเพียงเท่านั้น
พอนึกถึงเรื่องฉายาที่ว่าคุณชายสี่นั้นเป็นเพียงฉายาที่ชาวเน็ตตั้งขึ้นมากันเล่นๆ แต่ว่าคนเหล่านี้ก็มีเงินมากจนหน้ากลัวสมฉายาก็จริง
แต่เมื่อเทียบกับธรรมดาที่ไม่ได้อาศัยใครหนุนหลังแต่มีอำนาจขึ้นมาด้วยตัวเองทั้งๆที่มีฉายาเดียวกัน ในเมื่อเสือมาพบกับสิงห์แบบนี้ สำหรับคนที่ไร้ฉายาแล้วนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย
“สวัสดีคุณฟู นี่เพื่อนของผม คุณซู” อันจือฮ่าวพูดออกมา
“โอ้ คุณอัน คุณซู เชิญนั่งก่อน เชิญนั่ง” ฟูฮงซิ่วมีท่าทีต้อนรับที่ดูอบอุ่นและมีไมตรีจิต เขานั้นในตอนนี้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูธรรมดาสามัญมากๆ ราวกับว่าเขานั้นกลัวเสื้อผ้าและเครื่องเพชรจะมาโดดเด่นเกินใบหน้าของตัวเอง
ไม่ไกลกันนักหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่กำลังพูดคุยเกี่ยวกับเชิงฮวนอย่างออกรสออกชาติเมื่อเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปก็ได้มองไปตามทางที่คนในงานมองกันก็เห็นซูจิ้ง
ทันทีที่หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งได้เห็นซูจิ้งก็มีสายตาที่เปล่งประกายในทันที แต่หญิงสาวเห็นหนุ่มที่มากับซูจิ้งก็มีท่าทีที่ตกตะลึง