Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1029
GGS:บทที่ 1029 ขุด
ซูจิ้ง อันจnvฮ่าว และบอดี้การ์ดหน้าหล่อได้ออกจากโรงแรมไป
หลังจากที่เวลาผ่านไปนานพอสมควร บรรยากาศภายในงานก็ยังอึมครึมและเงียบงัน ราวกับว่างานเลี้ยงได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
ฟูฮงซิ่วและหม่าเต๋าในตอนนี้ยังแน่นิ่งอยู่ที่พื้น คนของฟูฮงซิ่ว หนิงหยิงติง นาหลานเฟย และแขกคนอื่นๆในงานที่เพิ่งจะได้สติก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องนี้
ฟูฮงซิ่วที่โดนซูจิ้งสั่งสอนไปนั้น ในตอนนี้กลับลุกขึ้นมาราวกับบรรลุในบางสิ่ง
“ลูกพี่ฟูหมดสติไปเหรอ”
“ไม่ได้หมดสติ แต่สายตาของเขาเลื่อนลอยมาก นี่มาจากที่หัวของเขากระแทกเหรอ”
“พาเข้าไปโรงพยาบาลเถอะ”
คนกลุ่มหนึ่งได้รีบพาฟูฮงซิ่วไปส่งพยาบาล หม่าเต๋าที่มีสภาพไม่ต่างกันก็ถูกประคองไปด้วยเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าจะมีเพียงแค่ไม่กี่คนที่ออกจากงานไปแต่นั่นก็ไม่ต่างจากงานนี้ได้เลิกลาลงไปแล้ว ถึงคนก่อเหตุจะเดินจากไปอย่างหน้าตาเฉย แต่นั่นก็ไม่มีใครคิดจะโทษซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้ออออ….ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางได้น้ำหอมนั่นมาจากซูจิ้งเลยสินะ”หนิงหยิงติงบ่นออกมา
“เอาจริงๆนะ ฉันว่าอย่าไปยุ่งกับเขาเลยดีกว่า เธอก็เห็นนี่ว่าหมอนี่เวลามีเรื่องแล้วน่ากลัวขนาดไหน” หญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมา
“แต่ทำไมฉันกับคิดว่าเขาเท่กันล่ะ ถึงแม้หมอนั่นจะไม่ได้ดูดีเท่ากับฟูฮงซิ่ว แต่เขานั้นทุ่มเทให้กับผู้หญิงของตัวเองซะขนาดนั้น
ก่อนหน้านี้ฉันได้ข่าวว่าฟูฮงซิ่วนั้นที่เปลี่ยนแฟนบ่อยๆเพราะว่าเขานั้นชอบบังคับให้ผู้หญิงทำอะไรแปลกๆ เขานั้นคิดว่าตัวเองมีอำนาจเลยทำอะไรก็ได้ ช่างน่าขยะแขยงอะไรอย่างนี้
หากว่าวันนี้เขาไม่ได้ถูกซูจิ้งเล่นงานล่ะก็ ไม่รู้เลยว่าจะมีผู้หญิงตกเป็นเหยื่ออีกมากเท่าไหร่” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นมา
“อย่ามาพูดแบบนี้แถวๆนี้สิ เดี๋ยวก็มีคนของหมอนั่นได้ยินเข้าหรอก” หนิงหยิงติงได้ดุหญิงสาวคนนั้นเชิงหยอกๆ นั่นทำให้เธอทำท่าสะดุ้งพร้อมแลบลิ้นออกมาในทันทีและไม่ได้พูดออกมาอีก
สำหรับซูจิ้งนั้นเขาสามารถเล่นงานฟูฮงซิ่วได้อย่างสบายๆก็จริง แต่พวกเธอนั้นไม่สามารถ
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสามารถสยบซูจิ้งเลยนะ หมอนั่นไม่กลัวฟ้ากลัวดินเลยจริงๆ”
“เรื่องนั้นก็ยังไม่แน่หรอกนะ ใครจะไปรู้ หากพ่อของฟูฮงซิ่วรู้เรื่องเข้าล่ะก็ หมอนั่นอาจจะรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำก็ได้”
นาหลันเฟยในตอนนี้ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเองนั้นก็เกลียนฟูฮงซิ่วไม่น้อยเหมือนกัน แต่ด้วยสถานะของเธอนั้นทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างโจ่งแจ้ง
ในสายตาเธอนั้น คนที่เก่งจริงจะไม่มานั่งใช้ความสามารถหาประโยชน์ใส่ตัวเองแบบนี้ หากว่ามีความสามารถเทียบเท่าได้ดั่งมนุษย์แมงมุมก็ควรจะใช้ความสามารถในการช่วยเหลือผู้คน
แต่ด้วยการที่เธอนั้นหลงใหลในตัวมนุษย์แมงมุมคนนั้นมากเกินไปทำให้เธอโดนทัดทานจากเพื่อนของเธอบ่อยๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอเสื่อมศรัทธาในฮีโร่สวมหน้ากากของเธอเลยแม้แต่น้อย
เธอได้สลักรูปฮีโร่ของเธอเอาไว้ในใจของมานานมากแล้ว
“เอ่อ…ลูกพี่ เราจะกลับเมืองจงหยุนกันเลยรึเปล่า”
หลังจากออกมาจากโรงแรมแล้ว สรรพนามที่เขาใช้เรียกซูจิ้งนั้นได้เปลี่ยนไปในทันที ก็ไม่แปลกอะไรนักเพราะเขาพึ่งจะได้เห็นฉากที่น่าประทับใจสำหรับเขานั่นเอง อันจือฮ่าวได้ถามออกมาในขณะที่มองไปยังซูจิ้งและบอดี้การ์ดหน้าหล่อสลับกันไป
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เขานั้นรู้สึกนับถือบอดี้การ์ดหน้าหล่อคนนี้ขึ้นมาอีกนิดนึง แต่เดิมนั้นเขาเองก็คิดว่าบอดี้การ์ดหน้าหล่อเป็นเพียงไม้ประดับของซูจิ้งเท่านั้น
ไม่คิดเลยว่านอกจากจะมีใบหน้าที่หล่อเหลาแล้ว เขานั้นจะทรงพลังราวกับคนเหล็กเลยก็ว่าได้ ด้วยการที่เขานั้นไม่พูดอะไรออกมาเลยตลอดเวลาที่ผ่านมานี่ช่างทำให้เขาดูเท่สุดๆ
คนๆนี้เพียงมีคนมองหน้าซูจิ้งก็แทบจะปลี่เข้าไปเล่นงานคนๆนั้นแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นมีความภักดีอย่างมาก สำหรับอันจือฮ่าวแล้ว
นิสัยแบบนี้ถึงจะนับว่าเป็นบอดี้การ์ดที่แท้จริงและได้คิดว่าหากกลับไปแล้วจะต้องหาบอดี้การ์ดแบบนี้ให้ได้สักคน
แต่สิ่งที่อันจือฮ่าวไม่รู้นั่นก็คือคนๆนี้ไม่ใช่บอดี้การ์ดธรรมดา กลับกันเขานั้นมีร่างกายที่แท้จริงเป็นชายร่างยักษ์ที่สูงมากกว่าสี่ถึงห้าเมตร
ด้วยการที่ชายคนนี้คือทหารผ้าเหลือง(ผ้าเช็ดหน้าไหมทองคำ)ที่ส่งตรงมาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ เขาจะไปหาบอดี้การ์ดแบบนี้จากที่ไหนของโลกใบนี้ได้กัน
“เราจะกลับไปได้ยังไงกัน นี่เรายังไม่ได้ตามสิ่งที่เราหวังไว้เลยนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แต่เราพึ่งจะเล่นงานฟูฮงซิ่วไปเองนะ ไม่ว่ามองยังไงหมอนั่นก็ไม่มีทางยกคนของหมอนั่นให้เราอย่างแน่นอน
หากว่าลูกพี่จะหาพวกหัวกะทิจากที่อื่นล่ะก็ ผมว่าก็ไม่น่าจะมีเหตุผลที่เราต้องอยู่ที่นี่นะ เราน่าจะกลับไปตั้งต้นที่เมืองจงหยุนจะดีกว่า” อันจือฮ่าวได้แสดงความเห็นออกมา
“เพียงแค่หมอนั่นไม่คิดจะให้ความร่วมมือก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีทางดึงตัวมาจากกลุ่มทุนฮงเหอซะหน่อย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
อันจือฮ่าวที่ได้ยินดังนั้นก็ทำท่าครุ่นคริดก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างออกมาได้ ความจริงแล้วความคิดที่เขาพึ่งนอกออกมานี้ไม่ใช่ว่าจะคิดไม่ถึง แต่ต้องบอกว่าไม่กล้าคิดจะดีกว่า
นั่นก็เพราะว่าการดึงตัวคนมาจากกลุ่มทุนฮงเหอนั้นก็ไม่ต่างจากการตบหน้าตระกูลฟูแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อตอนนี้ซูจิ้งกำราบฟูฮงซิ่วอย่างราบคราบไปแล้ว แล้วทำไมพวกเขาต้องกังวลเรื่องนั้นอีกล่ะ
ซูจิ้งและอันจือฮ่าวนั้นได้ปักหลักอยู่ที่อำเภอข้างๆของเมืองอยู่สองวัน สิ่งเดียวที่พวกเขาทำนั้นก็คือการดึงตัวคนที่เขาหมายตาไว้
ในช่วงนี้สิ่งที่อันจือฮ่าวทำได้นั้นนั่นก็คือได้รับรู้ความน่าสะพรึงกลัวของซูจิ้ง นั่นก็เพราะว่าคนไหนที่เขาหมายตาไว้นั้นถูกดึงตัวมาทีละคนอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าคนเหล่านี้นั้นเป็นคนของซูจิ้งที่ถูกส่งไปเรียนรู้งานก็ไม่ปาน
ไม่ว่าใครหากมาเห็นฉากเหล่านี้ต่างก็ต้องบอกว่าซูจิ้งนั้นมีความสามารถในการโน้มน้าวใจผู้คนได้อย่างมาก แต่เหตุผลหลักๆก็คือตราบใดที่ข้อเรียกร้องเพิ่มเติมของคนเหล่านี้ไม่ได้มากเกินไปจนเขาทำไม่ได้อย่างสะดวกใจล่ะก็ ซูจิ้งรับปากหมดทุกอย่าง จึงไม่แปลกที่ซูจิ้งจะได้คนไปมากมายขนาดนี้
คนเหล่านี้ไม่มีใครเลยที่ปฏิเสธซูจิ้งเลยสักคนเดียว และในหลายๆคนนี้สัญญาการทำงานของเขากับกลุ่มทุนฮงเหอเพิ่งจะทำไปด้วยซ้ำเรียกว่าน้ำหมึกยังไม่แห้งดีด้วยซ้ำ
แน่นอนว่ากับเรื่องแค่นี้ซูจิ้งยินดีอย่างออกนอกหน้าที่จะจ่ายค่าผิดสัญญาให้พวกเขา ทำให้พวกเขาไม่มีอะไรต้องกังวลแม้แต่น้อย
เพียงการมาแค่สองวันของซูจิ้ง เขาก็ได้สุดยอดหัวกระทิติดไม้ติดมือกลับไปได้เจ็ดคนเลยทีเดียว
ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ฟูฮงซิ่วกำลังนอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าที่ซีดเสียวเล็กน้อย
ในตอนนี้เอง ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งได้เดินเข้ามา แต่หม่าเต๋านั้นไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนนี้อีกต่อไป นับแต่วันที่หมอนั่นคุกเข่าขอร้องซูจิ้งให้อภัยในตัวหมอนั่น
แถมหมอนั่นเองก็เป็นต้นเหตุทำให้ฟูฮงซิ่วทำเรื่องไม่เป็นเรื่องออกไป เพียงแค่นี้หมอนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับคนทรยศจึงไม่มีหน้าจะมีอยู่ในร่มโพธิ์ของฟูฮงซิ่วอีก
เอาจริงๆหมอนั่นแค่กลัวว่าฟูฮงซิ่วจะโทษหมอนั่นจนคิดเล่นงานก็เท่านั้น
“ลูกพี่ฟูเป็นยังไงบ้างครับ ลูกพี่ดีขึ้นแล้วรึยัง” ชายหนุ่มคนหนึ่งได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ
“อืม ดีขึ้นแล้ว” ฟูฮงซิ่วพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์
“ดีแล้ว ดีจริงๆ” บรรยากาศของชายหนุ่มกลุ่มนี้ดีขึ้นอย่างมากจนทำให้หันหน้าเข้ามาคุยกันไปมาจนมีอีกหลายๆคนต้องเตือนให้หยุดเพราะมันเป็นการรบกวนลูกพี่ที่รักของพวกเขา
“มีคนเท่าไหร่ที่รู้เรื่องในคืนนั้น” ฟูฮงซิ่วถามออกมา
“….คือ…พวกเราพยายามจะปิดข่าวแล้ว…แต่…มีใครบางคนได้ถ่ายรูปเหตุการณ์….แล้วโพสต์มันขึ้นอินเตอร์เน็ตไป…กับเรื่องนี้เลย…” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดออกมาด้วยท่าทีจนปัญญา
ฟูฮงซิ่วที่ได้ยินดังนั้นก็กัดฟันของตัวเองแน่นพลางนึกถึงการที่เรื่องในคืนวันก่อนถูกโพสต์ขึ้นอินเตอร์เน็ตไปแล้ว แน่นอนว่าคนที่เห็นต้องนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน
เขานั้นได้เสียหน้าไปเรียบร้อยจนทำอะไรไม่ได้แล้ว นี่ทำให้ความโกรธเกิดมาในหัวใจทันที
อย่างไรก็ตามในขณะที่ความโกรธของเขาพุ่งสูงขึ้น ก็ได้มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นในหัวใจจนทำให้ความโกรธของเขานั้นไร้ค่าไปในทันที
ความรู้สึกนั้นคือความรู้สึกเสียวสันหลังที่เกิดจากความเย็นยะเยียบ มันเป็นความรู้สึกที่เรียกว่าความกลัวอย่างแน่นอน ยิ่งเขารู้สึกโกรธมากเท่าไหร่
ความรู้สึกเย็นยะเยียบนี้ก็ยิ่งแรงกล้าจนทำให้เขานั้นต้องขนลุกจึงทำให้ความโกรธในจิตในตัวเองหายไปโดยปริยาย
นี่ทำให้เขานั้นนึกสงสัยขึ้นมาอย่างจับใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ สิ่งที่ซูจิ้งทำกับเขานั้นมันสมควรทำให้เขาโกรธไม่ใช่เกรงกลัวแบบนี้ นี่ไม่ใช่ว่าเขากลัวซูจิ้งไปแล้วจริงๆหรอกเหรอ
ในขณะที่รุ้สึกสงสัยอย่างหนักนั้น อยู่ๆ ร่างกายของเขาก็ได้เรียกความทรงจำอันเจ็บปวดที่ห่างหายไปแล้วขึ้นมาในหัวใจ
เขาจำได้แม้กระทั่งตอนที่เขาพูดเกี่ยวกับฉือชิง แต่เพียงเขานั้นนึกถึงชื่อนี้ก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดจนทำให้หายใจได้อย่างลำบากยากเย็น
ราวกับว่าชื่อๆนี้เป็นชื่อต้องห้ามที่ประทับไว้ในใจเขา มันเป็นคำสาปที่ทำให้เขาตระหนกจนร่างกายแข็งค้างไปได้เลย
“แม่…เอ๊ย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ว่ะเนี่ย ฉันไม่ยอมแพ้หรอก” ฟูฮงซิ่วพร่ำพูดออกมาด้วยควาโกรธเกรี้ยวจนทำให้กลุ่มที่มานั้นหวาดกลัวในสิ่งที่เห็น
ฟูฮงซิ่วยังไม่ยอมแพ้ที่จะคิดถึงฉือชิงแต่นั่นกับทำให้เขาอาการหนักมากจนทำให้เขายอมแพ้ไปอย่างไม่อาจต้านทานได้ เขานั้นอยากจะหยุดคิดเรื่องนี้แบบจริงจังเลยเปลี่ยนเรื่องคุยและถามออกมาว่า
“สองวันที่ผ่านมานี้มันทำอะไรรึเปล่า”
“เรื่องนี้…” ชายหนุ่มคนนั้นอึกอักในทันที
“พูดมา” ฟูฮงซิ่วพูดออกมาอย่างไร้อารมณ์
“หมอนั่นดึงตัวคนของเราไปเจ็ดคนครับ”
“เจ็ดคนไหน” ฟูฮงซิ่วรู้สึกสังหรร้ายในทันที
“มีโจวติ ลูเป๋าเล่ย..” ชายหนุ่มได้พูดชื่อของเจ็ดคนที่ถูกดึงตัวไปอย่างช้าๆ และในทุกๆชื่อที่ฟูฮงซิ่วได้ยินนั้นทำให้สีหน้าของเขาน่าเกลียดมากขึ้นเป็นระดับ ก็ไม่แปลกอะไรนักเพราะคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดหัวกระทิของกลุ่มทุนฮงเหอ
“เป็นไปได้ยัง หมอนั่นดึงคนไปได้เจ็ดคนเลยเนี่ยนะด้วยเวลาเพียงสองวัน แถมทุกคนคือหัวกระทิของพวกเรา…”
ฟูฮงซิ่วพูดด้วยเสียงอันโหดร้ายรวดเดียวราวกับลืมความเจ็บปวดของตัวเองไป
นี่ทำให้กลุ่มชายหนุ่มได้แต่นิ่งเงียบไปเท่านั้น อย่าว่าแต่ฟูฮงซิ่วเลย พวกเขาเองในตอนแรกก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
แต่ยังไงซะต่อให้ไม่เชื่อก็เท่านั้นเพราะว่าต่อหน้าพวกเขานั้น ซูจิ้งได้ขุดเอาสุดยอดหัวกะทิของพวกเขาไปอย่างง่ายดาย ต่อให้ไม่เชื่อ ยังไงก็ต้องเชื่อ