Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1042
GGS:บทที่ 1042 กองกำลังทั้งสี่?
“หยวนหยินหนิง นายขอให้พวกเรามาที่นี่ต้องการอะไรกันแน่ อย่าบอกว่าจะมาขายถั่วล่ะ ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งอยู่นะเว้ย” หลี่เชิงหรือก็คือชายร่างท้วมตอนปลายได้พูดออกมาอย่างไม่ไว้หน้า แม้แต่ฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วเองก็มองหยวนหยิงหนิงด้วยท่าทีไม่ค่อยพอใจเช่นกัน
“น่าๆ ค่อยๆฟังฉันไปก่อนแล้วกัน หากว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญจริงฉันคงไม่หาญกล้าเรียกนายสามคนมาหรอกนะ” หยวนหยินหนิงหรือก็คือชายที่ไว้เคราได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาปล่อยวางการไว้ท่าของเขาไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินน้ำเสียงอารมณ์เสียของเพื่อนร่วมโต๊ะ
เขาเองก็เคยอยู่ในตำแหน่งที่เคยนั่งอยู่ตอนนี้อยู่บ่อยครั้งแล้ว แต่ในตอนนี้ถึงแม้เขาจะอายุมากกว่าคนทั้งสามแต่ก็ยังไม่สามารถอวดดีได้แบบเมื่อก่อนอีกต่อไป
เพราะสำหรับกรณีของเขาแล้วเรียกได้ว่าสถานการณ์นั้นย่ำแย่มานานจนยากจะฟื้นสถานะกลับมาได้แล้ว ถึงแม้เขาจะเป็นคนตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาก็จริง แต่หลังจากโดนซูจิ้งเล่นงานอย่างหนักจนทำให้เขานั้นถูกเขี่ยหัวส่งโดยชาวเน็ตอย่างทัดทานไม่ได
“เรื่องสำคัญอะไรถึงขนาดต้องให้เราสามคนมาที่นี่” ฟูฮงซิ่วพูดออกมา
“เรื่องซูจิ้ง” หยวนหยินหนิงทันทีที่พูดออกมาก็ได้หุบรอยยิ้มของตัวเองลงในทันที แต่กลับฟูฮงซิ่วและฮัวหยุนชูที่ประสบชะตากรรมมาแล้วเช่นเดียวกันเท่านั้นที่ขมวดคิ้ว แต่หลี่เชิงนั้น เขากลับนิ่งอึ้งไปเท่านั้น
“ในช่วงที่ผ่านมานี้ ซูจิ้งพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วอย่างน่ากลัว ฉันเชื่อว่านายก็เห็นๆกันแล้วว่าเพียงแค่มันก้าวเท้าเข้าวงการยานยนต์ บริษัทฮองเหอยานยนต์ของตระกูลของฮงซิ่วก็แทบจะล้มคลืนด้วยเวลาไม่นานน่าจะเป็นคนที่เข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุด
ฉันเกรงว่าหากยังปล่อยให้มันทำตัวแบบนี้ต่อไปล่ะก็ อีกไม่นาน พวกเราทั้งสี่จะได้ผลกระทบกันอย่างครบถ้วน และเชื่อได้ว่า อีกไม่ช้าจะไม่มีที่เหลือให้ตระกูลของพวกเราทั้งสี่ได้ยืนอยู่อีกต่อไป
เมื่อถึงเวลานั้นจริง อย่าว่าแต่เรื่องคุณชายสี่เลย พวกเราเป็นไม่ได้แม้แต่เศษผงของมันด้วยซ้ำ” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
“พวกเรารู้ดีว่านายกำลังจะพูดอะไร แต่เราจะทำอะไรมันได้ล่ะ” ฟูฮงซิ่วพูดพลางกัดฟันแน่น
“ทุกวงการที่มันก้าวเท้าเข้าไปนั้นล้วนแล้วแต่ใช้เทคโนโลยีชั้นสุดยอดทั้งนั้น ต่อให้อยากจะแข่งแต่ก็ไม่มีอะไรจะใช้แข่งด้วยได้
เหนือสิ่งอื่นใดคือเบื้องหลังของมันนั้นมันลึกสุดหยั่ง แม้แต่กฎหมายและนโยบายภาครัฐก็ยังสนับสนุนในทันที เห็นอย่างนี้แล้วนายจะเอาอะไรไปสู้” ฮัวหยุนชูพูดออกมา
“มันมันเตรียมตัวมาดีในทุกย่างก้าวที่มันจะไป แน่นอนว่าตอนนี้มันกำลังมุ่งเน้นไปในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
การที่นายเอาเรื่องที่มันเตรียมตัวไว้ดีแล้วไปสู้อย่างการสั่งห้ามเข้าร่วมงานจัดแสดงนั่นย่อมไม่เป็นผล
การที่นายไปทำแบบนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้มันเจ็บปวดแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน ไม่สิมันไม่ใส่ใจนายด้วยซ้ำนี่
ฉันเชื่อว่าต้องมีใครสักคนที่บงการมันอยู่ นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะไม่รู้ว่าเบื้องหลังของมันเป็นใคร
แม้แต่การที่กลายเป็นผู้นำทางด้านนี้หรือแม้แต่การที่เทคโนโลยีที่มันครอบครองจะต้องเป็นสิ่งนำพาประเทศไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ในตอนนี้ปีกของมันนั้นแข็งแกร่งจนยากจะตัดทิ้งไปแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการเงิน
ในตอนนี้สิ่งที่เราควรมองไม่ใช่แค่เรื่องการเงินของมัน พวกเราต้องทำความเข้าใจว่าทำไมมันถึงพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว หากเราเข้าใจได้ล่ะก็ เราก็จะรู้ถึงตัวตนของศัตรูที่แท้จริง” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
“นายหมายความว่ายังไง” ฮัวหยุนชูถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ
“นายไม่คิดว่ามันแปลกๆบ้างเหรอที่เด็กหนุ่มบ้านนอกแบบนั้นจะก้าวมาได้ไกลถึงขนาดนี้ ก็จริงที่หมอนั่นจะได้รับการยอมรับจากตระกูลสาขาของตระกูลหวังตอนมหาวิทยาลัยก็ตาม
แต่นั่นคือหมอนั่นเป็นที่ยอมรับทั้งๆที่ไม่แม้แต่ต้องแต่งงานเข้าตระกูลเลยนะ เพียงแค่เรียนจบ มันก็ประสบความสำเร็จด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์นักฝึกสัตว์ ปรมาจารย์กู่จิ้ง เทพเจ้าโรงครัว ปรมาจารย์ภาพวาด ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ ปรมาจารย์นักเขียนอักษร ปรมาจารย์ภาพเขียนพู่กันจีน และอีกหลายๆอย่าง ความสำเร็จเหล่านี้เรียกได้ว่าสูงล้ำกว่าอัจฉริยะด้วยซ้ำ
อย่างเช่นด้านกู่จิ้ง นายเคยเห็นใครสักคนไปถึงขั้นนั้นไหมล่ะ หรือแม้แต่ด้านการทำอาหาร เทคนิคของหมอนั่นราวกับว่าเป็นพ่อครัวของสวรรค์ที่ร่วงหล่นลงมา
ยกตัวอย่างให้อีกอันก็ได้อย่างนักฝึกสัตว์ เคยมีใครขึ้นไปขี่บนอินทรีย์ทองแบบนั้นได้รึเปล่า ถ้ายังไม่พอ ด้านศิลปะการต่อสู้นั่นอีก เคยมีใครสักคนทำได้ไหม
ไหนจะเรื่องแพทย์ห่าเหวอะไรนั่นที่ทำให้ผู้ใหญ่ตัวสูงได้แม้แต่รักษาคนเป็นโรคALSได้นั่นอีก
นี่ยังไม่ได้พูดถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆที่หมอนั่นคิดค้นอย่างผงเสริมความงาม ผงกระชับทรวงอก ผงลดความอ้วน แผงพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบประสาทเทียม ระบบห้าจี ระบบปัญญาประดิษฐ์ สมาร์ทโฟนกาลเวลา รถยนต์กาลเวลา และของอย่างอื่นอีก
พวกนายไม่เคยคิดจริงๆเหรอว่าคนที่มีฐานชีวิตมาแบบนั้นอยู่ๆจะมาทำแบบนี้ได้ยังไง” หยวนหยินหนิงพูดออกมาราวกับระบายความอึดอัดใจของตัวเองที่อัดอั้นไว้มานาน
นี่ทำให้ฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วอดไม่ได้ที่จะพยักหน้ารับความคิดนี้ แม้แต่หลี่เชิงที่นิ่งเงียบไปก่อนหน้านี้ก็ต้องพยักหน้ารับตามไปด้วย
พวกเขานั้นต่างก็คิดว่าการคงอยู่ของซูจิ้งนี้ช่างแปลกประหลาดเกินจะรับได้ ยิ่งได้ฟังคนที่มีความคิดที่เหมือนกันเช่นนี้จึงเห็นพ้องในทันที
“ฉันคิดว่าหมอนั่นต้องได้พบอะไรบางอย่างที่เหนือกว่าคนบนโลกนี้จะคาดเดาได้” หยวนหยินหนิงได้พูดความคิดของเขาที่สรุปไว้ออกมา
“แต่ฉันก็นึกไม่ออกนะว่าหมอนั่นจะไปเจออะไรที่ทำให้หมอนั่นกลายเป็นตัวตนแบบปัจจุบันนี้ได้” ฟูฮ่งซิ่วพูดออกมา
“ฉันเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน ฉันพยายามแล้วแต่ก็ยังขุดไม่เจออะไรเลยแม้แต่น้อย ฉันรู้แต่ว่าใครก็ตามที่เป็นปฏิปักษ์กับหมอนั่นไม่เคยมีใครจบด้วยดีเลยสักราย
ที่หนักที่สุดก็คงจะเป็นจ้าวฉือหลงแห่งตระกูลจ้าวที่ตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตายไป แม่ของหมอนั่นถึงกับโกรธแค้นจนพลั้งมือฆ่าเกาจุนเต็งไปทำให้เกือบจะเข้าคุก นี่เรียกได้ว่าฆ่าตามให้ไปเป็นเพื่อนกันก็ว่าได้ เรื่องนี้มีแต่เสียกับเสียจริงๆ
แถมทั้งซูติฉือคนที่มีเรื่องกับจ้าวฉือหลงและฉือชิงที่เกาจุนเต็งสนใจในตอนนั้น ในที่สุดก็อยู่รอดปลอดภัยโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนแม้แต่น้อย นี่สิคือสิ่งที่แปลกที่สุด” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
“นี่นายจะหมายความว่าซูจิ้งเป็นคนฆ่าจ้าวฉือหลง” ฮัวหยุนชูรีบบอกความคิดของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“นี่ก็เป็นแค่ความคิดเท่านั้น หากว่านี่เป็นเรื่องจริงล่ะก็แสดงว่าซูจิ้งมีกองกำลังที่ท้าทายสวรรค์ที่เรียกได้ว่าแม้แต่พวกเราก็เกินกว่าจะคาดเดาได้
นี่จึงเป็นเหตุที่พวกเรานั้นไม่ควรจะไปเผชิญหน้ากับมันตรงๆ หากไม่อย่างนั้นล่ะก็พวกเราจะตกในอันตรายอย่างแน่นอนหากหมอนั่นทนไม่ไหว”
“นายพูดมาขนาดนี้เพียงเพื่อจะให้พวกเราอยู่เฉยๆเนี่ยนะ” ฟูฮงซิ่วยกคิ้วสูงขึ้นข้างหนึ่งอย่างสงสัย
“ไม่ไม่ไม่ใช่อย่างแน่นอน ที่ฉันจะสื่อก็คือไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามอย่าได้ออกหน้าเองต่างหาก เพราะการที่พวกเราออกหน้าเองแน่นอนว่าจะทำให้พวกเรานั้นเล่นงานมันได้ยากแน่ๆ
อย่างเราก็ตาม พวกเราสามารถลอบสืบเรื่องของหมอนั่นได้ว่าทำไมหมอนี่ถึงได้ถือครองเทคโนโลยีที่สูงล้ำไว้ได้ขนาดนั้น และควรจะลอบทำอย่างอื่นด้วยเช่นเดียวกัน” หยวนหยินหนิงพูดออกมา นี่ถือว่าเขาได้พูดคำสำคัญในการเรียกนายน้อยทั้งสี่มาคุยกันในครั้งนี้เลยก็ว่าได้ หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อว่า
“ฉันก็ไม่รู้นะว่าพวกนายจะคิดยังไงหากฉันจะบอกว่าในช่วงสองปีมานี้ ไม่เพียงซูจิ้งเท่านั้นที่พัฒนาขึ้นมาเหนือกว่าที่คนทั่วไปสมควรจะทำได้”
“ห้ะ ยังมีคนอื่นอีกเหรอ ใครกัน” ฮัวหยุนชูถามออกมา
“เท่าที่ฉันคิด ในตอนนี้มีกองกำลังสี่ฝ่ายที่ลอบพัฒนาตัวเองอย่างลับๆและเหนือกว่ากองกำลังอื่นๆ
หนึ่งคือซูจิ้ง
อีกหนึ่งคือมนุษย์แมงมุมของจีนเรา ฉันเชื่อว่าพวกเนายยังจำความแปลกแยกของหมอนั่นได้
อีกหนึ่งคือพวกสัตว์ประหลาดเกล็ดงู(กองโจรเกล็ดงู)ที่มีเทคโนโลยีด้านชีวภาพที่เหนือล้ำกว่าใครในโลก
อีกกลุ่มหนึ่งนั้นพึ่งจะเผยร่องรอยออกมาเมื่อไม่นานมานี้เอง ฉันไม่รู้ว่านายจะจำได้รึเปล่าที่มีอยู่ครั้งหนึ่ง มู่หรงเซียนเอ๋อโดนขโมยข้อมูลและถูกใส่ร้ายป้ายสีอย่างนัก
เรื่องนั้นเอาจริงๆนี่ไม่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปกติอย่างแน่นอน เรื่องที่ป้ายสีมานั้นต่อให้เป็นคนโง่ก็ยากที่จะเชื่อได้ แต่ในครั้งนั้นมันหนักหน่วงจนถึงขั้นซูจิ้งต้องออกโรงขี่อินทรีย์ทองไปจัดการด้วยตัวเอง
เรื่องนั้นฉันได้สืบสวนมาแล้วว่าตอนนั้นพบตัวคนร้ายแล้วแต่อยู่ๆคนร้ายก็หายไปราวกับภูตผี และจากการตรวจค้นที่นั่นเองก็พบกับหลักฐานแปลกๆมากมายเลยทีเดียว” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
ทั้งฟูฮงซิ่วและฮัวหยุนชูที่ได้ยินก็อดจะแสดงความตื่นเต้นออกมาทางสายตาที่เป็นประกายไม่ได้ มีเพียงหลี่เชิงเท่านั้นที่กำลังกระพริบตาปริบๆโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
เรียกได้ว่าการสืบสวนของหยวนหยินหนิงในใครนี้นั้นทั้งลึกและวิเคราะห์มาได้ถูกทางแล้วจริงๆ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขานั้นคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน นั่นก็คือ ในตอนนี้กองกำลังทั้งหมดนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวพันธุ์กัน นั่นก็คือซูจิ้ง