Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1043
GGS:บทที่ 1043 พันธมิตร?
“ถ้าถือว่าเรื่องที่นายบอกออกมาว่านอกจากซูจิ้งแล้ว ตอนนี้ยังมีกองกำลังลับอยู่อีกสามกลุ่มนั้นเป็นจริงล่ะก็ มันก็ยังติดปัญหาอยู่นะ พวกเขานั้นไม่ได้เผยตัวมานานมากแล้วทำให้ไม่สามารถหาร่องรอยที่พอจะติดต่อพวกนี้ได้
แม้แต่เว่ยเสี่ยวหยวน นาหลันเฟย และเลาชงที่เคยถูกมนุษย์แมงมุมช่วยเอาไว้และนับถือหมอนั่นมากก็ยังจนปัญญา
ส่วนมู่หรงเซียนเอ๋อนั้นยังไม่รู้ว่าตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายของคนกลุ่มนี้ แถมซูจิ้งยังออกหน้ามาแก้ไขปัญหาให้อีก
ไม่เพียงเท่านั้น มันยังออกมาช่วยตอนที่เว่ยเสี่ยวหยวน นาหลันเฟย และเลาชงเกิดปัญหาเรื่องข่าวเสียหายของมนุษย์แมงมุมนั่นอีก
หากว่าพวกเราสืบเรื่องของกองกำลังทั้งสามจากคนพวกนี้ แน่นอนว่าซูจิ้งต้องไหวตัว” ฟูฮงซิ่วพูดออกมา
“ที่ซูจิ้งมีสายสัมพันธ์อันดีกับพวกนั้นอาจจะคิดแบบเดียวกับเราก็ได้ว่าอาจจะพบอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังทั้งสามก็เป็นได้ หากอยู่ๆคนเหล่านั้นโผล่หางออกมาจริงแน่นอนว่ามันต้องรู้เรื่องนี้
กับเรื่องนี้เองฉันก็ใช้เวลาอยู่นานแล้วเหมือนกัน แต่เพียงกำลังของฉันนั้น มาถึงตอนนี้ก็ยังหาวิธีติดตามกองกำลังอีกสามฝ่ายนั้นยังไม่ได้เลย นี่คือเหตุผลที่ฉันเรียกพวกนายมา
หากว่าพวกเราร่วมมือกันล่ะก็ พวกเราจะสามารถเปิดเผยให้โลกนี้ได้รับรู้ หรือทำได้แม้แต่การแกะลอยไปถึงพวกนั้นได้
เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เว่ยเสี่ยวหยวน นาหลันเฟย เลาชง มู่หรงเซียนเอ๋อ หรือคนอื่นๆจะจับพิรุธได้ หรือแม้แต่ซูจิ้งจะรู้เรื่องและลงมือด้วยตัวเองก็ตาม แต่ตราบใดที่พวกเราทำการสืบสวนเป็นการลับแล้วให้คนอื่นออกหน้าแทน ต่อให้สืบยังไงก็ไม่มีทางมาถึงพวกเรา” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
“พี่หยวนนี่… พี่เคยลองมาแล้วเหรอ” ฮัวหยุนชูรีบถามออกมาทันที
“อืม..ฉันจะไม่ปิดบังก็แล้วกันว่าฉันเคยลองมาแล้ว ไม่รู้ว่าพวกนายเคยได้ยินข่าวที่ว่าเพื่อนของซูจิ้งที่ชื่อว่าเสี่ยวรุยถูกลักพาตัวมาบ้างรึเปล่า
ในเรื่องนั้นเองเป็นฉันที่เป็นคนตั้งค่าหัวหมอนั่นในตลาดมืดและเป็นฉันอีกเช่นกันที่ได้เลือดของหมอนั่นมา” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ทั้งฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วได้สำลักออกมาในทันที ในตอนนั้นทั้งสองจำได้ว่าซูจิ้งยังไม่ได้ถูกนับเป็นคุณชายสี่ด้วยซ้ำแต่กลายเป็นว่าหยวนหยินหนิงหมายหัวซูจิ้งไว้แล้ว นี่หมายความว่าหยวนหยินหนิงนั้นหมายหัวซูจิ้งไว้ตั้งนานแล้วน่ะสิ
“ที่ฉันบอกออกมานี่เป็นเพราะว่าเชื่อใจพวกนายหรอกนะ พวกเรานั้นสามารถร่วมมือกันเพื่อที่จะเล่นงานซูจิ้งได้ พวกนายคิดว่ายังไง” หยวนหยินหนิงพูดออกมาด้วยท่าทีจริงจังและมองไปยังหลี่เชิงในทันที นั่นก็เพราะตั้งแต่ต้นยันจบ มีเพียงหลี่เชิงเท่านั้นที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาจะอดนึกสงสัยในความคิดของหลี่เชิงในตอนนี้
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ผมเอาด้วย” ฮัวหยุนชูพยักหน้ารับ
“ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเราจะไม่ได้ร่วมมือกันได้ด้วยดีสักเท่าไหร่นัก แม้แต่จะมีหลายๆครั้งที่ต้องมาตีกันเองก็ตาม แต่ในเมื่อเป้าหมายในครั้งนี้คือซูจิ้งแน่นอนว่าพวกเราต้องร่วมมือกัน” ฟูฮงซิ่วพูดออกมาในทำนองเห็นด้วยอย่างแน่นอน
“…….เรื่องนี้ฉันคงต้องขอคิดก่อนล่ะนะ” หลี่เชิงได้เกาหัวตัวเองออกมาราวกับอยากจะปฏิเสธอยู่เต็มแก่แต่บอกปัดไม่ลง นี่ทำให้ฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงถึงกับขมวดคิ้วในทันที
“หลี่เชิง อย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องไกลตัวสิเฮ้ย อย่าคิดว่าครอบครัวของนายเป็นตระกูลที่ควบคุมธุรกิจสื่อสารเลยไม่ได้ผลกระทบอะไรจากซูจิ้ง
ด้วยการที่กลุ่มทุนห้วงเวลานั้นมีระบบปัญญาประดิษฐ์ อีกไม่นานมันจะส่งผลกระทบกับตระกูลนายแน่ๆ เป็นไปได้เลยว่าหมอนั่นจะไม่ก้าวเข้าไปในวงการสื่อสารนะ สักวันหนึ่งยังไงหมอนั่นก็ต้องเข้าไปมีส่วนด้วยอยู่ดี” ฮัวหยุนชูพูดออกมาอย่างอารมณ์เสีย
“อะแฮ่ม ฉันคิดว่าพวกนายก็น่าจะรู้นะว่าฉันขี้เกียจที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับตระกูลน่ะ นี่ทำให้ตำแหน่งของฉันไม่ได้ดีเด่และมีพลังพอที่จะช่วยเหลือพวกนายได้ กับเรื่องนี้ยังไงซะฉันก็ต้องไปหารือกับพ่อของฉันก่อน ตอนนั้นแหล่ะฉันถึงจะตัดสินใจได้” หลี่เชิงได้พูดออกมาพลางยักไหล่ราวกับว่าต่อให้เขาเข้าร่วมก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ
ทั้งฮัวหยุนชู ฟูฮ่งซิ่ว และหยวนหยินหนิงพยายามกดดันหลี่เชิงทุกวิธีทางและคำพูดที่พวกเขาจะนึกออก อย่างไรก็ตามหลี่เชิงนั้นก็ยืนยันว่ายังไม่สามารถตัดสินใจได้อยู่ดี
กับเรื่องนี้ แม้ทั้งสามจะรู้สึกไม่ค่อยดีราวกับจะเกิดรางร้ายก็ตาม แต่ด้วยเหตุผลที่หลี่เชิงพูดมานั้น พวกเขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความจริง ทำให้พวกเขาทำได้เพียงให้เวลาหลี่เชิงไปตัดสินใจเท่านั้น
เมื่อหลี่เชิงคิดว่าการคงอยู่ของตัวเองทำให้เสียบรรยากาศก็เลยขอตัวออกไปในทันที
“นี่เราจะไม่พูดโน้มน้าวกับหมอนั่นอีกสักหน่อยเหรอ” ฮัวหยุนชูพูดออกมา
“ฉันว่าไม่ต้องแล้วล่ะ ความจริงฉันเองก็คิดไว้แล้วว่าหมอนั่นไม่อยากจะเข้าร่วมกับเราเพราะหมอนั่นไม่อยากจะสร้างปัญหาให้ตระกูล ที่ฉันเรียกเขามาด้วยก็แค่เผื่อฟลุ๊คเท่านั้นเอง
อีกอย่าง ฉันทำเพื่อให้หมอนั่นรู้ว่าตอนนี้เราร่วมกันแล้วหมอนั่นจะได้ไม่เข้าร่วมกับซูจิ้ง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” หยวนหยินหนิงพูดออกมา
“โคตรวุ่นวายเลยเว้ยยยยย….” หลังจากหลี่เชิงขึ้นไปบนรถของตัวเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดสิ่งที่อึดอัดใจออกมา
“นายน้อยเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ชายวัยกลางคนที่เป็นคนขับรถที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลี่เชิงก็ได้บอกเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้คนขับรถของเขาฟัง นี่แสดงว่าเขานั้นเชื่อใจคนขับรถของเขาคนนี้อย่างมาก
เมื่อได้ยินเรื่องราว คนขับรถจึงได้ถามออกมาว่า “นายน้อยครับ เท่าที่ฟังดู ดูเหมือนว่านายน้อยเองก็อยากจะร่วมมือกับพวกเขานี่นา แถมเรื่องซูจิ้งเองก็ถือได้ว่าถ้าเกิดขึ้นจริงจะส่งผลเสียกับเราไม่น้อยเลย แล้วทำไมถึงไม่ร่วมมือล่ะครับ”
“…เฮ้อออออ อาหารที่ฉันชอบที่สุดนั้นมีซูจิ้งเป็นคนทำ ไวน์ที่ฉันชื่นชอบนั้นผลิตและจำหน่ายโดยกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศ เพลงที่ฉันชอบที่สุดเขาก็เป็นคนเล่น โทรศัพท์ที่ฉันชอบที่สุดก็เป็นของกลุ่มทุนฯ แม้แต่รถยนต์ไร้คนขับที่ฉันเฝ้ารอมานานก็ยังเป็นของกลุ่มทุนฯนั่นอีก ไหนลองบอกเหตุผลที่ฉันต้องไปตีกับหมอนั่นหน่อยสิ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็จริงนะครับ หากเป็นผมเองก็คงเกลียดไม่ลงเหมือนกัน” คนขับพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ซูจิ้งนั้นไม่ได้จัดการได้ง่ายๆอย่างที่พวกนั้นพูดหรอก ลองนึกดูสิว่าการที่เขากล้าที่จะพัฒนาธุรกิจมากมายอย่างบ้าคลั่งแบบนี้
แน่นอนว่าย่อมต้องรู้ตัวดีว่าหมอนั่นเองก็ต้องสร้างศัตรูไว้อย่างแน่นอน แม้แต่พวกเรา ในภายภาคหน้าก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น
ถึงแม้จะบอกว่าเรื่องแบบนี้อาจจะยังไม่แน่ไม่นอนในอนาคต แต่ไอ้การที่ต้องไปหาเรื่องหมอนั่นก่อนจะมีเรื่องเกิดขึ้นนี่ล่ะก็ อย่างน้อยๆสำหรับฉันแล้วไม่ใช่แนวล่ะนะ” หลี่เชิงพูดออกมา
“งั้นตอนนี้ก็ได้แค่ดูท่าทีสินะครับ” คนขับรถพูดออกมาอย่างรู้ใจ
“อืม ก็เหลือแค่ทางเดียวเท่านั้นแหล่ะ”
ซูจิ้งในตอนนี้นั้นตัวเขาเองย่อมไม่รู้ว่ามีใครบางคนกำลังเล็งหัวเขาเอาไว้อย่างแน่นอน ต่อให้รู้ก็คงจะได้แต่มองเท่านั้น นั่นก็เพราะตัวเขานั้นมีแต่คนอิจฉามากมายจนไม่คิดจะสนใจอย่างแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือเขานั้นยุ่งสุดๆ
นี่จึงทำให้เขานั้นเลือกที่จะไม่สนใจว่าลับหลังเขาแล้วจะมีสักกี่คนที่หมายหัวไว้ แต่หากมีใครก็ตามที่ก้าวข้ามเส้นที่เขาขีดเอาไว้ล่ะก็ ซูจิ้งจะโกรธแบบสุดๆและเขานั้นจะลงสนามในทันที นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขานั้นไม่ได้ใส่ใจที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากธุรกิจของเขา
ในตอนนี้ ซูจิ้ง ได้ย่อยขยะห้วงเวลาฯสุดยอดทหารจ้าวนักรบที่เขาไม่ต้องการไปหมดแล้ว เขานั้นในตอนนี้ยืนอยู่ในพื้นที่ทั่วไปและกำลังจ้องมองไปยังกิ้งก่าเกล็ดงูที่ถูกกักขังไว้ด้วยสายตาเสียดายอย่างอดไม่ได้
กิ้งก่างูเหล็กนี้ขนาดความยาวตลอดลำตัวนั้นยาวกว่าสิบเมตรเป็นอย่างน้อย นอกจากความแข็งแกร่งที่สุดยอดแล้วมันยังมีเกล็ดเป็นเกราะที่ยากจะทลวง แต่ในตอนนี้ตัวมันนั้นตกอยู่ในสภาพเกือบตายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ช่วงหลายวันมานี้ ซูจิ้งได้ตัดขาดแหล่งอาหารของมันทุกทางทำให้ตัวมันนั้นหิวจนหมดแรงมาหลายวันแล้ว ความจริงเขาเองก็ลองที่จะลอบเข้าไปเพื่อที่จะสังหารมันแล้ว
แต่ด้วยความเป็นสัตว์ร้ายที่ป่าเถื่อนของมันทำให้มันฮึดสู้เขาได้ทุกครั้งๆไป และด้วยความเป็นสัตว์ร้ายนี้เองที่ทำให้เขานั้นใช้พลังจิตกับมันไม่ได้ เรียกได้ว่าเจ้านี่อึดถึกทนกว่าหมึกยักษ์หัวกลมตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
“เยี่ยม ยอมซักที กิ้งก่างูเหล็กตัวนี้ป่าเถื่อนมากเกินไป หากควบคุมไม่ได้ล่ะก็มันก็ไม่ได้ต่างจากภัยพิบัติของโลกนี้ นอกจากนี้เจ้านี่ยังใหญ่เกินกว่าที่จะเก็บไว้ในกระเป๋ากักอสูร การจะปล่อยให้เจ้านี่ลอยชายไปมาย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
จะดีหน่อยก็ตรงที่เนื้อของมันนอกจากจะอร่อยสุดยอดและมีผลดีต่อร่างกาย หากฆ่ามันได้ต้องได้เนื้อเยอะแน่ๆเพราะตัวมันใหญ่มาก ที่ดีที่สุดคงเป็นเกล็ดของมันนี่แหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาไม่หยุดในขณะที่กำลังตัดเนื้อของกิ้งก่าเกล็ดงูออกมาอีกชิ้นหนึ่งและนำไปย่าง
ก่อนหน้านี้เขาได้เฉือนเนื้อของมาและลองกินดูก็พบว่าเนื้อของมันอร่อยมากและทำให้ร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
สารอาหารที่เขาได้รับนั้นถึงแม้จะไม่เทียบเท่ากับข้าวสีน้ำเงินแต่มันกลับเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายของเขาเพียงไม่นานหลังจากกินไป
นี่ขนาดเขาไม่ยอมให้มันได้กินอะไรมาแล้วหลายวันยังมีสรรพคุณดีขนาดนี้เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งยังไม่คิดจะฆ่ามันในตอนนี้
เขามีแผนที่จะขุนมันแล้วฆ่าตอนนั้นจะดีที่สุด ด้วยรสชาตินี้ทำให้เขาคาดหวังกับเนื้อของกิ้งก่างูเหล็กที่มีสภาพสมบูรณ์อย่างช่วยไม่ได้จริงๆ
เพียงพริบตาเดียว สามวันผ่านไป ในช่วงหลายวันมานี้เขาไม่ได้มีอะไรทำเป็นพิเศษและไม่ขยะห้วงเวลาฯที่ต้องจัดการขึงได้แต่ทำนู่นทำนี่ไปเรื่อย
ในตอนเช้าตรู่เวลาตีสามถึงตีสี่ ซูจิ้งตื่นขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยินเสียงจากฉิงหยุนว่า “ท่านเจ้าของ ขยะห้วงเวลาฯมาแล้วเจ้าค่ะ” ซูจิ้งจึงได้ลุกขึ้นและตรงไปยังชั้นหนึ่งในทันที