Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1030
GGS:บทที่ 1030 ศัตรูของศัตรู(อุดรอยร้าว)
ไม่ว่าตอนนี้ ฟูฮงซิ่ว จะโกรธเกลียดแค้นซูจิ้งมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งเกิดขึ้นไปแล้วไปได้
ไม่ว่าจะเป็นภาพของเขาที่หวาดกลัวต่อซูจิ้ง หรือการถูกขุดเอาเหล่าอัจฉริยะของเขาที่หวงแหนออกไปได้อย่างง่ายดาย ทุกๆอย่างนี้ราวกับว่าถูกจัดเตรียมเอาไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
…..
เหล่าผู้คนแห่งโลกอินเตอร์เนตกำลังพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างสนุกปาก
“เม่…เอ๊ย ฟูฮงซิ่วถูกกำราบโดยซูจิ้ง”
“จริงเหรอ นี่เขาไม่รู้รึไงว่าฟูฮงซิ่วเป็นใครกัน นี่ซูจิ้งไม่ได้กลัวที่จะก่อเรื่องกับเขาเลยเหรอ ”
“เท่าที่ดูจากข้อมูลแล้ว อย่าว่าแต่กลัวเลย ซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจฟูฮงซิ่วเลยแม้แต่น้อยว่าเขาเป็นใครด้วยซ้ำ เขานั้นบีบคอหมอนั่นราวกับบีบคอหมาตัวหนึ่ง”
“ก่อนหน้านี้นายจำได้รึเปล่าว่าฟูฮงซิ่วนั้นเขาลือกันว่าเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่นน่ะ แต่ข่าวบอกมาว่าเหตุผลที่เขาเปลี่ยนแฟนนั้นเป็นเพราะผู้หญิงรับไม่ได้ที่โดนหมอนั่นทำอะไรแปลกๆ
ดูเหมือนว่าการกระทำของซูจิ้งนั้นจะได้รับการสรรเสริญมากกว่าสาบแช่งซะอีกที่ได้ช่วยระบายความขุ่นเคืองใจของสาวๆที่โดนฟูฮงซิ่วบังคับขู่เข็ญมากมายหลายคน
กับคนระยำตำบอนแบบนั้นสมควรแล้วล่ะ ตอนนี้ฟูฮงซิ่วเร่มมาอาละวาดในเน็ตแล้วนะ เขาขู่คนที่พูดคุยเรื่องนี้ว่าจะเอาถึงตายเลยล่ะ
แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วหมอนั่นก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะนะ แม้แต่คนดังๆที่เคยไว้หน้าหมอนั่น ในตอนนี้ต่างก็ออกมาแฉกันเหมดเปลือก เรื่องนี้มันราวกับว่าผู้ร้ายถูกปราบปรามโดยฝ่ายธรรมะยังไงก็ไม่รู้สิ”
“ฟูฮงซิ่วมันเป็นพวกแค้นฝังลึกไม่ใช่เหรอ หมอนั่นน่าจะเตรียมทำอะไรอยู่แน่ๆ”
“ฟูฮงซิ่วในตอนนี้น่าจะกลายเป็นขี้ขลาดจนเกินกว่าจะทำอะไรได้แล้วล่ะ ตอนที่เกิดเรื่องกันเขาโดนซูจิ้งใช้ประกาศิตเพชรฆาตกหมายหัวไว้จนทำไม่ได้แม้แต่จะลุกขึ้นจากพื้นด้วยตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ตอนนี้เขานั้นจะทำอะไรก็ไม่ได้สะดวกสักเท่าไหร่นัก ถึงแม้ก่อหน้านี้หมอนี่จะมีชีวิตอยู่อย่างน่าอิจฉา แต่เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้วความสามารถของหมอนั่นเทียบไม่ได้แม้แต่ลมตดของซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย
มันก็เหมือนกับคำที่เขาว่าเอาไว้ล่ะนะว่า ไม่ประชันขันแข่ง ไม่เจ็บตัวหรือป่วยไข้”
“ฉันว่าเลิกคิดแบบนั้นดีกว่านะ ฉันว่าซูจิ้งต้องการแค่จะโอ้อวดตัวเองเฉยๆ เดี๋ยวเขาก็ต้องมานั่งเสียใจภายหลังเองแหล่ะน่า
ถึงเขาจะทรงพลังก็จริง แต่ยังไงซะคนที่กว้างขวางเท่านั้นที่จะได้ทุกสิ่งไปครอบครอง โดยเฉพาะศัตรูของเขาในครั้งนี้ก็คือตระกูลฟูผู้กว้างขวางและลึกสุดหยั่ง”
“จะว่าไปก็จริงนะ แถมฟูฮงซิ่วเองก็ไม่ใช่ตะเกียงที่ไร้น้ำมันที่พอโดนซูจิ้งเล่นงานแล้วจะดับเพลิงแค้นในใจได้ ฉันว่ากับเรื่องนี้เท่านั้นที่เขานั้นเหนือกว่าซูจิ้งถ้าไม่นับเรื่องปูมหลังและทักษะส่วนตัว”
“แล้วไง คิดว่าซูจิ้งจะกลัวหมอนั่นงั้นเหรอ ถ้ามองตามมุมของฉันนะฉันยังไม่เคยเห็นซูจิ้งจะโดนเล่นงานได้เลยสักครั้ง
และครั้งนี้ฉันว่าเขาก็ไม่น่าโดนจัดการได้เช่นเดียวกัน เขาโดนเล่นงานมามากมายหลายครั้งแล้วฉันก็ยังเห็นเขาอยู่ดีจนถึงทุกวันนี้”
“แต่ครั้งนี้มันต่างจากครั้งอื่นนะ เดี๋ยวนายก็จะได้เห็นเอง”
เมื่อฮัวหยุนชูได้เห็นข่าวเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นไปในโลกอินเตอร์เนต เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างซะใจสั้นๆสามครั้ง ก่อนจะพูดออกมาว่า “ซูจิ้ง ไม่เพียงแกจะหาญกล้ามาหาเรื่องฉัน นี่แกยังกล้าไปหาเรื่องฟูฮงซิ่วอีกอย่างงั้นเหรอ แกจะรีบหาที่ตายไปถึงไหนกัน”
“ไอ้หมอนี่นับวันยิ่งโอหังจริงๆ” ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆเองเมื่อเขาได้เห็นข่าวนี้ก็พยักหน้าเห็นด้วยและพูดความคิดเห็นของตนออกมา
ถ้าจะให้พูดตรงๆล่ะก็เขานั้นไม่ต้องคิดวิเคราะห์อะไรให้ปวดหัวแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะสิ่งที่ซูจิ้งกระทำนั้นเป็นการมองหาที่ตายอย่างแท้จริง นั่นก็เพราะในตอนนี้เขาได้หาเรื่องสองในสี่ของคุณชายสี่เรียบร้อยแล้ว
แต่เพียงทั้งสองได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความคิดนี้ของทั้งสองถึงกับต้องสั่นคลอนในทันที นั่นก็เพราะว่าถึงภาพเหตุการณ์นั้นจะเป็นเพียงแค่ซูจิ้งได้จับคอของฟูฮงซิ่วกดลงไปบนโต๊ะก็ตาม
แต่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวนั้นได้แผ่ออกมาจากรูปภาพอย่างไม่แน่เชื่อ กลิ่นอายนี้ทำให้ทั้งสองต้องขนลุกในทันทีที่เห็นในแวบแรก
นี่มันราวกับว่าการที่ซูจิ้งกระทำการเช่นนี้นั้นไม่ได้ต่างอะไรกับการประกาศศักดาเลยแม้แต่น้อย
หลังจากเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ฮัวหยุนชูนั้นอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเขานั้นรอดออกมาจากเหตุการณ์แบบนี้ได้ยังไงกัน ทั้งๆที่เขาเองก็ไปหาเรื่องซูจิ้งไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“โทรหาฟูฮ่งซิ่วเดี๋ยวนี้” ฮัวหยุนชูพูดออกมา
“แต่…ลูกพี่ฮัวครับ ความสัมพันธ์ของคุณกับฟูฮงซิ่วก่อนหน้านี้ไม่ได้ดีเลยนะครับ แล้วเขาจะรับโทรศัพท์เราเหรอ” ชายหนุ่มท่าทางสุภาพถามออกมาอย่างงงงวย
“ถึงแม้จะไม่ได้ดีแต่ก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดชังกันนี่ นี่มันก็เหมือนกับคำที่ว่าไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ศัตรูของศัตรูที่แข็งแกร่งนี่ถึงจะเรียกว่ามิตร” ฮัวหยุนชูยิ้มออกมาและนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มสุภาพเข้าใจความหมายและได้โทรออกไปในทันที
เขานั้นเข้าใจได้อย่างดีเลยว่าฟูฮงซิ่วในตอนนี้ต้องเกลียดชังซูจิ้งอย่างหนักแน่นอน แต่ตัวเขาที่ยังไม่ทำอะไรเพราะว่าเขานั้นมีกำลังไม่มากพอเท่านั้น
หากว่าคนที่มีความเกลียดชังต่อใครสักคนเหมือนๆกันมารวมตัวกันล่ะก็ แน่นอนว่าย่อมสามารถสร้างความร่วมมือได้อย่างง่ายดายจนแทบจะไปต้องพูดอะไรกันเลยด้วยซ้ำ
…
ขณะเดียวกัน ซูจิ้ง อันจือฮ่าว และบอดี้การ์ดหน้าหล่อได้กลับไปยังเมืองจงหยุน พร้อมด้วยเจ็ดอัจฉริยะด้านเครื่องยนต์กลไกที่เขาขุดออกมาจากกลุ่มทุนฮงเหอฯ
เขาได้พาหัวกะทิทั้งเจ็ดตรงไปยังสถานีวิจัยห้วงเวลาและกาลอวกาศในทันทีและให้พวกเขาเริ่มงานวิจัยเลย ด้วยการมีคงอยู่ของหัวกะทิทั้งเจ็ดนี้ทำให้งานวิจัยของซูจิ้งคืบหน้าอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาได้รับข้อมูลการวิจัยเบื้องต้นที่นักวิจัยชุดเดิมพอจะศึกษาเอาไว้ได้ผนวกรวมเข้ากลับรูปเครื่องยนต์ที่ซูจิ้งมอบให้
เพียงไม่นาน พวกเขาก็สร้างเครื่องยนต์ฉบับคัดลอกได้สำเร็จในที่สุด ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพนั้นจะยังเทียบไม่ได้เท่าเครื่องยนต์ต้นแบบเพราะว่าวัสดุในการผลิตและเทคโนโลนีที่ใช้ยังห่างไกลกันมาก
แต่บอกได้เลยว่าเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ เครื่องยนต์รุ่นคัดลอกนี้ยังเนื้อล้ำกว่าหลายขุมนัก
ยังมีเรื่องน่ายินดีสำหรับซูจิ้งเรื่องอื่นอยู่อีกนั่นก็คือการวิจัยปืนเลเซอร์ตอนนี้คืบหน้ามากขึ้น และการวิจัยระบบโลกเสมือนเองก็คืบหน้าเช่นกันถึงแม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม
แต่คำว่าเล็กน้อยนี้ถือว่าดีมากเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับความรู้บนโลกใบนี้ในปัจจุบัน เพราะว่าเทคโนโลยีของโลกใบนี้กับห้วงเวลาฯสุดยอดทหารกล้าจ้าวนักรบนั้นห่างกันนับร้อยปีเห็นจะได้
ส่วนหรับเจ้าแผ่นจานฉายภาพที่มีขนาดประมาณสิบเซนติเมตรนั่น ในตอนนี้ยังไม่มีอะไรเพิ่มเติมแม้แต่น้อย ช่างน่าเสียดายนัก
“สุดยอดดดด อาจิ้ง พวกเราจะต้องทำให้โลกตกตะลึงอีกครั้งแน่ๆ” หวังจ้าวที่ทราบสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสถาบันวิจัยนั้นได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นในทันที
“ใจเย็นๆก่อนก็ได้นะลูกพี่ จะรีบตื่นเต้นไปไย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ใจเย็นๆ? เออสิปกติน่ะฉันก็ใจเย็นอยู่แล้วล่ะแต่จะให้ใจเย็นกับงานวิจัยของนายเนี่ยนะ คงต้องรอให้ชาวบ้านทำได้แบบพวกเราก่อนเท่านั้นแหล่ะ
ก่อนหน้านี้ไม่นานฉันเองก็ได้เตรียมตัวไว้แล้วบ้าง พร้อมทั้งลองให้คนไปตรวจสอบตลาดมาและได้คุยกับบอร์ดบริหารของเราแล้ว
ตอนนี้พวกเราก็พบบริษัทหนึ่งที่ชื่อว่าบริษัทกวงหลิงยานยนต์ บริษัทนี้เป็นบริษัทที่สร้างรากฐานขึ้นมาด้วยตัวเองและมีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร
พวกเขานั้นมีรถที่มีสมรรถนะและปริสิทธิภาพที่ดีมากเลยล่ะ เมื่อปีที่แล้วยี่ห้อรถของพวกเขาก็นับได้ว่าติดตลาดได้พอสมควร
แต่พวกเขานั้นได้ติดปัญหาตรงที่เครื่องยนต์ของพวกเขานั้นผลิตเองไม่ได้ใช้ของใครทำให้ค่าการประเมินสมรรถนะเครื่องยนต์ได้ออกมาไม่ดี
สองปีที่ผ่านมาเครื่องยนต์ของบริษัทนั่นไม่เพียงจะไม่พัฒนาขึ้น รถยนต์รุ่นหลังๆของพวกเขาสมรรถนะของเครื่องยนต์ค่อยๆลดลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้พวกเขานั้นโดนวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นในทุกๆครั้ง
จนใจที่สุดพวกเขาในตอนนี้มียอดขายต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนเกือบถูกธนาคารยึดกิจการอยู่แล้ว แน่นอนว่าหากพวกเราซื้อกิจการของพวกเขา ไม่เพียงจะไม่ต้องอยู่ภายใต้แบรนด์ของคนอื่นแล้ว พวกเรายังสามารถยัดเครื่องยนต์ที่พวกเราพัฒนาได้อย่างตามใจชอบ” หวังจ้าวพูดออกมา
“เยี่ยม จัดการเลย” ซูจิ้งพูดออกมาโดยอดกล่าวชมหวังจ้าวออกมาเสียไม่ได้
“อ้อ อีกเรื่องนึง ฉันว่าเราน่าจะเอางานวิจัยใหม่ของเราสองตัวนี้ไปสร้างความตื่นเต้นให้กับชาวโลกสักหน่อยนะ อีกไม่กี่วันจะมีงานจัดแสดงทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับนานาชาติที่ปักกิ่ง ฉันว่าเราควรจะเข้าร่วมด้วยนะ นายคิดว่ายังไง นายว่าเราควรจะเปิดหูเปิดตาชาวโลกหน่อยไหม” หวังจ้าวพูดออกมาเชิงถามความเห็น
“จัดไปอย่าให้เสีย” ซูจิ้งรีบพูดตอบรับออกมาทันทีที่ได้ยินด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างมาก ถึงแม้งานวิจัยใหม่ของสถาบันห้วงเวลาฯทั้งสามชิ้นนี่จะถือได้ว่าเป็นสุดยอดในโลก ณ ตอนนี้
แต่ก็อย่างที่เขาว่าต่อให้ไวน์ดีแค่ไหนก็ตามแต่หากพวกมันอยู่แต่ในหมู่บ้านเล็กๆมันก็ไร้ค่า หากว่ามันดีแต่ไม่มีใครรู้ว่ามันมีอยู่และดียังไงมันก็ถือว่าไร้ค่าอยู่ดี
ถึงแม้ว่าสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯแห่งนี้สามารถจะจัดงานแถลงเปิดตัวได้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านๆมาก็จริง แต่นั่นมันเทียบไม่ได้กับชื่อเสียงที่จะได้หากไปจัดที่งานแสดงระดับนานาชาติแบบนั้น
งานจัดแสดงเทคโนโลยีแบบนี้จึงถือว่าเป็นช่องทางทางธุรกิจอีกอย่างหนึ่งที่เขานั้นสมควรจะลงไปเล่นด้วยอย่างไม่ต้องคิดมาก
….
ความจริงแล้วด้วยชื่อเสียงของกลุ่มทุนห้วงเวลาและปูมหลังของซูจิ้งและหวังจ้าวนั้น เมื่อพวกเขานั้นยื่นข้อเสนอที่จะเข้าร่วมงานจัดแสดงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนี้สมควรจะได้รับอนุมัติและถูกเชิญไปจัดในพื้นที่จัดแสดงที่ดีที่สุดเสียด้วยซ้ำ
แต่เพียงไม่นานหลังจากพวกเขายื่นเรื่องไปกลับก็ต้องได้รับการตอบกลับมาว่าพวกเขานั้นถูกปฏิเสธอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากพวกเขาได้ตรวจสอบเหตุผลดูก็ได้พบว่า ฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วนั้นเล่นไม่ซื่อ ถึงแม้ว่าประธานการจัดงานจัดแสดงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับนานาชาติแห่งเมืองปักกิ่งในครั้งนี้จะเป็นอะไรที่ทั้งสองนั้นยากที่จะกดดันได้
แต่เมื่อทั้งสองจับมือกันนั้นก็ไม่ได้ต่างจากการที่มีตระกูลใหญ่สองตระกูลมายืนถือมีดจอไว้ที่คอของเขาทำให้เขานั้นต้องยินยอมอย่างทัดทานไว้ไม่ได้
“ไอ้สองตัวนั่นเข้าขากันได้ดีจริงๆแหะ” ซูจิ้งคิดขึ้นในขณะที่หลับตาราวกับใช้ความคิดอะไรบางอย่าง
เขาในตอนนี้นั้นไม่ได้มีเส้นสายที่เล็กๆแบบเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
ต่อให้เขานั้นไม่ใช้ชื่อเสียงของตัวตนอันยิ่งใหญ่ของผู้คนในเมืองหลวงหรือชื่อเสียงของตระกูลหวังก็สามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดายก็จริง
แต่ในเมื่อฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วจับมือกันล่ะก็เขาคาดการณ์ได้ว่าเส้นสายของเขานั้นถึงแม้จะจัดการได้ง่ายจะเป็นอันตรายอยู่ดี และเขาเองก็ยังไม่อยากจัดการปัญหาเล็กๆแบบนี้ด้วยตัวตนที่ยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวงหรือตระกูลหวังแต่อย่างใด
หลังจากที่ครุ่นคิดสักพัก เขาจึงคิดว่าจะตัดใจจากงานแสดงด้านเทคโนโลยีที่ปักกิ่ง แต่คิดจะจัดงานแสดงด้านเทคโนโลยีของตัวเอง
สำหรับเขาแล้วกับแค่งานจัดแสดงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบนั้นไม่ได้ยากเย็นแต่อย่างใด