Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1027
GGS:บทที่ 1027 เลิกคุย
“โทษทีนะ แต่เรื่องหยินหนิงหนิงนี่ฉันเอามาใช้เป็นข้อตกลงไม่ได้หรอก หากนายอยากจะจีบเธอก็คงต้องลงมือเองแล้วล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เย็นชาทำให้เหล่าผู้คนที่นั่งร่วมโต๊ะมองกันด้วยสายตาโง่งม
ที่ทุกคนได้ยินนั้น ฟูฮงซิ่วเพียงแค่ต้องการที่จะกินข้าวกับหยินหนิงหนิงก็เท่านั้น แต่การที่เขาจะขอใครสักคนเพื่อช่วยเรื่องนี้ก็เป็นอะไรที่ยากมากแล้วเพราะคนระดับนี้ไม่มีความจะเป็นต้องมาขอให้ใครช่วยเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ
อีกหลายๆคนที่ได้ยินเรื่องนี้บางคนก็มีความคิดที่ว่าเสียสละดาราในสังกัดเป็นเป็นเพื่อนกับหนึ่งในคุณชายสี่เป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก
แต่กับซูจิ้งนั้นมันยิ่งกว่าไร้ค่าอย่างมากเพราะเขาสำหรับเขานั้น การขายคนของตัวเองไม่ได้ต่างจากการขายศักดิ์ศรีของตน
การจะทำอะไรให้สำเร็จได้นั้น บางคนไม่ได้ใช้วิธีที่สุจริตสักเท่าไหร่ คนเหล่านั้นมักมีวิธีการเบื้องลึกเบื้องหลังในการได้มาเพื่อที่จะเป้าหมายที่ตัวเองได้ตั้งเป้าเอาไว้และนั่นจะเป็นการปล่อยให้ตัวเองโดนกัดกินอย่างช้าๆ
แต่กับซูจิ้งนั้นต่างออกไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถใช้วิธีการเหล่านี้ แต่เขานั้นกล้าที่จะไม่ใช้มันมากกว่า
“คุณซูก็พูดเล่นไปแล้ว คุณเองก็เป็นคนปลุกปั้นหยินหนิงหนิงขึ้นมาแถมคุณเองยังเป็นคนพาเธอเข้าวงการเสียอีก
ทั้งคุณและหวังซือหยาต่างก็เป็นประธานของบริษัทหยุนหยินการบันเทิงที่เธอนั้นสังกัดอยู่และเธอก็เคารพคุณทั้งสองมาก
แล้วคุณจะบอกว่าไม่สามารถก้าวก่ายหยินหนิงหนิงได้ยังไงกัน อย่าบอกนะว่าเธอเป็นผู้หญิงของคุณน่ะ” ฟูฮงซิ่วพูดออกมาด้วยท่าทีไม่มีความสุขเล็กน้อย
สำหรับเขานั้น เขาถือว่าซูจิ้งนั้นควบคุมชีวิตของหยินหนิงหนิงได้อย่างเต็มที่ แล้วเขาจะบอกมาว่าเขาไม่ก้าวก่ายเนี่ยนะ
นี่ทำให้เขานึกขึ้นมาในทันทีเลยว่าหยินหนิงหนิงต้องเป็นผู้หญิงของซูจิ้งอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้แบบนี้จึงทำให้เขาต้องอารมณ์เสียเป็นธรรมดา
ตัวเขานั้นเมื่อได้เห็นหยินหนิงหนิงเป็นครั้งแรก จิตใจของเขาก็รู้สึกหวั่นไหวในทันที เขาไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้กับใครที่ไหนมาก่อนเลยในชีวิต
เขานั้นถือว่าเธอเปรียบได้ดั่งพระจันทร์บนฟากฟ้าที่เขานั้นทำได้เพียงคอยมองอยู่ห่างๆเท่านั้น และยิ่งนานวันเข้า เขาเองก็เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขานั้นอยากจะทำความรู้จักกับหยินหนิงหนิงจริงๆและพยายามมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร พอมาในวันนี้เมื่อได้รู้ว่าเธอน่าจะเป็นผู้หญิงของซูจิ้ง นี่ทำให้เขารับไม่ได้แบบสุดๆ
“หยินหนิงหนิงไม่ใช่ผู้หญิงของฉันหรอก และมันก็จริงที่นั้นเป็นคนปั้นเธอมา แต่ก็อย่างที่บอก ถ้านายอยากได้เธอก็ต้องใช้ฝีมือตัวเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทีเฉยเมย
ฟูฮงซิ่วที่ได้ยินดังนั้นเขายิ่งกลับไม่เชื่อมากกว่าเดิม ในมุมมองของเขาจากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้น หากหยินหนิงหนิงไม่ได้ถูกจ้างโดยซูจิ้งล่ะก็ เธอย่อมไม่มีวันปฏิเสธเขาได้อย่างแน่นอน
ในมุมมองของเขานั้นที่หยินหนิงหนิงปฏิเสธเขาเป็นเพราะว่าเธอนั้นเป็นผู้หญิงของซูจิ้ง เขาคิดว่าคนระดับเธอนั้นไม่จำเป็นเลยที่ต้องไปผูกมัดกับซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย และเป็นไปได้ว่าที่เธอยอมเป็นของเล่นของซูจิ้งอาจเป็นเพราะเขาให้คำสัญญาไปว่าหากมีโอกาสจะทำให้เธอเป็นภรรยาของเขาคนหนึ่ง
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฟูฮงซิ่วก็เหมือนคิดอะไรได้ขึ้นมาบางอย่างและได้ถามออกมาว่า “ในเมื่อหยินหนิงหนิงไม่สามารถงั้นถ้าเป็นฉือชิงล่ะพอจะได้รึเปล่า”
“อยากตายสินะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยสายตาเย็นชา
“ระวังน้ำเสียงของแกหน่อยเวลาพูดกับลูกพี่ฟูน่ะ” หม่าเต๋าที่มีใบหน้าอันใหญ่โตและฟันอันเหลืองอร่ามได้ตะคอกออกมา
ด้วยเหตุที่เขาในตอนนี้ติดตามฟูฮงซิ่วแน่นอนว่าย่อมกล้าที่จะต่อกรกับซูจิ้ง เอาจริงๆนี่เป็นความตั้งใจของเขาแต่กแรกอยู่แล้ว นั่นก็เพราะเขานั้นอยากจะชนะใจฟูฮงซิ่วอย่างมาก
และอีกทางหนึ่งเขาถือว่านี่เป็นการตอบโต้ตอนที่ซูจิ้งมองหน้าเขาเมื่อครู่นี้ เขาจึงได้แสดงออกมาว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าฟูฮ่งซิ่ว เขาไม่กลัวซูจิ้งอย่างแน่นอน
ซูจิ้งได้มองไปยังหม่าเต๋าอย่างไร้อารมณ์ก่อนที่จะหันไปมองที่ฟูฮงซิ่วด้วยสายตาเย็นชา
ฟูฮงซิ่วที่เห็นแบบนั้นก็ได้ตบบ่าหม่าเต๋าแล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเยาะว่า “เฒ่าหม่าอย่าไปพูดแบบนั้นสิ ผมต่างหากที่ผิดเองที่ไปเย้าคุณซูเล่นแบบนั้น หวังว่าคุณซูจะไม่ถือสาผมนะ”
ในตอนที่ซูจิ้งจ้องมองเขามาเมื่อกี้เขารู้ในทันทีเลยว่าซูจิ้งนั้นโกรธเขาอย่างมาก ทำให้เขานั้นรีบพูดตัดบทออกมาเพราะยังไงซะเขานั้นก็ไม่อยากจะหาเรื่องซูจิ้งแบบจริงจัง
แต่พอมานึกถึงว่าซูจิ้งได้สองสาวงามมาไว้ในครอบครองแบบนี้ เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขยะแขยง และอิจฉาในเวลาเดียวกัน
“ล้อเล่น?” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ เขาได้คว้าไปที่คอของฟูฮงซิ่วอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแล้วจับฟูฮงซิ่วกดลงไปที่พื้นจนเกิดเสียงดังลั่น ในตอนที่เกิดเสียงดังได้ทำให้แก้ววายกระเด็นกระดอนไปทั่ว บางส่วนก็หกรดใบหน้าของฟูฮงซิ่วจนแดงฉาน
“แกทำอะไรน่ะห้ะ” ฟูฮงซิ่วที่กำลังสับสนเมื่อต้องสติได้ก็ได้แสดงท่าทีโกรธแค้นขึ้นมา เขาพยายามจะดิ้นให้หลุด
แต่กับความแข็งแกร่งของซูจิ้งแล้ว ต่อให้เอาวัวกระทิงมาลากยังไม่กระดิก นับประสาอะไรกับคนแบบนี้
“หยุดเดี๋ยวนี้” บอดี้การ์ดของฟูฮงซิ่วที่เห็นฉากตรงหน้าต่างก็พุ่งเข้าไปหาซูจิ้งเพื่อหยุดเขาอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามบอดี้การ์ดหน้าหล่อของซูจิ้งก็ได้เข้ามาขวางคนทั้งสองเอาไว้
เมื่อเห็นดังนั้นทั้งคู่ก็ต่อยหมัดออกอย่างเดือดดาลใส่บอดี้การ์ดหน้าหล่อ ด้วยการที่ทั้งสองฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจึงมั่นใจในความแข็งแกร่งของตน
บอดี้การ์ดหน้าหล่อได้ได้ยกมือมาป้องกันหมัดที่กระหน่ำที่หน้าของเขา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาสะทกสะท้านแต่อย่างใด ราวกับภูเขาที่โดนลมพัดผ่าน
กลับกันเป็นบอดี้การ์ดสองคนนั่นต่างหากที่รู้สึกได้ว่าตัวเองราวกับต่อยกำแพงเหล็กอยู่
บอดี้การ์ดหน้าหล่อของซูจิ้งได้คว้าคอของบอดี้การ์ดทั้งสองของฟูฮงซิ่วด้วยมือเดียว นี่ขนาดว่าทั้งสองมีน้ำหนักอย่างน้อยก็ 150 กิโลกรัม แต่เขากลับยกคนทั้งสองขึ้นสูงราวกับกำลังคว้าคอไก่ก็ไม่ปาน
บอดี้การ์ดทั้งสองคนนั้นโกรธมากจนหน้าแดง แต่ในไม่ช้าหน้าของก็แดงมากกว่าเดิมเพราะว่าเริ่มขาดอากาศ
ทั้งสองพยายามประเคนทุกสิ่งทุกอย่างที่มีใส่บอดี้การ์ดหน้าหล่อของซูจิ้ง
แต่นั่นเป็นอีกครั้งที่เขานั้นได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังหาเรื่องกับกำแพงเหล็ก ทั้งหมัดและเท้าของพวกเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เทียบกับบอดี้การ์ดหน้าหล่อแล้วเขานั้นแทบจะไม่มีร่องรอยอะไรเลยแม้แต่น้อย จนในที่สุดทั้งสองก็ขาดอากาศหายใจจนไม่มีแรงที่จะขัดขืนอีกต่อไปและในที่สุดก็นิ่งสนิท ที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้นั้นก็คือการส่งสายตาวิงงอนร้องขอชีวิต
ท่ามกลางวุ่นวายนี้ หม่าเต๋ารู้สึกสับสนในทันที เขาไม่คิดว่าซูจิ้งจะกล้าทำอะไรฟูฮงซิ่ว และไม่คิดว่าบอดี้การ์ดร่างยักษ์จะสิ้นสภาพอย่างน่าอนาถขนาดนี้
แน่นอนว่าบรรดาผู้คนในงานที่ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์อันดีกับฟูฮงซิ่วนั้นไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เห็น กลับกันพวกเขาเห็นจนเตรียมจะเข้าช่วยเหลือฟูฮงซิ่วตั้งแต่ได้ยินเสียงดังโครมแล้ว
แต่ทุกคนต่างก็จดใจได้ว่าซูจิ้งนั้นสามารถล้างบางนักสู้มืออาชีพได้กว่า สามสิบกว่าคน ไหนจะบอดี้การ์ดหน้าหล่อแต่กลับหน้ากลัวราวกับคนเหล็กนั่นอีก แค่สองอย่างนี้ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรแล้ว
ต่อให้กล้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ผู้คนโดยรอบตอนนี้ต่างก็ตกอยู่ในอาการขวัญผวา พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าทำไมทั้งสองถึงได้มีเรื่องกัน เรื่องนี้ทำให้ทั้งหนิงหยิงติงและนาหลันเฟยและคนอื่นๆอดไม่ได้ที่จะเกิดอาการหัวใจเต้นเร็วอยู่ภายใน
“เกิดอะไรขึ้น นายบอกฉันได้รึเปล่า” หนิงหยิงติงที่เข้าดูเหตุการณ์เองก็พยายามที่จะเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ ไปซะ”
ซูจิ้งพูดออกมาด้วยถ้อยคำที่หนิงหยิงติงเองก็คาดไม่ถึงทำให้เธอทำได้เพียงถอยออกมาด้วยความอายเล็กน้อย
หากเป็นคนอื่นในที่นี้ล้วนแล้วแต่ต้องไว้หน้าเธอ เพราะว่าเธอมีปูมหลังที่แข็งแกร่ง ไหนจะเรื่องเส้นสาย และความสวยจนยากจะปฏิเสธ
นี่ก็ถือว่านานมากแล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนี้แต่ถึงจะโดนตอกมาแบบนั้น หนิงหยิงติงก็ยังไม่พูดอะไรออกมาอยู่ดี
นั่นก็เพราะว่าเธอรับรู้ได้ในทันทีว่าซูจิ้งกำลังโกรธอย่างหนัก ไม่ใช่เวลาที่ดีที่เธอจะเข้าไปยุ่งในตอนนี้
การที่งานนี้เป็นเธอเองที่จัดงานขึ้นมาแน่นอนว่าเธอย่อมไม่ยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น แต่กับการเอาตัวเองไปขวางทางการกระทำของซูจิ้งที่โกรธจัดแบบนี้เธอย่อมไม่ต้องการอย่างแน่นอน
“ทำไมเขา…” หญิงสาวผมสั้นคนหนึ่งพูดออกมาด้วยท่าทางขมวดคิ้ว
“เลิกพูดเลย อย่างเอาตัวเองเขาไปเอี่ยว” หนิงหยิงติงกระซิบขึ้นมาในทันทีและดึงให้สาวผมสั้นและนาหลันเฟยหลบออกมา
สำหรับคนนอกวงการต่อสู้นี้พวกเขาในตอนนี้ต่างก็รู้สึกกลัวจนขนลุก หลายๆคนในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังบอดี้การ์ดหน้าหล่อของซูจิ้ง
เดิมทีนั้นหลายๆคนต่างก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมซูจิ้งถึงได้นำหนุ่มหล่อคนนี้มาด้วยทำไม แม้แต่สาวๆบางคนยังอดใจไม่ได้ไปชวนเขาพูดคุยด้วยซ้ำ
แต่มาตอนนี้ทุกคนประจักษ์กับสายตาตัวเองแล้วว่าหนุ่มหล่อคนนี้ก็คือบอดี้การ์ดของซูจิ้ง ถึงแม้ว่าเขานั้นจะหล่อเหลามากถึงมากที่สุดราวกับเป็นรูปปั้นที่มีชีวิต
แต่ไม่มีใครคิดมาก่อนเลยว่าเขานั้นจะมีความแข็งแกร่งขนาดนี้ เป็นไปดั่งคำกล่าวที่ว่าไม่ทหารอ่อนแอภายใต้ผู้นำที่เก่งกาจแล้วจริงๆ
“ซูจิ้ง….แกต้องการทำอะไรกันแน่” ฟูฮงซิ่วที่ยังถูกกดลงบนโต๊ะอยู่ในตอนนี้ได้พยายามพูดออกมาจนได้ เขานั้นตั้งแต่ต้นจนมาถึงตอนนี้ยังไม่สามารถขยับไปไหนได้
เขานั้นยังรู้สกึได้ถึงของเหลวเย็นๆที่ไหลอยู่บนใบหน้า และเมื่อได้เห็นสายตาของคนโดยรอบก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้เขานั้นได้เพียงตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น